678 – วิชาระดับภูติ
ผู้เฒ่าจิ๋วลืมตาช้าๆ หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม เขายิ้มด้วยความยินดี
“ข้าได้พลังคืนมาอีกขั้นแล้ว!”
ซือหยูคิดในใจถึงความหมายของผู้เฒ่าจิ๋ว..
เขาเคยมีฐานพลังที่สูงมากงั้นรึ? เขากําลังค่อยๆได้รับพลังคืนมาสินะ?
ความจริงซือหยูไม่รู้เรื่องตัวตนที่แท้จริงของผู้เฒ่าจิ๋วเท่าใดนัก แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีโอกาสได้รู้เรื่องราวบ้างแล้ว
“เจ้าหนู ข้าติดหนี้ชีวิตเจ้า”
ผู้เฒ่าจิ๋วมองซือหยูอย่างตั้งใจ ดูเหมือนเขากําลังจะตัดสินใจเรื่องสําคัญบางอย่าง
ซือหยูส่ายหน้าเบาๆ
“ท่านเคยช่วยข้าเมื่อครั้งอดีต ข้าแค่ตอบแทนเพียงเท่านั้น คิดเสียว่าเป็นการล้างหนี้บุญคุณต่อกันเถอะ”
ผู้เฒ่าจิ๋วหัวเราะ เขายืนขึ้นมองท้องนภา
“ข้าจะไปสืบดูตัวตนของคนผู้หนึ่ง อีกหนึ่งเดือนข้าจะกลับมาตอนนี้ขอฝากเจ้าช่วยดูแลต้าเหล่ยแทนข้าด้วย”
ซือหยูเลิกคิ้ว เขาสงสัยว่าคนที่ผู้เฒ่าจิ๋วอยากจะรู้นั้นคือใคร แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป
“ย่อมได้ ถนอมตัวด้วย…”
ซือหยูตอบ
ผู้เฒ่าจิ๋วหันมามองซือหยู เขาราวกับจะยืนยันอะไรบางอย่างจากซือหยูไม่นานเขาก็ถอนหายใจ
“ดูเหมือนจะมีคนสําคัญมากมายนักที่กําลังมองดูเจ้า…”
เอ๋? ซื่อหยูสับสนมากกับประโยคแปลกๆของผู้เฒ่าจิ๋ว
ผู้เฒ่าจิ๋วหยิบเอาม้วนกระดาษเก่าๆหากมองใกล้ๆซื่อหยู ก็พบว่ามันคือปฏิญาณสัตย์ดวงใจ
ก่อนที่ซื่อหยูจะไปกระโจมเทพสวรรค์ ผู้เฒ่าจิ๋วได้ให้กระบี่สายฟ้ากับเขา ซื่อหยุต้องสัญญาว่าจะช่วยกังต้าเหลียหาสมุนไพรสายฟ้าเป็นการตอบแทน
นี่จึงเป็นเหตุให้ซือหยูต้องสาบานผ่านปฏิญาณสัตย์ดวงใจ และตอนนี้เขาทําตามสัญญาแล้ว ผู้เฒ่าจิ๋วจึงคืนมันให้กับซือหยู
“มันเป็นของเจ้าแล้ว ข้าจะไปล่ะ”
ผู้เฒ่าจิ๋วทิ้งปฏิญาณสัตย์ดวงใจเอาไว้และกระโดดขึ้นฟ้า
ซือหยูถือคัมภีร์ในมือพลางคิดในใจ..
ดูเหมือนผู้เฒ่าจิ๋วพยายามจะบอกอะไรบางอย่าง
ซือหยูตาเป็นประกาย เขาเปิดปฏิญาณสัตย์ดวงใจขึ้นมา ดูน่าตกใจที่นอกจากคําสาบานแล้ว ยังมีข้อความอยู่หลายบรรทัดที่เขียนติดๆกัน
มันมีข้อความมากกว่าพันคําเสียอีก ซื่อหยุเหลือบมองและจดจําทุกคําเอาไว้
“ฝ่ามือนิรนาม?”
