ตอนที่ 519 ฝ่าบาททรงปิติยินดี
สวี่หวยซู่ได้ร่าง ‘สนธิสัญญาเงินชดเชยติงเว่ย’ ขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนรับมาอ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนจะส่งให้เยียนเหลียงเจ๋อ
“ในเมื่อสองแคว้นได้ลงสนธิสัญญาว่าจะมิรุกรานซึ่งกันและกันแล้ว ข้าก็อยากจะกล่าวความในใจต่อพวกท่านว่า ข้าสนใจทุ่งหญ้าของแคว้นฮวงมากยิ่งนัก ข้ามิได้สนใจทัพ 400,000 นายของท่าป๋าเฟิงที่เล่าขานกันมาเลยสักนิด เยี่ยงนั้นข้าจะเล่าให้ฟัง ทุกท่านคงเคยได้ยินนามของกองกำลังดาบเทวะใช่หรือไม่ ?
กองกำลังดาบเทวะเคยใช้ทหาร 1,000 นาย เพียง 1,000 นายนี้ สามารถสังหารทหารของแคว้นฮวงได้ถึง 20,000 นาย ! ”
สำหรับเรื่องนี้ เยียนเหลียงเจ๋อและคนอื่น ๆ ต่างก็ทราบดี ถึงเยี่ยงไรพวกเขาก็ยังมีข้อสงสัยต่อเรื่องนี้… ดาบเทวะ 1,000 นายสังหารทหารของแคว้นฮวง 20,000 นายบนภูเขาผิงหลิง จากนั้นก็ไปรวมเข้ากับกองกำลังดาบเทวะที่เหลือบุกเข้าอาณาเขตของแคว้นฮวงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับเข้าสู่ดินแดนร้างไร้ผู้คน
นี่มันค่อนข้างเกินจริงไปมาก ดังนั้น ยามอยู่ในท้องพระโรงของแคว้นอี๋ จึงมิมีผู้ใดเชื่อแม้แต่คนเดียว
จนเวลาต่อมามีปืนคาบศิลาจำนวนหนึ่งถูกส่งไปยังแคว้นอี๋ พวกเขาจึงได้ทราบว่าแท้จริงแล้วกองกำลังดาบเทวะครอบครองศาสตราเทพอยู่นั่นเอง !
นี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้แคว้นอี๋กริ่งเกรงราชวงศ์หยู
หากกองทัพชายแดนตะวันออกติดตั้งศาสตราเทพเหล่านั้น แม้ห่างออกไปหลายร้อยจั้งก็สามารถคร่าชีวิตทหารของตนได้ สงครามนี้… จะต่อกรได้เยี่ยงไร ?
เมื่อได้ฟังฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถึงอีกครา พวกตนย่อมเชื่อไปโดยปริยาย เยี่ยงนั้นหลังจากสงครามระหว่างแคว้นหยูและแคว้นอี๋จบลง รอให้กองทัพชายแดนเหนือฟื้นตัวขึ้นเป็นเวลาหนึ่งปีครึ่ง หากกองทัพแห่งราชวงศ์หยูออกเดินทางขึ้นเหนือถึงด่านเยี่ยนซาน ย่อมมีความเป็นไปได้อย่างยิ่ง
ดังนั้นหลังจากเปียนมู่หยูได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกล่าวเช่นนั้น เขาจึงเอ่ยยิ้ม ๆ ว่า “ในเมื่อใต้เท้าฟู่มีความสนใจในแคว้นฮวงเช่นกัน สำหรับส่วนแบ่งในอนาคต…”
ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือไปมา “มิต้องกังวล นั่นขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละฝ่าย อาณาเขตของแคว้นฮวงที่ท่านยึดครองมาได้ ราชวงศ์หยูจะมิแตะต้องอย่างแน่นอน เช่นเดียวกัน อาณาเขตที่ราชวงศ์หยูยึดมาได้ แคว้นอี๋ก็อย่าได้หมายปอง”
นั่นคือสิ่งที่เปียนมู่หยูนึกกังวล พอได้ยินดังนั้นจึงวางใจลง แล้วยังเอ่ยถามต่ออีกว่า “ในส่วนของข้อตกลงนี้ ได้รวมอยู่ในสนธิสัญญาพันธมิตรด้วยหรือไม่ ? ”
“สุภาพบุรุษนั้นใจกว้าง เป็นการดียิ่งที่จะรวมเข้าไปด้วย เพื่อมิให้เกิดข้อพิพาทขึ้นอีกในภายภาคหน้า”
ดังนั้น ภายใต้คำคุยโวของฟู่เสี่ยวกวน เยียนเหลียงเจ๋อก็ได้นำตราประทับใหญ่ทั้งสามออกมา !
