บทที่ 229
ไม่หวั่นเกรง
“เจ้ายังจะถามอีกงั้นรึ?” ตงหมิงหยูจ้องเย่เย่ด้วยสายตาประชดประชัน เขามั่นใจว่าเย่เย่มีส่วนในการตายของกงเจิ้นอย่างแน่นอน
“ดูเหมือนว่าข้าพูดอะไรไปคงไม่มีประโยชน์สินะ เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านมีหลักฐานอะไรมากล่าวหาข้า!?” เย่เย่ยังไม่ละความพยายามที่จะเอาตัวรอด เขาเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเมื่อถูกกล่าวหา
“หลักฐานงั้นรึ? ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ต้องสงสัย ของพรรค์นั้นก็ไม่จำเป็น!” พอถูกถามถึงหลักฐาน ตงหมิงหยูก็เริ่มแสดงท่าทีไม่พอใจ และโคจรปราณไปทั่วร่าง
เมื่อเห็นว่าสันติคงไม่ใช่ทางออก เย่เย่ก็เดินพลัง กระตุ้นจิตวิญญาณมังกรอสรพิษออกมาจนเกล็ดสีดำปกคลุมตั้งแต่ต้นคอลงไปทั้งร่าง
ตู้มมมมมมมมมมมมมมมม!
เสียงระเบิดดังขึ้นจากชั้นสอง กระแสปราณที่ปะทะกันอย่างรุนแรงของทั้งสองทำให้หอการค้าหยูเย่ขนาดกลางทรุดตัวลง
ผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่แถวนั้นต่างมองมาที่อาคารที่ทรุดตัวลงเป็นตาเดียวด้วยความตื่นตระหนก พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะมีใครกล้าหาเรื่องเย่เย่ผู้พิชิตตระกูลเจียงมาก่อน
“ปะ เป็นไปไม่ได้!” ลู่จุ้นกุมหัว ก่อนทรุดตัวลงด้วยความเครียด เมื่อเห็นหอการค้าที่เปรียบเสมือนบ้านเหลือเพียงซาก
เมื่อฝุ่นตลบจางลง เผยให้เห็นร่างของเย่เย่ถูกซัดจนกระเด็นด้วยน้ำมือของชายชุดขาว
“โอ๊ะโอ๋? เจ้าแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก” ตงหมิงหยูแปลกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นเย่เย่ไม่เพียงแต่ไม่สิ้นใจในทันที แต่กระอักเลือดออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
มวลอากาศที่อยู่บริเวณนั้นสั่นไหวประหนึ่งไอร้อนจากกาต้มน้ำ ค่อยๆถูกดูดซึมเข้าสู่ตัวของตงหมิงหยู แปรเปลี่ยนเป็นพลังปราณให้กับเขา
ปรมาจารย์ทัณฑ์สวรรค์ฉวยโอกาสที่ร่างของเย่เย่ยังลอยอยู่กลางอากาศ ฟาดฝ่ามือที่อัดแน่นด้วยพลังแห่งโลกและสวรรค์ใส่เขาอีกครั้ง
เปรี้ยงงงงงงงงงงงง!
“ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินเจ้าต่ำเกินไป แต่เจ้ามาได้แค่นี้แหละ!” ตงหมิงหยูตวัดหมัดที่สามตัดเข้ากลางลำตัวเพื่อหวังปิดบัญชีเย่เย่ให้ได้โดยเร็วที่สุด
ในใจของเย่เย่นั้นยังคงสับสน โดยปกติทัณฑ์สวรรค์จะไม่ลงมือหากไม่มีหลักฐานเพียงพอ บางที่นี่อาจเป็นการทดสอบของตงหมิงหยู
พอเย่เย่คิดได้ดังนั้นก็รีบพลิกตัวตั้งหลัก แทนที่จะถอยออกไปกลับสะกิดเท้าพุ่งเข้าใส่ชายชุดขาว เขาไม่ยอมตกเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่ฝ่ายเดียวถึงแม้ว่าการเผยวรยุทธ์อาจทำให้เขาถูกเปิดโปงฐานะก็ตาม
ทันทีเมื่อตงหมิงหยูซัดหมัดมา เย่เย่ก็ซัดฝ่ามือสวนกลับไปด้วยพลังทั้งหมดที่มี
เปรี้ยงงงงงงงงงงงง!
แรงปะทะของทั้งสอง ทำให้มวลอากาศระเบิดแผ่รัศมีเป็นวงกว้าง ซากปรักหักพังของหอการค้าหยูเย่ก็ปลิวกระจัดกระจายออกไปอย่างไร้การควบคุม
ทั้งสองฝ่ายต่างถอยออกไปคนละสามสี่ก้าว ตงหมิงหยูยังสามารถยืนอย่างมั่นคง ในขณะที่ร่างของเย่เย่โงนเงนส่ายไปมา
“ถะ เถ้าแก่!” เมื่อลู่จุ้นเห็นเย่เย่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ เขาก็ตะโกนเรียกเย่เย่ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
เถ้าแก่ร้านค้าอื่นๆที่อยู่ในละแวกเดียวกัน เมื่อเห็นเย่เย่ตกอยู่ในสภาพนั้น บ้างก็ยืนขาแข็งทำตัวไม่ถูก บ้างก็อ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น
เย่เย่นั้นไม่สนใจปฏิกิริยาโดยรอบ เขาพยายามประคองร่างที่หนักอึ้ง เช็ดเลือดที่มุมปากออก และจ้องเข้าไปในดวงตาของคู่ต่อสู้ตรงๆอย่างไร้ซึ่งความหวั่นเกรง
แม้ตงหมิงหยูจะประหลาดใจในความทนมือทนเท้าของเย่เย่ แต่หลังจากประมือไปได้สองสาม กระบวนก็นึกขึ้นได้ว่าด้วยวรยุทธ์ของประธานหอการค้าหยูเย่นั้นไม่อาจเอาชนะกงเจิ้นได้ ชายชุดขาวจึงคลายความเคลือบแคลงลง
“เจ้ามีนามว่าเย่เย่สินะ ดี! ข้าจะจำเอาไว้ น้อยคนนักที่จะกล้าต่อล้อต่อเถียงกับพวกเราเช่นเจ้า หวังว่าพวกเราจะไม่ต้องพบกันอีก ลาก่อน” พอเริ่มมั่นใจว่าผู้ที่สังหารกงเจิ้นไม่ใช่เย่เย่ ปรมาจารย์ทัณฑ์สวรรค์ตงหมิงหยูก็สะบัดชายผ้าคลุมเดินจากไป
เย่เย่กุมอกผ่อนลมหายใจอย่างเหนื่อยหอบ ครั้นตงหมิงหยูเดินไปจนลับตา เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะถ้าหากตงหมิงหยูยังลงมือไปมากกว่านี้ สถานการณ์จะต้องบีบคั้นให้เขาใช้เกราะทมิฬและเผยฐานะประมุขแห่งอารามสวรรค์ต่อหน้าฝูงชนเป็นแน่
“หมอนั่นคือหนี่งในพวกทัณฑ์สวรรค์งั้นเรอะ!?”
