ตอนที่ 392 ไม่ใช่อสูร

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 392

ไม่ใช่อสูร

พิธีสมรสของเพิร์ลและรูบี้จะจัดขึ้นในอีก 1 เดือนข้างหน้า เป็นงานฉลองใหญ่ที่จะแจ้งข่าวไปทั่วอาณาจักรไชน์เลยทีเดียว ทำให้ไป๋จูเหวินยังไม่กลับไปยังอาณาจักรไป๋เพื่ออยู่ร่วมงานของเพิร์ลและรูบี้ก่อน ส่วนอู๋หมิงนั้นขอตัวกลับไปก่อนเพราะมีงานค้างคาอยู่ แถมยังทิ้งลูกเอาไว้ที่อาณาจักรอู๋อีกต่างหากมันเลยมาอยู่ที่นี่นานกว่านี้ไม่ได้

“องค์จักรพรรดิ เชิญทางนี้ขอรับ”ขุนพลกิ้งก่าว่าพลางเดินนำไป๋จูเหวินเข้าไปที่ห้องหนึ่งในปราสาทของอาณาจักรไชน์

“ทุกคนมากันพร้อมแล้วสินะ”ไป๋จูเหวินถามพลางมองไปรอบๆ ภายในห้องนี้เต็มไปด้วยเหล่าขุนนางของทั้งอาณาจักรไชน์และอาณาจักรไป๋ รวมทั้งขุนพลบางคนที่ได้ทราบเรื่องแล้วอย่างขุนพลกิ้งก่าเช่นกัน

“ครบแล้ว พวกมันคือผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่อสูรกิ้งก่ากลับมารายงานทั้งหมด”จักรพรรดิไชน์ตอบพลางผายมือไปทางคนของตน คนเหล่านี้คือคนที่อยู่ในห้องประชุมก่อนเริ่มสงคราม และเป็นเหล่าคนที่ได้รับฟังสิ่งที่อสูรกิ้งก่าเสี่ยงตายกลับมารายงานนั่นเอง

เรื่องกองกำลังของอีมอร์นั้นไม่ใช่ความลับอะไร แถมสงครามยังจบไปแล้วด้วย แต่สิ่งที่ไป๋จูเหวินเป็นกังวลจนต้องเรียกประชุมทุกคนนั้นเป็นเพราะเรื่องของซาราต่างหาก

ทุกคนในห้องนี้รวมทั้งอสูรทักตนด้วยเช่นกันต่างได้รับทราบแล้วว่าพลังของอาณาจักรอีมอร์นั้นมาจากเลือดของซารา หลังจากสอบปากคำจากเชลยที่จับตัวมาพวกไป๋จูเหวินก็ได้ทราบว่าแต่เดิมองค์จักรพรรดิอีมอร์และเหล่าขุนพลมีพลังเพียงระดับเทียนเซียนขั้น 4 หรือ 5 เท่านั้น ที่พวกมันสามารถเพิ่มระดับพรวดพราดขึ้นมาเป็นระดับเจ้าสวรรค์กันเช่นนี้เพราะได้ดื่มเลือดของซาราเข้าไป แน่นอนว่าพิษในเลือดนั้นยังมีอยู่ ทำให้ขุนพลจำนวนมากของอาณาจักรอีมอร์ตายไปทันทีที่ดื่มเลือด ขุนพลที่เข้าร่วมสงครามครั้งนี้ทั้งหมดคือคนที่รอดมาได้จากพิษของเลือด และดูดซับพลังของซาราเข้ามาในร่าง

“ข้าอยากให้ทุกคนในห้องนี้ให้คำสัตย์ปฏิญาณว่าจะไม่พูดเรื่องของซาราให้ผู้อื่นฟัง”ไป๋จูเหวินพูดออกมาด้วยท่าทีจริงจัง เลือดของซาราเป็นสิ่งแปลกประหลาดอย่างมาก แม้แต่สมุนไพรล้ำค่าในเขตอสูรต่างๆยังไม่มีอะไรมีผลมากมายขนาดนี้ แม้แต่ท้ออสูรที่เกิดจากการดูดพลังชีวิตของอสูรระดับบรรพกาลยังไม่สามารถเพิ่มพลังได้ถึงระดับนี้เสียด้วยซ้ำ

แม้แต่เหล่าอสูรในเขตอสูรผาไร้ก้นที่มักจะเชื่อฟังเหล่าราชาของตนยังแอบเข้ามาลักผลท้ออสูรไปกิน หากเรื่องนี้แพร่ออกไปคงได้มีสงครามเพื่อแย่งชิงตัวซาราแน่ๆ