เขารู้สึกแปลกๆ มันคือวิชาบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับฝ่ามือ
ในด้านวิชาฝ่ามือ ซือหยูเคยใช้เพียงครั้งที่อยู่สํานักเชี่ยนหยูเขาเคยเรียนฟื้นฐานของวิชาเหล่านั้น
แต่นอกเหนือจากนั้นเขาก็ไม่เคยบ่มเพาะวิชาฝ่ามืออีกเลย เขาแปลกใจมากที่ผู้เฒ่าจิ๋วทิ้งวิชาฝ่ามือให้กับเขาซื่อหยอ่านมันอย่างละเอียดและก็ต้องตกใจ
“ม้วนคัมภีร์วิชาระดับภูติรึ?”
ซือหยูตะโกนด้วยความตกใจ
ซือหยูรู้ว่ายากที่ได้วิชาระดับภูติแม้ว่าตอนที่อยู่กระโจมเทพสวรรค์และได้เจอกับยอดฝีมือจากจิวโจวมากมาย เขาก็ไม่พบใครเลยที่ใช้วิชาระดับภูติ แค่วิชาระดับตํานานก็เป็นวิชาหายากอยู่แล้ว!
วิชาระดับภูติที่ซื่อหยูเคยเห็นก็คือภาพเขียนทัณฑ์ภูติ มันมีพลังที่น่าตกตะลึงเพลิงที่หลงเหลือ เผาได้แม้กระทั่งจ้าวเทวะ!
วิชาที่ผู้เฒ่าจิ๋วทิ้งเอาไว้ช่างน่ากลัวและน่าตกใจ! ซื่อหยูใจเต้นแรง ผู้เฒ่าจิ๋วผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ!
ซือหยูใจเย็นลงหลังจากผ่านไปไม่นาน เขาเริ่มที่จะตรวจสอบวิชาคัมภีร์มิได้มีนาม ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าจิ๋วจะลบชื่อของวิชาฝ่ามือนี้ไป
วิชาระดับภูตินั้นแตกต่างจากวิชาอื่นที่ซื่อหยูเคยสัมผัสมาก่อนวิชาระดับตํานานจะแบ่งเป็นหลายระดับ นั่นคือขอบเขตแรกเริ่ม ขอบเขตต้นขอบเขตกลางและขอบเขตสูงสุด แต่วิชาระดับภูตินั้นมีการจําแนกที่เหนือกว่านั้น
“ฝ่ามือนิรนาม….ระดับแรกจะแยกเป็นฝ่ามือหยินฝ่ามือตะวันฝ่ามือเทพเจ้า”
แต่ละระดับจะแบ่งเป็นสามกระบวนท่ามันแตกต่างกับวิชาบ่มเพาะแบบอื่นมาก
“รายละเอียดพวกนี้ แต่ละกระบวนท่าจะต้องบ่มเพาะยากมาก!”
ซือหยูตาลุกวาว เขาตื่นเต้นอย่างมาก!
นี่เป็นครั้งแนรกที่เขาจะได้เรียนรู้วิชาระดับภูติจริงๆ แม้ว่าเขาจะมีภาพเขียนทัณฑ์ภูติ เขาก็ใช้มันในฐานะอาวุธ แทนที่จะเป็นวิชาบ่มเพาะ เพราะเขามิอาจเข้าใจมันได้
และเมื่อเขามีวิชาฝ่ามือตรงหน้า มันทําให้เขาตื่นเต้นอย่างมากถ้าเขาบ่มเพาะได้ในเดือนเดียว ศัตรูจะต้องแปลกใจแน่นอนในสงครามครั้งหน้า!
