ตอนที่ 424 โคตรคนคมกระบี่
การปรากฏตัวของเจียงจี้หลิวก็เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อยเช่นกัน
นอกจากเขาจะมาในฐานะตัวแทนของเมืองเจาฮุย ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑล เจียงจี้หลิวก็มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ไม่ว่าใครก็ตามที่มีฐานะเป็นตัวแทนเมืองเจาฮุย ย่อมควรค่าต่อการได้รับความสนใจเสมอมา
อันที่จริงแล้ว นครเจาฮุยเป็นเมืองที่มีภาพลักษณ์หรูหรา และเป็นตัวกำหนดภาพรวมของมณฑลเฟิงอวี่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเมือง เศรษฐกิจหรือวัฒนธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนยึดถือเมืองหลวงแห่งนี้เป็นศูนย์กลางทั้งสิ้น
เจียงจี้หลิวมีความแข็งแกร่งในชนิดที่ว่ามือกระบี่รุ่นเดียวกันในเมืองหลวง ไม่มีใครสามารถสู้กับเขาได้อีกแล้ว
อีกอย่าง เด็กหนุ่มคนนี้ก็มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับตัวเขามากมาย
แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือตัวจริงของเจียงจี้หลิวมีใบหน้าหล่อเหลา ใกล้เคียงกับหลินเป่ยเฉินอยู่ไม่น้อย
ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนที่ปรบมือต้อนรับเจียงจี้หลิวเป็นคนแรก
แต่หลังจากนั้น ทุกคนก็ปรบมือตามๆ กันไป
เจียงจี้หลิวเดินขึ้นไปบนเวทีประลองด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่สนใจเสียงปรบมือเหล่านั้นเลยสักนิด
ให้ตายสิ
ไอ้หมอนี่มันดังขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความหงุดหงิด
ใบหน้าของเขากระตุกด้วยความไม่พอใจ
บนเวทีประลอง
“พี่เจียง ต้องรบกวนขอคำชี้แนะจากท่านแล้ว”
หลี่หนิง เด็กหนุ่มร่างกายกำยำจากเมืองพู่เฉิง มณฑลซินจิน ประสานมือคำนับอยู่ที่กลางเวที
เจียงจี้หลิวยิ้มเล็กน้อย “ด้วยความยินดี เชิญเจ้าลงมือโจมตีก่อนได้เลย”
หลี่หนิงมองหน้าเจียงจี้หลิว ชักกระบี่ออกมาจากข้างเอว ก่อนที่พลังลมปราณสีเขียวเข้มจะห่อหุ้มทั้งร่างกาย เห็นได้ชัดว่าเขามีพลังปราณธาตุไม้ เพราะในระหว่างที่แสงสีเขียวมรกตเปล่งประกายเรืองรองนั้น บนพื้นเวทีก็ปรากฏต้นหญ้าเขียวขจีงอกงามขึ้นมาละลานตา
เพียงพริบตาเดียว เวทีประลองก็กลายเป็นสนามหญ้าแห่งหนึ่งไปแล้ว
เจียงจี้หลิวผู้ยืนอยู่กลางสนามหญ้ายังคงมีสีหน้าเรียบเฉย
“พี่เจียงได้โปรดระวังตัว”
หลี่หนิงยกกระบี่ขึ้นมาระดับหน้าอก
ตัวกระบี่พลันกลายเป็นสีเขียวมรกต
มือขวาของเขาที่กุมด้ามจับกระบี่ปรากฏรากไม้งอกติด จนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบี่ไปแล้ว
“กระบี่พฤกษาเขียว… เตรียมรับมือ!”