ตราที่หนึ่ง ย่อมเป็นตราประทับของจักรพรรดิแห่งแคว้นอี๋ที่มอบอำนาจในการเจรจาครานี้ให้แก่องค์รัชทายาทเยียนเหลียงเจ๋อ หากตรานี้ถูกประทับลงไปย่อมหมายความว่าองค์จักรพรรดิรับทราบสนธิสัญญานี้แล้วเช่นกัน
ตราที่สอง คือตราประทับขององค์รัชทายาทผู้ครอบครองตำหนักบูรพา ตราประทับนี้หมายความว่าราชทูตได้เป็นพยานในการเจรจาครานี้แล้ว
ตราที่สาม คือตราประทับทางราชการของท้องพระโรงอี้เจิ้ง ตราประทับราชการนี้หมายความว่าท้องพระโรงอี้เจิ้งได้มีส่วนร่วมและเห็นด้วยกับสนธิสัญญาฉบับนี้
สวี่หวยซู่เองก็ประทับลงไปสามตราเช่นกัน เพียงแต่ตราประทับขององค์รัชทายาทเปลี่ยนเป็นตราประทับส่วนบุคคลของฟู่เสี่ยวกวน และตราประทับราชการของท้องพระโรงอี้เจิ้งก็เปลี่ยนเป็นตราประทับราชการของกรมพิธีการ
และตอนนี้ การเจรจาก็ได้สิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์
เหล่าขุนนางของแคว้นอี๋ที่เดิมทีมีท่าทางผิดหวังและฉุนเฉียว ก็ได้ผ่อนคลายลงมามากเพราะกลยุทธ์ที่ฟู่เสี่ยวกวนเสนอขึ้นมา
เมื่อมีกลยุทธ์นี้ หลังจากกลับแคว้นไปแล้วทูลถวายต่อฝ่าบาท อธิบายถึงเหตุผลไปอย่างชัดเจน คาดว่าฝ่าบาทจะทรงยอมรับได้เช่นกัน เมื่อสู้ราชวงศ์หยูมิได้ หากมิยกดินแดนให้เป็นการชดเชย ราชวงศ์หยูก็จะเดินทัพต่อไป ส่วนแคว้นอี๋จะสิ้นชาติมิใช่หรือ ?
ด้วยการเจรจาอย่างยากลำบากนี้ ได้หยุดการรุกรานของทัพราชวงศ์หยูได้สำเร็จ แม้จะต้องชดเชยด้วยเงิน 180 ล้านตำลึงและยกอาณาเขตว่อเฟิงหยวนผืนใหญ่ให้กับแคว้นหยู แต่ความสูญเสียเหล่านี้ก็สามารถหาคืนได้จากแคว้นฮวงมิใช่หรือ
ย่อมดีกว่าเสียชาติ สมเหตุผลดีหรือไม่ ?