ซือหยูเก็บปฏิญาณสัตย์ดวงใจและความตื่นเต้นของตัวเองเอาไว้ เขามองไปยังทิศทางหนึ่งและยิ้ม
“คงจะได้เวลาแล้ว”
ที่หลายพันไกลออกไป หมอกขาวค่อยๆกระจายไปทั่วหุบเขาหมอกขาวนี้สังหารทุกสิ่งในเส้นทาง
ใต้ต้นไม้ใหญ่ ชายหนุ่มคนหนึ่งนอนอยู่กับพื้นใบหน้าของเขามีสีม่วงเขาเหนื่อยอ่อนจากการปล่อยพลังชีวิต
“จากที่ข้าคิด ถึงภูติระดับสี่จะสะกดพิษของม้าเมฆาได้แต่สภาพมันก็ย่ําแย่อยู่ดี ตอนนี้มันสลบไปแล้ว มันก็ง่ายกับข้า”
ซือหยูร่อนเหนือต้นไม้และยิ้ม
เขายืนหน้าหกศักดิ์สิทธิ์ เขาขยับมือไปมา มีพลังวิญญาณปะทุออกจากร่างเกิดร่างเงาหนึ่งที่ด้านหลังของซือหยู
มันสูงเท่าภูเขา! แต่มันมองเห็นได้ยากมากและไม่ได้เห็นรายละเอียดบนใบหน้า
สิ่งเดียวที่เห็นได้ชัดก็คือดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และเหล่าดวงดาราที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของมัน แสงอันตระการตาปกคลุมทั้งร่างเอาไว้ หากมองไกลๆจะดูเหมือนกับบุตรแห่งจักรวาลยืนอยู่ด้านหลังซือหยู
ซือหยูยิ้มอย่างประหลาดยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นสิ่งแปลกๆที่ด้านหลังไม่นานเขาก็ขยับมืออีกครั้ง
ในตอนนั้น ร่างใหญ่เปล่งแสงที่อัดแน่นไปด้วยพลังวิญยาณจากตาขวาแสงพุ่งลงไปยังหน้าผากของหกศักดิ์สิทธิ์แต่เขาไม่รู้ตัวเพราะหมดสติอยู่
“หวังว่าเจ้าจะทําให้ข้าตกใจได้นะ…”
ซือหยูพูดและหัวเราะเบาๆ จากนั้นจึงบินออกไป
ผ่านไปหลายชั่วยาม หกศักดิ์สิทธิ์ได้สติกลับมาใบหน้าสีม่วงของเขาจางลง พิษมากกว่าครึ่งถูกขับออกไปแล้ว
“พิษม้าเมฆา ไอ้เด็กบ้า กล้าดียังไงทําแบบนี้กับข้า!เจ้าจะต้องทุกข์ทรมาน!”
หกศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้นช้าๆด้วยความโกรธสุดขีด
เขาเกือบตายเพราะกิ่งภูติทั้งๆที่เป็นภูติระดับสี่มันเป็นความอับอายครั้งใหญ่หลวง!
ซือหยูกลับมาที่พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ เมื่อเขามาถึง เขาได้ประกาศว่าจะปิดประตูฝึกตนเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ข้างหน้า
การตัดสินใจนี้ไม่ได้ทําให้ใครแปลกใจเพราะการต่อสู้จะมาถึงในอีกไม่นานหลายคนก็ตัดสินใจที่จะปิดประตูฝึกตนเช่นกัน
โดยเฉพาะเหล่าคนที่ได้ทรัพยากร ส่วนมากพวกเขากําลังพยายามทะลวงพลังขั้นต่อไป
ทุกคนในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์อยู่ในความเงียบ ในช่วงการบ่มเพาะพลังที่เข้มข้นแต่ความเงียบนี้ก็ทําให้อึดอัดใจ
ทุกคนรู้ว่านี่คือความสงบก่อนที่วายุกระหน่ําจะถาโถมเข้ามา พวกเขารู้สึกถึงความกดดันได้ รูปร่างในหัวใจบางคนที่รับแรงกดดันนี้ไม่ไหว ถึงกับหนีออกจากเมืองพร้อมกับครอบครัว
“ผู้เฒ่าเฉิน เราจะไม่หยุดพวกเขารึ?”