เมื่อหลี่หนิงส่งเสียงคำรามออกมา ต้นหญ้าที่อยู่บนพื้นเวทีประลองก็กลับกลายเปลี่ยนเป็นคมกระบี่ มันพุ่งขึ้นมาด้านบนทิ่มแทงด้วยความดุดัน และมีเป้าหมายการโจมตีอยู่ที่เจียงจี้หลิวเพียงหนึ่งเดียว
กลุ่มคนดูรอบเวทีอุทานออกมาด้วยความตกใจ
พวกเขาคิดไม่ถึงว่าผู้มีพลังปราณธาตุไม้จะสามารถโจมตีได้อย่างรุนแรงถึงเพียงนี้
คมกระบี่จากต้นหญ้าถาโถมเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง
หลายคนต่างคิดเห็นตรงกันว่า ครั้งหน้าถ้าพวกเขาได้เผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มผู้มีพลังปราณธาตุไม้คนนี้อีก ตนเองคงไม่มีวันปล่อยให้อีกฝ่ายได้โคจรพลังปราณธาตุเนิ่นนานถึงขนาดนี้แน่ เพราะเมื่อปลายยอดหญ้าเปลี่ยนแปลงกลายเป็นคมกระบี่ ก็ช้าเกินไปที่พวกเขาจะแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว
ทว่า สีหน้าของเจียงจี้หลิวก็ยังคงเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง
ทันใดนั้น รอบกายของเขาปรากฏเมฆดำลอยละล่อง และในกลุ่มเมฆดำนั้นก็มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ
เจียงจี้หลิวยังคงยืนอยู่ที่เดิมเหมือนเทพเจ้าที่ไม่หวั่นเกรงต่อการโจมตีของมดปลวก
แล้วคมกระบี่จากยอดหญ้าเหล่านั้นก็หยุดชะงักอยู่กลางอากาศ
“นับเป็นรูปแบบการโจมตีที่น่าสนใจ แต่ยังขาดความหลากหลายพอสมควร การจู่โจมกระจัดกระจายไร้ซึ่งเป้าหมายชัดเจน มิหนำซ้ำ อานุภาพยังอ่อนแอ ที่น่ากลัวเป็นเพียงภาพมายาก็เท่านั้น สิ่งที่เจ้าสมควรปรับปรุงก็คือการซ่อนคมกระบี่ที่แท้จริงไว้ในภาพมายาเหล่านี้ให้มากขึ้นต่างหาก”
เจียงจี้หลิวยิ้มแย้มเหมือนอาจารย์กำลังสั่งสอนลูกศิษย์
พูดจบ
ครืน!
บังเกิดเสียงฟ้าร้องดังตามมา
เสียงฟ้าร้องไม่ดังสักเท่าไหร่
แต่ในพริบตาต่อมา สนามหญ้าและคมกระบี่บนเวทีประลองก็สลายหายไปในอากาศด้วยประกายสายฟ้าฟาดวูบหนึ่ง
แม้แต่คลื่นพลังสีเขียวมรกตก็หายไปแล้ว
ใบหน้าของหลี่หนิงซีดขาวขึ้นมาทันที เขาพูดว่า “พี่เจียงสามารถสลายการโจมตีของข้าได้ในกระบวนท่าเดียว ข้าคงต้องขอยอมแพ้แต่เพียงเท่านี้ เพียงแต่นี่เป็นการโจมตีที่สุดขีดความสามารถของข้าแล้ว หลังจากนี้ข้าควรทำอย่างไรดี? ไม่ทราบพี่เจียงพอมีความคิดเห็นบ้างหรือไม่?”
เจียงจี้หลิวยิ้มมุมปากเล็กน้อยและอธิบายต่อเนื่อง “เจ้ามีพลังปราณธาตุไม้ อย่าได้ดูถูกพลังของตนเองมากเกินไป โลกนี้ขาดแคลนต้นไม้ไม่ได้ เจ้าก็รู้ใช่ไหมว่าพื้นที่อันแห้งแล้งปราศจากต้นไม้ใบหญ้า คือสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายขนาดไหน คนเราจะสามารถทำสิ่งใดได้ หากไม่มีต้นไม้อยู่เลย?”
