ตอนที่ 521 วางแผน
ตอนที่ 521 วางแผน
“หรือควรมอบ…บรรดาศักดิ์ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
ทันทีที่เยี่ยนเป่ยซีเอ่ยข้อเสนอนี้ขึ้นมา ต่งคังผิงและคนอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึงขึ้นทันพลัน วันนี้พวกเขาตกตะลึงไปกี่คราแล้วกัน
บรรดาศักดิ์ในราชวงศ์หยูแบ่งออกเป็น 5 ขั้น ได้แก่ กง โหว ป๋อ จึ และหนาน
นับตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์ขึ้นมา ก็แทบจะไม่ปรากฏขุนนางที่ทำความดีความชอบจนได้รับบรรดาศักดิ์เลย ดังนั้นราชวงศ์หยูในปัจจุบันจึงมีเพียงแม่ทัพใหญ่เผิงถูที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงแต่งตั้งเป็นติ้งกั๋วกงเพียงผู้เดียวเท่านั้น
ติ้งกั๋วกงเสียชีวิตไปแล้ว ซ้ำยังไร้ทายาท ถึงแม้จวนกั๋วกงจะยังคงมีอยู่ แต่การสืบทอดกั๋วกงของตระกูลเผิงได้สิ้นสุดลงไปเนิ่นนานแล้ว
ด้วยคุณงามความดีของฟู่เสี่ยวกวน การแต่งตั้งให้เป็นกั๋วกงก็มิได้มากจนเกินไป แต่เยี่ยนเป่ยซีคิดมาเท่าใด ฝ่าบาทก็ย่อมคิดมากกว่า
ฟู่เสี่ยวกวนเยาว์วัยเกินไปสำหรับยศกง เขายังมิครบ 18 ปีบริบูรณ์เลยด้วยซ้ำ เส้นทางอนาคตยังอีกยาวไกล หากเขามิกลับไปยังราชวงศ์อู๋ ก็ยังสามารถทำคุณงามความดีให้กับราชวงศ์หยูได้อีก
หากคนผู้นี้ชราวัย ในภายภาคหน้าก็จะกลายเป็นไม่ได้มอบรางวัลอันทรงเกียรติให้โดยแท้จริง
ดังนั้น หลังจากทั้งห้าหารือกันแล้ว ยศหนานขั้นห้าก็ต่ำจนเกินไป ยศจึขั้นสี่กำลังพอดี ส่วนยศป๋อรอให้เจ้าหมอนี่ผลักดันนโยบายใหม่ได้สำเร็จแล้วค่อยประทานให้ก็แล้วกัน
“เช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ก็กำหนดให้เป็นตามนั้น ข้าจะประทานบรรดาศักดิ์จึขั้นสี่แก่ฟู่เสี่ยวกวน สืบทอดต่อไปโดยไร้ที่สิ้นสุด”
เยี่ยนเป่ยซีและคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึง ยามที่หารือกันเมื่อครู่ มิได้กล่าวเลยว่าให้สืบทอดต่อไปโดยไร้สิ้นสุด !
แต่สุดท้ายพวกเขาต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย สามคนในนี้คือพ่อตาของฟู่เสี่ยวกวน เยี่ยนเป่ยซีเองก็เป็นปู่ของเยี่ยนเสี่ยวโหลว แล้วผู้ใดจะปฏิเสธเรื่องดี ๆ เยี่ยงนี้กันเล่า
“วันนี้มิต้องสนทนาเรื่องอื่นกันแล้ว ข้าดีใจมากยิ่งนัก คังผิง เจ้าใช้เงินได้เต็มที่ ซือเต้าและฮ่าวชู จงเร่งเกณฑ์ทหาร ส่วนอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ค่ำนี้ข้าจะไปนั่งเล่นที่จวนของเจ้า”
“นานมากแล้วที่ฝ่าบาทมิได้เสด็จไปที่จวนของกระหม่อม”
“ก็เพราะเรื่องวุ่นวายมากมายมิใช่หรือ ? ตอนนี้ดีขึ้นแล้วก็ตกลงตามนี้ ข้าจะนำข่าวดีไปบอกกับฮองเฮาที่วังหลัง ให้นางได้มีความสุขเช่นกันกับข้า”
ผู้คนในห้องทรงพระอักษรต่างก็แยกย้ายกันออกไปจนทั้งห้องว่างเปล่า ส่วนฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้ยังอยู่ในสำนักงานของกรมพิธีการ
จนถึงตอนนี้ สวี่หวยซู่ก็ยังรู้สึกราวกับฝันไป !
เขาได้สัมผัสการเจรจาดุจความฝันนี้ด้วยตนเองตั้งแต่ต้นจนจบ เพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้หลอกล่อจนทำสนธิสัญญา 2 ฉบับนี้ขึ้นมาได้… มิว่าเยี่ยงไร สวี่หวยซู่ก็ยังเป็นขุนนางของกรมพิธีการ จึงยากที่จะเชื่อว่าองค์รัชทายาทของแคว้นอี๋จะยอมลงนามในสนธิสัญญา !
