ตอนที่ 520 จะมอบรางวัลเยี่ยงไร

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 520 จะมอบรางวัลเยี่ยงไร

การที่ฮ่องเต้แสดงท่าทางเช่นนั้นออกมา ทำให้เยี่ยนเป่ยซีและคนอื่น ๆ ตกตะลึงเสียจนนิ่งค้าง

นี่เป็นข่าวดียิ่ง ฟู่เสี่ยวกวนให้แคว้นอี๋ชดเชยเงินถึง 30 ล้านเชียวหรือ ?

หากมีเงินจำนวน 30 ล้าน ปัญหาทั้งหมดที่เกิดในช่วงต้นปีก็สามารถจัดการโดยง่าย ทันใดนั้นดวงตาของต่งคังผิง เสนาบดีกรมคลังก็เป็นประกายขึ้นมา กรมคลังดูแลเงินของแคว้น หลายปีมานี้รายรับมิเพียงพอ ทำให้เขาปวดหัวเสียจนผมหงอกผมขาว

ต่งคังผิงเบิกตากว้างมองฝ่าบาท ทูลถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า “ฝ่าบาท เท่าใดพ่ะย่ะค่ะ ? ”

ฮ่องเต้หัวเราะร่าออกมาเสียงดัง บัดนี้ พระองค์ทรงยินดียิ่ง มิเหลือท่าทางเคร่งขรึมของฮ่องเต้อยู่แม้แต่น้อย พระองค์ทรงเลิกพระขนงขึ้นแล้วตรัส “พวกเจ้าลองเดาดูสิ ! ”

เยี่ยนเป่ยซีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ฝ่าบาททรงเป็นฮ่องเต้ที่ค่อนข้างสุขุม จำนวนเงินที่ทำให้ยินดีจนเสียกิริยาได้ถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าย่อมมิใช่น้อย ดังนั้นจึงกล่าวตัวเลขที่ตนมิเคยจินตนาการมาก่อนว่า “40 ล้านตำลึง ? ”

ฮ่องเต้แย้มพระโอษฐ์ที่เปี่ยมไปด้วยเลศนัย “ซือเต้า เจ้าลองเดาดู”

เยี่ยนซือเต้านึกอยู่ในใจว่าจำนวนเงินถึง 40 ล้านคงเป็นไปมิได้ ภาษีที่แคว้นอี๋รวบรวมได้ยังมิถึงปีละ 10 ล้าน จะชดเชยด้วยเงินภาษีถึง 4 ปีได้เยี่ยงไร ? ดังนั้นเขาจึงทูลตอบอย่างเรียบง่ายว่า “กระหม่อมคาดว่าราว 20 ล้านพ่ะย่ะค่ะ”

“ลองเดาต่อ จงกล้าคาดเดาออกมา ฮ่าวชู เจ้าลองว่ามาสิ”

“กระหม่อมคาดว่า…50 ล้านตำลึงพ่ะย่ะค่ะ ! ” นับว่ากล้าพอแล้วหรือยัง ? เยี่ยนฮ่าวชูเองยังรู้สึกว่าตัวเลขจำนวนนี้เหมาะสมแล้ว เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวน บุตรเขยของเขาผู้นี้มิธรรมดา

“คังผิง เจ้าลองทายดู”

บัดนี้ต่งคังผิงตื่นเต้นเสียจนทำอันใดมิถูก สามคนแรกนั้นเห็นได้ชัดว่าทายผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนที่เยี่ยนฮ่าวชูทายว่า 50 ล้าน ฝ่าบาททรงแสดงสีพระพักตร์มิสู้ดีออกมา สวรรค์ ! เจ้าหมอนี่ขูดรีดแคว้นอี๋ไปเท่าใดกันแน่ ?

เขาพยายามสงบอารมณ์เอาไว้ ยื่นมือทั้งสองข้างแบออก เมื่อครุ่นคิดแล้วจึงหดนิ้วสองนิ้วกลับคืนมา “80 ล้านตำลึงพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ! ”

ฮ่องเต้หัวเราะออกมาอย่างมีความสุขอีกครา ดวงตาของเยี่ยนเป่ยซีแทบจะหลุดออกมา “เป็นไปมิได้ ต่อให้แคว้นอี๋โง่ถึงเพียงใด ก็คงมิโง่เง่าถึงเพียงนั้น กระหม่อมจำได้ว่ามีคราหนึ่งฟู่เสี่ยวกวนให้พวกเขาชดใช้เป็นเงินจำนวน 80 ล้านตำลึง แต่กระหม่อมคิดว่าต้องผ่านการเจรจาและหักล้างลงมา ท้ายที่สุดคงหยุดอยู่ที่ 30 ล้าน”