ในตอนนี้ เยียนเหลียงเจ๋อได้กลับสู่สภาวะทางอารมณ์ที่ปกติ ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าทั้งร่างได้ผ่อนคลายลงมามาก ในความคิดของตน สนธิสัญญายกดินแดนให้เป็นการชดเชยนี้ ความสำคัญยังห่างไกลจากสนธิสัญญาไม่รุกรานซึ่งกันและกันอีกฉบับ
ดังนั้น เขาจึงลืมความเกลียดชังที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวนไปจนสิ้น กล่าวอีกนัยคือไม่อยากยั่วยุศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างฟู่เสี่ยวกวนอีกต่อไปแล้ว
“จากนี้ไป ทั้งสองแคว้นถือเป็นมิตรต่อกัน ท่านเสี่ยวกวน แม่นางยิงฮวาที่หอกั๋วเซ่อเทียนเซียงมิใช่เรื่องเพ้อเจ้อ แม่นางผู้นั้นเกิดมามีรูปลักษณ์งดงามอย่างแท้จริง ได้ยินว่านางเพิ่งมาจินหลิงได้เพียง 2 เดือน ทว่าขายแต่ความสามารถ มีใจเลื่อมใสต่อผู้มีพรสวรรค์ ท่านเป็นถึงผู้นำของเหล่าผู้มีพรสวรรค์ในใต้หล้า หากราตรีนี้สามารถจับหัวใจของยิงฮวาได้…”
รอยยิ้มมีเลศนัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเยียนเหลียงเจ๋อ “ท่านเสี่ยวกวนก็เข้าไปในห้องนอนของยิงฮวาแล้วเพลิดเพลินเสียบ้างเถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า ในใจคิดว่าตนเพิ่งผ่านการโดนลอบสังหารที่หงซิ่วจาวมาไม่นาน ให้ตายเถอะ ! ทราบหรือไม่ว่ายิงฮวาผู้นี้ศักดิ์สิทธิ์เพียงใด ?
“ขอมิปิดบังพี่เยียน ภรรยาทั้งสามของข้าคือสามสาวงามแห่งเมืองจินหลิง สตรีทั่วไปคงมิอยู่ในสายตาของข้า”
“หากท่านเสี่ยวกวนได้มายลโฉมของนางในราตรีนี้ก็จะทราบว่าสตรีผู้นี้ เป็นอีกรสชาติหนึ่ง เอาเถอะ ! การเจรจาจบลงแล้ว ข้าต้องกลับไปหารือเรื่องที่จะตามมาในภายหลัง ราตรีนี้ ณ หอกั๋วเซ่อเทียนเซียง มิพบมิเลิกรา ! ”
“เยี่ยงนั้นข้ามิขอรั้งพี่เยียนไว้แล้ว คืนนี้ข้าต้องไปให้ได้ ! ”
เยียนเหลียงเจ๋อพาขุนนางของแคว้นอี๋เดินออกไปอย่างเร่งรีบ พวกเขาต้องกลับโรงเตี๊ยมเพื่อร่างกำหนดวันกลับแคว้น
ในวันนี้ เพราะกลยุทธ์ของฟู่เสี่ยวกวนเขาจึงมีทางเลือกเพิ่มขึ้นมาอีกทาง หนึ่งคือการยึดบัลลังก์หรือทัดทานฝ่าบาท จำเป็นต้องฟังความคิดเห็นของที่ปรึกษาเหล่านี้
ณ หงหลูซื่อ กำลังร่อนสนธิสัญญาสองฉบับที่ประทับตราเรียบร้อยไปยังวังหลวง
ฮ่องเต้กำลังหารือเรื่องการเตรียมการเพาะปลูกรวมถึงเรื่องที่ทางตะวันตกอาจจะก่อกบฏกับเยี่ยนเป่ยซี เยี่ยนซือเต้า เยี่ยนฮ่าวชู และต่งคังผิง
“หารือกันไปมา สุดท้ายก็จบที่ไร้ข้อสรุป น่าโมโหยิ่ง ! ” ฝ่าบาทไพล่สองหัตถ์เอาไว้ด้านหลังแล้วเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องทรงพระอักษร “ข้ามิกล้าแม้แต่จะหารือเรื่องการบูรณะแม่น้ำหวงเหอ เพราะความจนจึงมิมีเงินไปเพิ่มเงินเดือนและสวัสดิการแก่นายทหารชั้นสูง เป้าหมายว่าจะเกณฑ์ทหาร 300,000 นาย จนถึงวันนี้เพิ่งสำเร็จได้เพียงครึ่ง”