ทันใดนั้น หลี่หนิงก็เหมือนกับนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดด้วยน้ำเสียงดีใจ “ขอบคุณพี่เจียงสำหรับคำแนะนำ เพียงเท่านี้ข้าก็เข้าใจแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า…”
พลัน เด็กหนุ่มกระโดดลงจากเวทีไปด้วยใบหน้าที่มีความสุขยิ่งกว่าผู้ชนะเสียอีก
คนดูที่อยู่รอบเวทีประลองพร้อมใจกันปรบมือเป็นเสียงดังอื้ออึง
การแสดงฝีมือเมื่อสักครู่นี้ของเจียงจี้หลิวสามารถเอาชนะใจผู้คนได้อย่างไม่ต้องสงสัย
เขาถึงกับให้คำแนะนำคู่ต่อสู้ผู้พ่ายแพ้ การกระทำเช่นนี้คือเสน่ห์ที่หาได้ยากยิ่ง
เจียงจี้หลิวมีความแตกต่างกับหลินเป่ยเฉินเหมือนเป็นขั้วด้านตรงข้าม
ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินเข้าใจว่าจะอย่างไรเจียงจี้หลิวก็คงไม่น่ากลัวเท่าเฉาพั่วเถียน
แต่ที่ไหนได้ ฝีมือระดับนี้แม้แต่เฉาพั่วเถียนก็ยังไม่ควรค่ามาเป็นคนขัดรองเท้าให้แก่เจียงจี้หลิวด้วยซ้ำ
เจ้าหมอนี่มันเก่งเกินไปแล้ว
ชักไม่ค่อยดีแล้วสิ
เมื่อบนเวทีประกาศผลผู้ผ่านเข้ารอบต่อไปเรียบร้อย การประลองของคู่นี้ก็ถือว่าจบลงอย่างเป็นทางการ
ในการแข่งขันจตุรมิตรสามัคคีประจำปีนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้ค้นพบมังกรหนุ่มถึงสองตัวเลยทีเดียว
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปหาเจียงจี้หลิวที่เพิ่งลงมาจากเวทีประลอง “เจ้าก็มีฝีมือไม่เบานี่นา จะไม่ลองคิดถึงข้อเสนอนั้นดูจริงๆ หรือ?”
“ข้อเสนออะไร?”
เจียงจี้หลิวขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ข้อเสนอนี้ไงล่ะ คือว่าก่อนหน้านี้เจ้าพ่ายแพ้ให้แก่เว่ยหมิงเฉิน จนต้องกลายเป็นผู้ติดตามของเขาโดยไม่เต็มใจ นับว่าเว่ยหมิงเฉินโชคดีเกินไป เจ้าจะไปเป็นคนรับใช้ของเขาอยู่ทำไม? แยกตัวออกมาเป็นเอกเทศไม่ดีกว่าหรือ? ถ้าข้าสามารถเอาชนะเจ้าได้ เจ้าก็เปลี่ยนฝั่งมาเป็นพวกเดียวกับข้า และเจ้าก็ไม่ต้องมาเป็นบริวารของข้าด้วย แต่เจ้าจะเป็นเสมือนเพื่อนคนหนึ่งของข้า ข้อเสนอนี้ฟังดูดีหรือไม่?”
“จะให้ไปเป็นเพื่อนกับเจ้าเนี่ยนะ?”
“ถูกต้องแล้ว เลิกเป็นบริวารของเว่ยหมิงเฉิน แล้วมาเป็นเพื่อนกับข้าดีกว่า”
“เจ้าเนี่ยนะ?”