ฮ่องเต้ก้าวออกไปแล้วประทับบนเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ พระหัตถ์หนึ่งถือหนังสือสัญญาสองฉบับ อีกพระหัตถ์ยกขึ้นลูบเครา ทอดพระเนตรขุนนางทั้งสี่แล้วตรัสว่า “ฟู่เสี่ยวกวน เป็นคนที่สวรรค์ส่งลงมาช่วยราชวงศ์หยูของข้าโดยแท้ ! เหอะ ๆ ๆ ก่อนหน้านี้ ที่เขาเมินเฉยต่อทูตของแคว้นอี๋ ข้ายังคงเป็นกังวลอยู่ แต่บัดนี้ เป็นข้าเองที่คิดผิด ความหมายลึก ๆ ของการกระทำเหล่านั้น ได้ปรากฏให้เห็นในวันนี้ และนี่คือหนังสือสนธิสัญญาสองฉบับในมือของข้า ! ”

“ฝ่าบาท เป็นจำนวนเงินเท่าใดกันแน่ ? อย่าทรงให้พวกกระหม่อมทายต่อไปเลย” ต่งคังผิงทูลถามอย่างร้อนใจ

ฮ่องเต้แย้มพระโอษฐ์ออกมาอีกครา รอยยิ้มนั้นดุจดั่งดอกฝ้ายแย้มบาน จากนั้นจึงโน้มพระวรกายมาด้านหน้าแล้วตรัสด้วยสุรเสียงสงบนิ่งว่า “ข้าจะบอกให้ว่าฟู่เสี่ยวกวน เจ้าหมอนั่น ให้แคว้นอี๋ชดใช้ถึง 180 ล้านตำลึง ! ”

“พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ ? เงินมากถึง 180 ล้านตำลึง ! ”

“หา…” เยี่ยนเป่ยซีพร้อมกับคนที่เหลือต่างก็สูดหายใจเข้าแล้วอุทานออกมาเสียงดัง เยี่ยนเป่ยซีแคะหู ราวกับว่ามิเชื่อในสิ่งที่หูของตนได้ยิน

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ พวกเจ้ารับไปดูเองก็แล้วกัน ! ”

เยี่ยนเป่ยซีรับหนังสือสนธิสัญญานั้นมาดู… ‘หนังสือสนธิสัญญาเงินชดเชยติงเว่ย’ ชื่อนี้ตั้งได้มิเลว เขามองไปด้านล่าง…ทันใดนั้นก็กระโดดโลดเต้นขึ้นมาราวกับเด็ก !

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ…” เยี่ยนเป่ยซีดีใจเสียจนหน้าแดง เขาอดมิได้ที่จะกระโดดโลดเต้นยกใหญ่

“เงินจำนวน 180 ล้านตำลึง จริง ๆ ด้วย ! เจ้าหมอนี่ เป็นดังดวงดาราเเห่งโชคลาภของราชวงศ์หยูอย่างแท้จริง เป็นขุนนางคนสำคัญยิ่ง ! ”

ต่งคังผิงและคนที่เหลือ ยังคงงงเป็นไก่ตาแตก ตั้งแต่ตอนฝ่าบาทตรัสตัวเลขนั้นออกมา โดยเฉพาะต่งคังผิงที่เข้าใจชัดเจนที่สุดว่าเงินจำนวน 180 ล้านตำลึง หมายถึงสิ่งใด

ภาษีที่ราชวงศ์หยูได้รับตลอดทั้งปีรวมกัน ต่อให้เป็นปีที่มีผลผลิตดี มากสุดก็ได้เพียงแค่ 20 ล้าน จำนวน 180 ล้านตำลึง หมายถึงต้องเก็บภาษีของราชวงศ์หยูนานถึง 10 ปี !

รายได้ของราชวงศ์หยูเพิ่มขึ้นในพริบตา ต่อจากนี้มิว่ากรมใดต้องการใช้เงิน ก็มิต้องเผชิญกับความยากแค้นอีกต่อไป

การทำนาในฤดูใบไม้ผลิจะเป็นไปอย่างราบรื่น จะมีเงินมากพอสำหรับบรรเทาอุทกภัยสองฝั่งแม่น้ำหวงเหอ อีกทั้งเงินเยียวยาให้แก่ครอบครัวของทหารที่เสียชีวิตในหน้าที่ และสามารถแจกจ่ายได้ในทันที ทหารผ่านศึกสามารถปลดประจำการได้ในเวลาอันรวดเร็ว อาวุธต่าง ๆ ที่กรมกลาโหมต้องการก็จะสามารถจัดทำได้ตามต้องการ…

แม้แต่ฝ่าบาทที่ประสงค์จะบูรณะวังหลังมาเนิ่นนาน บัดนี้ ก็มิใช่ปัญหาอีกต่อไป

ในขณะที่เขากำลังคิดว่าจะใช้เงินเหล่านี้เยี่ยงไร ฝ่าบาทก็ได้ตรัสขึ้นมาว่า “เงินชดเชยนี้หากเทียบกับการแบ่งดินแดนแล้ว มิใช่เรื่องใหญ่อันใด”

เมื่อเยี่ยนฮ่าวชูได้ยินดังนั้นจึงทูลถามออกไปว่า “ชดเชยด้วยเงินแล้วยังได้รับการแบ่งดินแดนอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

“ข้าจะบอกให้พวกเจ้าฟัง นับแต่นี้ต่อไป พื้นที่หนึ่งในสามของแคว้นอี๋ได้กลายเป็นของแคว้นหยูแล้ว ! ”

เมื่อประโยคนี้ดังขึ้น เยี่ยนซือเต้าและคนอื่น ๆ ล้วนพากันตกตะลึงเสียจนนิ่งงัน พื้นที่หนึ่งในสามของแคว้นอี๋หมายความว่าเยี่ยงไร ? เท่ากับราชวงศ์หยูมีมณฑลเพิ่มมาอีกหนึ่งที่เลยมิใช่หรือ !