“พวกเราได้พวกท่านช่วยเอาไว้ เรื่องนี้ข้าขอสัญญาด้วยชีวิตว่าจจะไม่แพร่งพรายออกไป”ขุนนางของอาณาจักรไชน์ว่าพลางเอามือตนเองมาทาบที่อก ขุนนางทุกคนในห้องต่างรู้สึกขอบคุณไป๋จูเหวินจากใจจริง ส่วนขุนนางของไป๋จูเหวินเองยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกมันยอมทำตามไป๋จูเหวินอยู่แล้ว ทำให้เรื่องเลือดของซารากลายเป็นความลับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป

.

.

“ท่านแม่ เจ้านี่แปลกจังเลย”ไป๋หลินว่าพลางมองซาราที่นอนอยู่ในห้องๆหนึ่งที่จักรพรรดิไชน์จัดเอาไว้ให้

“พวกท่านน้าของเจ้ายังไม่ทราบเลยว่ามันคือตัวอะไร จะบอกว่าแปลกก็คงไม่ผิดหรอก”เหม่ยหลินว่าพลางมองลูกสาวที่กำลังแอบมองซาราจากหน้าต่าง เจ้าซารานี่มีรูปร่างเหมือนมังกรที่มีรูปทรงเหมือนงูแต่กลับมีขนสีขาวดูนุ่มฟูไปทั้งตัว แถมลำตัวก็ไม่ได้ยาวมากแต่กลับมีปีกขนาดใหญ่ที่เหมือนปีกนกที่กลางหลัง จะบอกว่าเป็นมังกร ก็ไม่เชิง จะบอกว่าเป็นงูก็ไม่ใช่ ยิ่งนกยิ่งแล้วใหญ่

“แต่พลังนั่นมันอะไร ข้าไม่เคยเห็นพลังแบบนั้นมาก่อนเลย”ไป๋หลินถามพลางจ้องมองซาราอย่างตั้งใจ ยามนั้นดวงตาของไป๋หลินก็ส่องประกายสีม่วงออกมาอย่างเด่นชัดทำให้ไป๋หลินสามารถมองเห็นพลังของซาราได้

ตัวซารามีพลังอสูรอยู่ เพียงแต่พลังอสูรไม่ใช่พลังอย่างเดียวที่ตัวซารามี มันไม่ใช่พลังวิญญาณและไม่ใช่พลังมาร

“เจ้านี่ใช่อสูรแน่เหรอ”ชิงชิวถามพลางมองไป๋หลินที่ต้องหลบอยู่ข้างนอกเพื่อมองดูเจ้าซารา ปกติอสูรไม่เคยต่อต้านคนตระกูลไป๋ผู้มีพลังดึงดูดเหล่าอสูร แต่ซารากลับไม่สนใจพลังนั้นเลย มันพยายามหลบจากทั้งไป๋จูเหวินและไป๋หลินตลอด แม้แต่ไป๋ชินอี้ที่เก็บเอามีดที่ส่งกลิ่นหอมเข้าแหวนมิติไปแล้วยังไม่สามารถดึงความสนใจของเจ้าซาราได้

“แต่มันมีพลังอสูรนี่นา”ไป๋หลินตอบพลางกระพริบตาปริบๆ

“ไม่ใช่ว่าเจ้านั่นไม่ใช่อสูร แต่กินแก่นอสูรเข้าไปหรือขอรับ”ชิงชิวถามเพราะคนที่มีพลังอสูรแต่ไม่ได้โดนพลังดึงดูดอสูรของตระกูลไป๋ก็มีพวกนักล่าอสูรที่กลืนแก่นอสูรเข้าไปอยู่

“แล้วมันคือตัวอะไรล่ะ”ไป๋หลินถามพลางทำหน้ามุ่ย เจ้าซาราดูกลัวมนุษย์มากเลย มันไม่ยอมเข้าใกล้มนุษย์ทุกคนสักนิด แค่ไป๋หลินโผล่หน้าไปที่หน้าต่างมันยังเข้าไปซ่อนเลย ทำเอาไป๋หลินเกิดอาการอยากจับตัวซาราขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“บางทีอาจจะเป็นอย่างที่ชิงชิวพูดก็ได้”ไป๋จูเหวินพูดพลางเดินเข้ามาหาบุตรสาว