ลัวซวงถาม
เขาเป็นหัวหน้าหน่วยกวาดล้าง หน่วยกวาดล้างคือแนวป้องกันสุดท้าย พวกเขาต้องบ่มเพาะพลัง และต้องสอดส่องดูแลสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองด้วย
ผู้เฒ่าเฉินส่ายหน้าขณะยืนบนกําแพงเมือง
“ไม่ต้องหรอก พวกเราเองยังปกป้องตัวเองไม่ได้เลย ไม่ต้องพูดถึงคนพวกนั้นหรอก”
ลั่วซวงเงียบไปครู่หนึ่ง เขาลังเลก่อนจะพูด
“อีกหนึ่งเรื่อง ผู้เฒ่าเฉินเราจับคนแปรพักต์ได้สามคนจากพันธมิตร”
เขามีความรู้สึกหลายอย่างกับเรื่องนี้ผู้แปรพักต์ทั้งสามเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา พวกเขาร่วมมือกันคว้าชัยแรกของทวีปเฉินหลงและสามคนนี้มิอาจรับแรงกดดันไหว พวกเขาจึงหนี้ไปก่อนที่ทัพของห้าศักดิ์สิทธิ์จะมาถึง
ครึ่งเดือนได้ผ่านไปแล้วหลังจากการต่อสู้ครั้งก่อนจิตวิญญาณลุกโชนของพวกเขาเริ่มดับมอด ความกล้าหาญที่ลดน้อยถอยลงทําให้พวกเขาเริ่มเผยธาตุแท้ออกมา
ผู้เฒ่าเฉินตัวสั่นเบาๆ เขาค่อยๆหลับตาและหยิบเอาบันทึกมาจากแขนเสื้อ
“เจ้าพันธมิตรซือฝากทิ้งไว้ให้ข้าก่อนจะปิดประตูฝึกตน…”
เมื่อรั่วซวงเปิดอ่าน เขาเห็นข้อความที่ทําให้อ้าปากค้าง…
คนที่หนีศึกต้องถูกสังหารโดยไร้ข้อ ยกเว้นหัวที่ถูกบั่นต้องถูกเสียบประจาร!
ลั่วซวงตัวสั่น
“แต่ พวกนั้นทุ่มเทอย่างมากในครั้งก่อน…”
ผู้เฒ่าเฉินมองเขาด้วยความแน่วแน่
“เราก็ต้องลงโทษเช่นนี้ เราจะทําให้จิตใจของคนพวกเราอ่อนแอลงไม่ได้เด็ดขาด มันจะทําให้กองทัพอ่อนแอ ถ้าเราปล่อยให้สามคนนั้นหนีไปสุดท้ายคนอื่นก็จะหนีไปอีก ถ้าหนีกันไปหมดเราก็จะแพ้แน่นอน!”
เขาส่ายหน้า
“ถ้ามันเป็นอย่างนั้น สิ่งที่เราเคยสละจะสูญเปล่า! เราจะให้ใครหนีไปไม่ได้! เจ้าพันธมิตรซือเห็นสิ่งนี้ล่วงหน้านั่นเป็นเหตุให้เขาตัดสินใจมาก่อน”
ลั่วซวงไม่คิดจะทําแต่เขารู้ว่าไม่มีเหตุให้เขาต้องลังเลอีกแล้ว
“เข้าใจแล้ว ข้าจะลงมือเดี๋ยวนี้”
ลั่วซวงพยักหน้าและบินออกไปพร้อมกับกระปั่นมือ
วันเดียวกันนั้น หัวคนสามคนได้ถูกเสียบประจารอยู่กับกําแพงเมือง เพื่อเป็นการเตือนคนอื่นว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหนีทหาร จากนั้นเป็นต้นมาแม้จะมีบางคนที่พยายามหนีอย่างเปล่าประโยชน์แต่พวกเขาก็ลดน้อยลงมาก
เมื่อสงครามใกล้เข้ามา แรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้นทําให้ผู้คนเป็นทุกข์ เมื่อครึ่งเดือนผ่านไป มีผู้เฒ่าอีกสองคนที่พยายามหนี!