“แม้แต่ปืนคาบศิลาจำนวนมาก ข้าก็ละอายเกินกว่าที่จะเอ่ยขอจากฟู่เสี่ยวกวน โชคยังดีที่เขาคือราชบุตรเขยของข้า จะไม่ขอปิดบังพวกเจ้า เป็นฮองเฮาที่เอ่ยปากขอปืนจากเขาจำนวน 100,000 กระบอก เมื่อรวมเข้ากับลูกกระสุน คิดเป็นเงินอย่างน้อยก็ 500,000 ตำลึง นี่ย่อมสร้างความขาดทุนโดยไร้เหตุผลให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน”
“แต่ปัจจุบัน ข้าก็ยังไร้หนทางจ่ายคืนให้กับเขา โชคดีที่ราชบุตรเขยผู้นี้เก่งกาจยิ่ง ทำกิจการจนสามารถหาเงินจำนวนนั้นคืนมาได้”
“ทว่านี่มิใช่แผนการระยะยาว ความสุขของแคว้น มิสามารถพึ่งพาคนเพียงคนเดียวได้ หากมีกรณีที่เขาล้มละลายขึ้นมา แล้วจะทำเยี่ยงไรต่อไป ? ดังนั้นปีนี้จึงต้องดำเนินนโยบายการค้าและการเกษตร ต้องเร่งดำเนินการ ต้อง…”
เพิ่งกล่าวคำว่า ‘ต้อง’ ได้เพียงคำเดียว ขันทีเจี่ยก็ได้ปรี่เข้ามา คาดมิถึงว่าเขาจะกล้าขัดคำกล่าวของฝ่าบาท และตะโกนเสียงดังว่า “ฝ่าบาท มีเรื่องน่ายินดี เรื่องน่ายินดีพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฮ่องเต้ผงะ มารดาเจ้าสิ ! ข้ากลุ้มใจเสียจนผมขาวหมดแล้ว ยังมีเรื่องน่ายินดีอันใดอีกกัน ?
“ท่านเสี่ยวกวน สนธิสัญญาการเจรจาของท่านเสี่ยวกวน ออกมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฝ่าบาทรวมไปถึงเยี่ยนเป่ยซีและคนอื่น ๆ ล้วนตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน การเจรจาของฟู่เสี่ยวกวนและแคว้นอี๋ในวันนี้พวกเขาต่างก็รับทราบกันดี การเจรจามิใช่ต้องใช้เวลาสามถึงห้าวันหรอกหรือ ? ยังมิทันถึงยามอู่เลย เหตุใดจึงเสร็จสิ้นแล้วกัน ?
เจ้าเด็กนี่ ทำงานเชื่อถือมิได้ คงทำแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอดเท่านั้น !
ฮ่องเต้ขมวดพระขนงทันที รับสนธิสัญญาทั้งสองฉบับมาจากมือของขันทีเจี่ย จากนั้นก็ทรงทอดพระเนตรแล้วจึงเบิกดวงเนตรขึ้นโดยพลัน และตกอยู่ในภวังค์เสียเนิ่นนาน
ทันทีที่เยี่ยนเป่ยซีและคนอื่น ๆ เห็นท่าทีของฝ่าบาท ใจก็พลันกระตุกขึ้นมา เด็กนี่…หรือว่าจะมิได้รับประโยชน์ใดกลับมาเลยกัน ?
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ… ! ”
ทันใดนั้น ฮ่องเต้ก็แย้มพระสรวลออกมา ท่าทางปลื้มปิติอย่างแท้จริง พระองค์ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นโบกสนธิสัญญาไปมาอยู่กลางอากาศ
“หากฟ้ามิให้กำเนิดฟู่เสี่ยวกวน ในวันนี้ ราชวงศ์หยูย่อมขาดแคลน ! ”
“ข้ามีเงินแล้ว ! ”