“องค์จักรพรรดิ”ชิงชิวประสานมือคารวะไปทางไป๋จูเหวินด้วยท่าทีสุภาพก่อนจะถอยออกมาให้ไป๋จูเหวินเข้าไปหาไป๋หลิน

“พ่อลองถามคนของอาณาจักรอีมอร์แล้ว ดูเหมือนซาราจะเป็นสัตว์ในตำนานของอาณาจักรอีมอร์”ไป๋จูเหวินเล่าพลางมองเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่ไป๋หลินใช่แอบมอง แต่ถึงจะบอกว่าแอบมองแต่สองพ่อลูกคู่นี่ก็ไม่ได้เปิดหน้าต่างออกแม่แต่น้อยเพราะดวงตาของทั้งสองสามารถมองทะลุเข้าไปในห้องได้นั่นเอง

“สัตว์มายา ไม่ใช่อสูรหรือขอรับ”ชิงชิวถามด้วยความสนใจ

“ที่นี่จะเรียกอสูรว่า ปีศาจ แต่ซาราตัวนี้ไม่ได้ถูกนับเป็นปีศาจ”ไป๋จูเหวินว่าพลางมองเจ้าซาราที่กำลังนอนอยู่ เจ้านี่มีปีกแต่กลับบินไม่ได้ บางทีอาจจะเพราะยังเป็นตัวอ่อนอยู่ก็ได้

“ในอาณาจักรทางตะวันออกเล่ากันว่าซาราคือเตาหลอมแห่งพระเจ้า”ไป๋จูเหวินเล่าพลางมองบุตรสาวกับบุตรชายของตนที่นั่งอยู่กับเหม่ยหลิน ที่อยู่ตรงนี้มีแต่ครอบครัวของไป๋จูเหวินทั้งสิ้น มีเพียงชิงชิวคนเดียวที่เป็นคนนอก แต่ตัวชิงชิวทำงานให้มันอย่างซื่อสัตย์มาตลอด เรียกได้ว่าสามารถไว้ใจได้เต็มร้อยอยู่แล้ว

“เตาหลอม?”ไป๋หลินขมวดคิ้วพลางมองไปทางเจ้าซาราที่นอนอยู่ในห้อง

“ตามตำนานแล้วซาราจะเกิดและอาศัยอยู่ในรังของปีศาจหรือที่พวกเราเรียกว่าเขตอสูรนั่นล่ะ พวกมันจะกินสมันไพรในเขตอสูรเป็นอาหาร เพียงแต่มันไม่เหมือนพวกเราที่กินแล้วจะเอามาเพิ่มพลังของตนเอง”ไป๋จูเหวินเล่าด้วยท่าทีจริงจัง เรื่องนี้เป็นเพียงตำนานที่พวกอาณาจักรอีมอร์เล่าต่อกันมาเท่านั้น

“แล้วมันกินเข้าไปทำไมเจ้าคะ”ไป๋หลินถามพลางมองไปทางบิดาของตน

“เป็นอาหารจริงๆยังไงล่ะ แต่ผลของสมุนไพรพวกนั้นจะผสมกับเลือดของซาราและกลายเป็นยาวิเศษไป ทำให้ผู้ดื่มเลือดของซาราเข้าไปมีพลังเพิ่มขึ้น”ไป๋จูเหวินเล่าจบชิงชิวก็ทำหน้าอ๋อออกมาทันที

“มิน่า พวกมันถึงได้มีคนระดับเจ้าสวรรค์มากมายนัก”ชิงชิวพึ่งจะเข้าใจเสียทีว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะมันไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่อสูรกิ้งก่ากลับมารายงานนั่นเอง

“แต่ปัญหาตอนนี้คือเราจะเอายังไงกับเจ้าซารานี่ดี”ไป๋จูเหวินว่าพลางถอนหายใจออกมา จะพามันไปปล่อยที่เดิมก็ไม่ทราบว่ามันเคยอยู่ที่ไหนมาก่อน คนเดียวที่ทราบว่าแต่เดิมซาราอยู่ที่ไหนก็มีเพียงจักรพรรดิอีมอร์ที่โดนไป๋จูเหวินและอสูรปักเป้าเป่ากลายเป็นฝุ่นไปแล้วเสียด้วย