จนถึงตอนนี้มีผู้เฒ่าเหลืออยู่เพียงห้าคนรวมผู้เฒ่าเฉิน แต่ก็มีสองคนที่เลือกจะหนีไปด้วยกัน!
มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์เพราะถ้าผู้เฒ่ายังหวาดกลัว แล้วคนธรรมดาในพันธมิตรจะรู้สึกอย่างไร?
“ผู้เฒ่าเฉิน ข้าประหารพวกเขาไปแล้ว…”
ลั่วซวงพูด เขาดูบาดเจ็บหนักระหว่างที่ประหารคนหนีการสังหารผู้เฒ่าสองคนไม่ใช่เรื่องง่าย สําหรับเขาและหน่วยกวาดล้างคนที่เหลือ
ผู้เฒ่าเฉินหลับตาเงียบๆ หากมองดูใกล้ๆจะพบว่าเขาปากสั่นระริกผู้เฒ่าทั้งสองเป็นมิตรสหายที่ดีของเขาพวกเขาผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกันมาเป็นร้อยปี
พวกเขาไม่คิดหนีด้วยซ้ําตอนที่เรือรบจะถูกทําลาย พวกเขายังต่อสู้อย่างกล้าหาญกับเชี่ยหวู่ในการต่อสู้คราวก่อน
แต่สุดท้าย พวกเขาก็เลือกที่จะหนีส่วนผู้เฒ่าเฉิน…เป็นคนออกคําสั่งประหาร ด้วยเหตุนี้ พันธมิตรผู้คุมสวรรค์จึงหลั่งเลือดตั้งแต่ก่อนที่สงครามจะเริ่มต้น
“เสียบหัวประจารซะ…”
ผู้เฒ่าเฉินพูดเสียงสั่น น้ําเสียงของเขามีทั้งความเจ็บปวดและความแน่วแน่
เวลาสงครามกระชั้นเข้ามายิ่งขึ้นจากนั้นสิบวันก็ได้ผ่านไปในพริบตา
ลั่วซวงเหนื่อยอ่อนมีโลหิตแห้งกรังบนเสื้อผ้าของเขา
นั่นมิใช่เพราะเขาไม่ล้างมันออก แต่เป็นเพราะมีคนมากเกินไปที่เขาต้องสังหาร ไม่ว่าเขาจะซักล้างชุดอย่างไร มันก็มักจะมีคราบโลหิตใหม่ตามมา
“มีอีกสิบคนที่คิดหนีข้าสังหารเขาหมดแล้ว…”
ลั่วซวงพูดด้วยเสียงแหบพร่า
เมื่อสงครามใกล้มาถึง คนจํานวนมากเริ่มแตกตื่นโชคไม่ดีที่ความแตกตื่นนี้เพิ่มมากขึ้นเมื่อวันเวลาผ่านไป
“ข้าต้องเจอเจ้าพันธมิตรซือ”
ในเวลาสําคัญผู้เฒ่าเฉินกับลั่วซวงมิอาจควบคุมสถานการณ์ได้อีกแล้ว
พวกเขามาถึงหน้าห้องของซือหยูในไม่นานซื่อหยูอยู่ที่นี่มาโดยตลอด
ผู้เฒ่าเฉินพูดด้วยเสียงแหบเบา
“เจ้าพันธมิตรซือ ข้ามีเรื่องต้องรายงานท่าน”
เอี้ยด
ประตูบานใหญ่เปิดตามคําขอ
แต่คนที่เปิดประตูกลับมิใช่ซือหยู แต่เป็นสาวสวยผิวเงาวับที่มีใบหน้างดงามดวงตาเงางามของนางดูเยือกเย็น
“เจ้าทําตามคําสั่งไม่ได้อีกแล้วสินะ?”
หญิงสาวผู้เย็นชาถามน้ําเสียงของนางเยือกเย็นดั่งใบหน้าของนาง