ราชวงศ์หยูมีทั้งสิ้น 13 มณฑล การเจรจาของฟู่เสี่ยวกวนเพียงครึ่งวัน สามารถทำให้ราชวงศ์หยูเปลี่ยนเป็นมี 14 มณฑลขึ้นมาได้ !

ถือเป็นการขยายอาณาเขตที่มิเคยมีมาก่อน !

เยี่ยนเป่ยซีบังเอิญเหลือบไปเห็นแผนที่ซึ่งแขวนเอาไว้บนผนัง เขาจึงวิ่งเข้าไปแล้วยื่นมือทำท่าเปรียบเทียบ

“ฝ่าบาท เจ้าหมอนี่เก่งกาจใช่ย่อย ว่อเฟิงหยวน ว่อเฟิงหยวนเชียว คลังเสบียงที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นอี๋ มิน้อยกว่าราชวงศ์หยูของเราเลยพ่ะย่ะค่ะ ! ”

เขาหยุดลงชั่วครู่แล้วหันไปทางฝ่าบาท “พื้นที่ใหญ่โตแห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์ยิ่ง แม้มีเพียงหนึ่งฤดูที่สามารถทำการเพาะปลูกได้ เเต่รสชาติของธัญพืชที่ปลูก ณ ที่แห่งนี้ก็ยอดเยี่ยมยิ่ง และปริมาณผลผลิตก็มากมายอีกด้วย”

“ราชวงศ์หยูผลิตธัญพืชได้ราว 220 ชั่งต่อพื้นที่ 1 หมู่ แต่ที่นาในว่อเฟิงหยวนสามารถผลิตได้ถึงหมู่ละ 260 – 300 ชั่ง ! นี่คือพื้นที่เพาะปลูกที่ดียิ่ง บัดนี้ได้กลายเป็นเมืองขึ้นของราชวงศ์หยูแล้ว กระหม่อมขอเสนอว่าให้ปรับปรุงว่อเฟิงหยวนและส่งขุนนางเดินทางไปดูแลโดยเฉพาะพ่ะย่ะค่ะ”

แน่นอนว่าทหารทางตะวันออกต้องเคลื่อนย้ายไปยังว่อเฟิงหยวน ภูเขาฉางหลิงด่านหว่าเฉียว ตามหนังสือสัญญา ภูเขาฉางหลิงจะกลายเป็นของราชวงศ์หยู แน่นอนว่าด่านหว่าเฉียวต้องให้ทหารตะวันออกไปคุ้มกัน

ฮ่องเต้ประทับอยู่เบื้องหน้าแผนที่ แล้วทอดพระเนตรไปตามหุบเขา ไอหยา ! ชายแดนตะวันออกของราชวงศ์หยูมีขนาดเพิ่มขึ้นอีกนับพันลี้ !

สวรรค์ !

ชีวิตนี้ ข้าคาดมิถึงเลยว่าจะมีวันนี้ !

นี่คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงใดกัน ? แต่เจ้านั่นกลับทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย !

ฝ่าบาทพยายามกดเก็บความดีอกดีใจเอาไว้ แล้วตรัสอย่างเรียบเฉยว่า “ความคิดของท่านอัครมหาเสนาบดีก็มิได้ต่างจากข้า การประชุมในวันพรุ่งนี้ จงนำสนธิสัญญาเงินชดเชยติงเว่ยฉบับนี้ไปป่าวประกาศให้ทุกคนได้รับทราบ…”

เมื่อรับสั่งจบ ก็นึกถึงปัญหาบางอย่างขึ้นมาได้ “พวกเจ้าคิดว่าความดีความชอบที่ฟู่เสี่ยวกวนได้กระทำในครานี้ ข้าควรให้รางวัลตอบแทนเยี่ยงไรดี ? ”

เยี่ยนเป่ยซีเองก็คิดไม่ตก นั่นสิ ! ฟู่เสี่ยวกวนอายุยังมิถึง 18 ปีเลยด้วยซ้ำ บัดนี้ก็ได้รับตำแหน่งขุนนางระดับสามแล้ว อีกทั้งยังมีตำแหน่งหัวหน้ากรมการค้าพ่วงด้วย

อาจจะกล่าวมิได้ว่าในพันปี แต่สองร้อยสามสิบกว่าปีมานี้ราชวงศ์หยูมิมีผู้ใดทำได้

หากขยับขึ้นไปอีกขึ้นก็จะเป็นขุนนางระดับสอง เป็นอัครมหาเสนาบดีแห่งราชวงศ์แล้ว !

หากเขาได้เป็นอัครมหาเสนาบดี แล้วข้าจะทำเยี่ยงไร ?