“เราเลี้ยงมันเอาไว้ไม่ได้หรือขอรับ”ชินอี้ถามออกมา

“นั่นสิคะท่านพ่อ พวกเราเลี้ยงซาราเอาไว้แล้วบอกทุกคนว่ามันเป็นอสูรชนิดหนึ่งไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าเอาไปปล่อยที่เดิมอาจจะมีคนอย่างจักรพรรดิอีมอร์จับไปเพิ่มพลังอีกก็ได้”ไป๋หลินถามพลางมองเจ้าซาราอย่างเสียดาย ถึงไม่นับเรื่องพลังในเลือดของมัน แต่ตัวมันก็น่ารักดีแถมพอเห็นท่าทีขี้กลัวของมันแล้วยังทำให้ไป๋หลินถูกใจไม่น้อยเลย

“เราจะเลี้ยงมันได้ยังไง แค่เจอมนุษย์มันก็กลัวจนหนีไปซ่อนแล้ว”เหม่ยหลินถามเมื่อเห็นท่าทีของลูกๆ

“ถ้างั้นเราก็ต้องทำให้ซาราหายกลัวสินะ”ไป๋หลินว่าพลางลองแง้มหน่าต่างเพื่อให้ซาราเห็นตนเอง แต่ทันทีที่มีเสียงหน้าต่างดังขึ้นเจ้าซาราก็ลุกพรวดเข้าไปหลบหลังตู้เสียอย่างนั้น

“ท่านพ่อ เจ้านี่มันกินสมุนไพรในเขตอสูรสินะเจ้าคะ”ไป๋หลินว่าพลางนำสมันไพรชิ้นหนึ่งออกมาจากมิติของตน

“มานี่มา”ไป๋หลินเปิดประตูเข้าไปในห้องพลางย่องไปทางตู้ที่ซาราหลบอยู่

“มานี่มา ไม่ต้องกลัว”ไป๋หลินว่าพลางยื่นสมุนไพรไปทางเจ้าซารา เห็นแบบนั้นเจ้าซาราก็มีท่าทีสนใจขึ้นมาทำให้มันโผล่หัวออกมาจากด้านหลังตู้เล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าไป๋หลินเป็นคนถือมันก็รีบกลับเข้าไปหลังตู่ทันที

“กินสิ”ไป๋หลินวางสมุนไพรเอาไว้กับพื้นก่อนจะเดินถอยออกมา จะให้ซารามากินอาหารจากมือเลยท่าทางจะยากเกินไปสำหรับตอนนี้

ฟุบ.. ทันทีที่ไป๋หลินถอยออกไปเจ้าซาราก็พุ่งตัวออกมาคาบสมุนไพรกลับเข้าไปที่หลังตู้ทันที

“ดูสิท่านพ่อ มันกินแล้ว”ไป๋หลินว่าพลางมองทะลุตู้ไปด้านหลัง เห็นเจ้าซารากินสมุนไพรหมดในพริบตาก็พอจะทราบว่ามันคงหิวเอาเรื่อง จะว่าไปจักรพรรดิอีมอร์ก็คงไม่ได้หาสมุนไพรมาให้มันกินหรอก ไม่รู้ว่าเจ้านี่ต้องอดอยากมานานเท่าไหร่ แต่พอเห็นแบบนี้แล้วการพาซารากลับไปเลี้ยงในฐานะอสูรก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย นอกจากจะปิดบังตัวตนของซาราได้แล้วยังสามารถป้องกันไม่ให้ใครเอาซาราไปใช้งานผิดๆได้อีกต่างหาก

“เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าเจ้าทำให้ซาราเชื่องได้ พ่อจะยอมให้เจ้าเลี้ยงเอาไว้”ไป๋จูเหวินตอบพลางยิ้มออกมา ไม่ใช่แค่ไป๋หลินเท่านั้นที่สนใจ แม้แต่ชินอี้เองยังสนใจจนพยายามไปชะเง้อมองจากหน้าต่างเลย แต่น่าเสียดายที่ชินอี้ไม่มีเนตรแมงมุมทำให้ไม่สามารถมองเห็นหลังตู้ได้

“พี่หญิง เอาสมุนไพรให้มันอีกได้ไหม”ชินอี้ถามพลางมองไปทางไป๋หลิน

“ได้สิ”ไป๋หลินว่าพลางเอาสมุนไพรออกมาวางในห้องอีกครั้ง แต่จนกว่าไป๋หลินจะถอยออกไปเจ้าซาราก็ไม่ยอมออกมาจากหลังตู้เลย แต่พอไป๋หลินออกมาพ้นระยะแล้วมันถึงออกมาเอาสมุนไพรกลับไปเข้าไปในตู้ แม้จะเป็นเพียงชั่วพริบตาที่เห็นมันแต่ชินอี้ก็มีท่าทีตื่นเต้นมากทีเดียว