“ไม่ผิดแน่ สองสามวันมากนี้ข้าได้ยินข่าวคราวว่าทัณฑ์สวรรค์จะมาหวางตู้อยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นกับตา”
“นับเป็นวาสนาของข้าที่ได้เห็นปรมาจารย์ทัณฑ์สวรรค์ตัวเป็นๆ!”
ฝูงชนผู้อยู่ในเหตุการณ์ต่างเมินเฉยต่อเย่เย่ แต่กลับเพ่งความสนใจไปที่ชายชุดขาว มีเพียงบางส่วนที่สงสัยเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างเย่เย่และทัณฑ์สวรรค์
ภัยพิบัติของหอการค้าหยูเย่ได้สิ้นสุดลง แม้ว่าหอการค้าจะถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดี แต่ทั้งเย่เย่และลู่จุ้นยังเอาชีวิตรอดมาได้ก็นับว่าสวรรค์ยังเมตตาพวกเขาอยู่บ้าง
สิ่งเดียวที่เย่เย่ต้องการคือเวลา ตราบใดที่เขามีเวลามากพอในการสั่งสมวรยุทธ์ ไม่เพียงแต่ตงหมิงหยู ต่อให้ทัณฑ์สวรรค์ยกพลมาทั้งก๊ก เย่เย่ก็มั่นใจว่าจะเอาชนะพวกเขาได้
เมื่อขั้วอำนาจหลักในหวางตู้ทราบเรื่องที่เกิดขึ้น ต่างก็หมางเมินหอการค้าหยูเย่ไปตามๆกัน เหลือเพียงเซี่ยงเฟ่ยหลินที่ยังคงมาหาเย่เย่เพื่อแสดงความเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เย่เย่ก็ไม่ได้อธิบายเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียด เพราะเขาเชื่อว่าสำนักข่าวพิราบฟ้าทราบดีอยู่แล้ว
“ขอบคุณท่านมาก ท่านเซี่ยง ปรมาจารย์แห่งทัณฑ์สวรรค์นั้นเข้าใจข้าคลาดเคลื่อนจึงทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ต้องขออภัยหากข้าทำให้ท่านเซี่ยงต้องลำบากใจ” เย่เย่รู้สึกขอบคุณและรู้สึกผิดในเวลาเดียวกัน
ก่อนที่เซี่ยงเฟ่ยหลินจะทำสัญญากับเย่เย่ในครั้งนั้นเขาได้ตรวจสอบตัวตนของเย่เย่อย่างละเอียดรอบคอบ และไม่มีข้อมูลไหนบ่งชี้ว่าเย่เย่เป็นวิญญาณกลับชาติมาเกิด หรือแม้แต่ประมุขอารามวิถีสวรรค์ ดังนั้นจ้าวสำนักข่าวพิราบฟ้าจึงยังคงเชื่อใจเย่เย่และปฏิบัติกับเขาดังเดิมเสมอต้นเสมอปลาย หลังจากจับเข่าบรรเทาทุกข์กันเสร็จสรรพ เซี่ยงเฟ่ยหลินก็ขอตัวลากลับ
ระหว่างนั้นลู่จุ้นก็ได้นำเงินจำนวนหนึ่งไปจ้างวานคนงานเพื่อมาซ่อมแซม หอการค้าหยูเย่ที่ถูกถล่มจนยับเยิน นอกจากนั้นเย่เย่เองก็ได้จัดวางค่ายกลเพื่อเสริมการป้องกันให้กับหอการค้า
ในอีกด้านหนึ่ง ตงหมิงหยูก็ได้เดินทางถึงพระราชวัง เชื้อพระวงศ์และผู้คนในราชสำนักต่างก็ออกมาต้อนรับ จี๋เฉียนเยว่ผู้นำหกนิกายก็ได้ออกมาแสดงความภักดีด้วยเช่นเดียวกัน
หลังจากเสร็จสิ้นพิธี ทั้งสามฝ่าย ทัณฑ์สวรรค์ ราชสำนัก และหกนิกายก็ร่วมกันหารือเกี่ยวกับประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์และกองกำลังปีกแห่งแสง
การประชุมของพวกเขาถูกจัดขึ้นอย่างลับๆ แต่ครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนๆที่ผ่านมา เพราะครั้งนี้ทัณฑ์สวรรค์ได้ลงมาสะสางเรื่องราวทั้งหมดด้วยตัวเอง…