พลัน เจียงจี้หลิวมีสีหน้าหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
เขาส่ายหน้าและพูดว่า “หลินเป่ยเฉิน ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่วิธีเบี่ยงเบนความสนใจของเจ้าก่อกวนข้าไม่ได้หรอก เจ้าเอาเวลาไปคิดหาหนทางพัฒนาฝีมือตนเองดีกว่า ด้วยระดับพลังของเจ้าในปัจจุบัน นอกจากพลังปราณธาตุไฟแปลกประหลาดของเจ้าแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าจะสามารถสู้ข้าได้อีกเลย”
“ตกลงว่าจะไม่ลองคิดดูจริงสิ?”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ว่าแต่เจ้ามีพลังอยู่ในขั้นไหนแล้ว? ช่วยตอบหน่อย ข้าจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ”
“ข้ามีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับ 4 และมีพลังปราณธาตุสายฟ้า”
เจียงจี้หลิวตอบโดยไม่ลังเล
“จริงนะ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความไม่แน่ใจ
เจียงจี้หลิวยืนยันหนักแน่น “ข้าไม่เคยโกหกบุรุษด้วยกันเอง”
“อ้าว” หลินเป่ยเฉินดวงตาเป็นประกายขึ้นมาในทันใด “งั้นก็หมายความว่าเจ้าโกหกสตรีล่ะสิ? เฮ้อ หน้าตาก็ดี ทำไมเจ้าถึงเป็นคนแบบนี้ได้เนี่ย”
เจียงจี้หลิวมองหน้าหลินเป่ยเฉินแล้วกะพริบตาปริบๆ ก่อนรอยยิ้มจะปรากฏขึ้นที่มุมปาก “เพราะมีสตรีมาวิ่งตามข้ามากเกินไป บางครั้งข้าถึงต้องโกหกพวกนางอย่างไม่มีทางเลือก และคำโกหกที่ข้าบอกพวกนางบ่อยที่สุดก็คือ เหตุผลที่ข้าไม่สนใจสตรี ก็เป็นเพราะข้าชอบบุรุษต่างหาก”
“หา?”
หลินเป่ยเฉินเป็นฝ่ายที่ต้องเบิกตาโตบ้างแล้ว
บรรยากาศตกอยู่ภายใต้ความเงียบงันและความเสียวสันหลังวาบ
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินเพิ่งสังเกตว่าตนเองกำลังยืนคุยอยู่กับเจียงจี้หลิวเพียงสองต่อสอง กลุ่มคนจำนวนมากกำลังจ้องมองมาด้วยแววตามีเลศนัย อย่าบอกนะว่าคนพวกนั้นกำลังคิดว่า…
ฮื่อ เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้วสิ
“ข้าขอตัวก่อนล่ะ”
หลินเป่ยเฉินรีบกระโดดกลับมานั่งประจำที่ตนเองด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด
ผ่านไปเพียงชั่วเวลาก้านธูปเดียว
ก็ได้เวลาที่หลินเป่ยเฉินจะกลับขึ้นไปบนเวทีประลองอีกครั้ง
“หืม? เป็นเจ้าเองหรือ…”
บนเวทีประลอง หลินเป่ยเฉินพบว่าคู่ต่อสู้ของเขาในรอบนี้คือเด็กสาวผมทอง จึงส่งยิ้มหวานก่อนกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ถ้าไม่ใช่ศัตรูคู่อาฆาต เราคงไม่ได้พบเจอกันเร็วขนาดนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า ในเมื่อมีโอกาสได้พบกันอีกครั้ง คราวนี้แหละข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าความโหดร้ายที่แท้จริงมันเป็นเช่นไร”
เป็นไงล่ะ เจ็บแปลบเลยล่ะสิ
ก่อนหน้านี้ เด็กสาวผมทองคนนี้เคยร่วมมือกับเด็กหนุ่มผมแดงพูดจาเหยียดหยามหลินเป่ยเฉินมาแล้วครั้งหนึ่ง
“เฮอะ!” เด็กสาวผมทองเบิกตาโตเล็กน้อย ดวงตาของนางเป็นประกายด้วยความเดือดดาล “ระวังปากของเจ้าเอาไว้ให้ดี เจ้าเศษสวะ”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
ทำไมต้องดูถูกกันขนาดนี้ด้วยเนี่ย?
พูดกันดีๆ ไม่ได้หรือไง?
หรือว่าพอขึ้นมาอยู่บนเวทีประลองแล้ว สิ่งใดที่จะสามารถโจมตีฝ่ายตรงข้ามได้ ก็ล้วนแต่ต้องกระทำอย่างนั้นหรือ?
โหดร้ายกันจริงๆ
หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาบ้างแล้ว
ก็ได้ ในเมื่อเลือกที่จะรุนแรงกับเขาก่อน หลินเป่ยเฉินก็จะรุนแรงตอบกลับไปบ้างเช่นกัน อะฮิอะฮิอะฮิ