แต่เรื่องนี้ก็ได้เกิดขึ้นมาแล้ว ตราประทับนี้ ยังเป็นเขาที่ประทับด้วยมือของตนเอง
เขาต้มชามาหนึ่งกาแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “คนผู้นั้น องค์รัชทายาทแห่งแคว้นอี๋ผู้นั้น… เจ้าวางยาพวกเขาใช่หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะน้อย ๆ “ท่านลุง อย่าได้เอ็ดไป ข้าแอบวางยาพวกเขาจริง ๆ ”
ดวงตาสวี่หวยซู่เบิกโพลง “อธิบายมาเร็วเข้า ข้ามิเข้าใจ”
“แท้จริงแล้วง่ายดายมากยิ่งนัก ข้าขอให้เสนาบดีกรมกลาโหม หรือก็คือท่านพ่อตาเยี่ยนฮ่าวชู ทูลฝ่าบาทให้มอบราชโองการให้แก่องค์ชายใหญ่ แล้วบัญชาให้ทุกกองทัพของพระองค์เดินทางไปยังด่านจินหยาง นอกจากนั้น ปืนใหญ่หงอีจากซีซานของข้าก็ถูกส่งไปทางตะวันออกอย่างต่อเนื่อง ของเหล่านี้มิได้ถูกซ่อนจากสายตาของแคว้นอี๋ ดังนั้นบรรยากาศในท้องพระโรงของแคว้นอี๋จึงเคร่งเครียดภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้น”
“เยียนเหลียงเจ๋อมายังจินหลิง แต่ข้ามิรีบเปิดการเจรจากับเขา ข้าต้องการให้เขาอยากกลับแคว้นอย่างเร่งรีบ เขาคือองค์รัชทายาท บิดาของเขาย่อมมีข้อความมาเร่งรัดเป็นแน่ ต่อให้อยากเจรจาก็เจรจามิได้ และทัพของข้าก็ได้เข้าใกล้ด่านจินหยางมากขึ้นเรื่อย ๆ บิดาของเขาย่อมมิพอใจในตัวเขามากเป็นแน่”
“จักรพรรดิแห่งแคว้นอี๋มิได้มีเขาเป็นโอรสแต่เพียงผู้เดียว เหล่าขุนนางในราชสำนักที่อยู่ในความตื่นตระหนกจะแสดงความไม่พอใจต่อองค์รัชทายาทอย่างแน่นอน คาดว่าเสียงให้ปลดองค์รัชทายาทคงมีมิน้อย ดังนั้นเขาจึงต้องรีบ ยิ่งอยู่ก็ยิ่งรีบ จนถึงท้ายที่สุด เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับหนึ่งทางเลือกดังที่เกิดขึ้นในวันนี้
หากจะปฏิเสธการลงนามในสนธิสัญญาฉบับนี้ เขาก็ต้องอยู่ที่จินหลิงต่อและรับมือกับข้าจนสูญเสียตำแหน่งองค์รัชทายาท หรือจะลงนามแล้วรีบกลับแคว้นไปรักษาตำแหน่งองค์รัชทายาท”
“กระจ่างยิ่งว่าสำหรับเขาแล้ว ตำแหน่งองค์รัชทายาทสำคัญกว่าการเฉือนอาณาเขตและชดเชยเงินเหล่านี้ ท้ายที่สุดในอนาคตแคว้นอี๋ก็จะตกเป็นของเขา อาณาเขตหายไปหนึ่งในสามส่วน ชดเชยแค่เงินเหล่านี้ แต่ก็ยังสามารถกลายเป็นผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดได้ ถือว่าคุ้มค่ายิ่ง”
ทันใดนั้น สวี่หวยซู่ก็ตระหนักขึ้นมาได้ จึงได้เข้าใจว่าเหตุใดเมื่อปีที่แล้วฟู่เสี่ยวกวนถึงตั้งกฎเยี่ยงนั้นให้กับทุกคนในกรมพิธีการ
เจ้าเด็กนี่… เก่งกาจอย่างแท้จริง !
โชคดีที่ข้ามิได้ปะทะกับเขา !
ส่วนเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนเห็นด้วยกับการลงนามสนธิสัญญาพันธมิตรกับเยียนเหลียงเจ๋อ ในจุดนี้ สวี่หวยซู่เข้าใจได้ชัดเจน เพราะต่อให้ราชวงศ์หยูมีจำนวนเงินมากทั้งยังได้ที่ดินอีกผืนใหญ่ ก็จำต้องฟื้นฟูกันเสียก่อน
ทว่ามีหนึ่งปัญหาที่ยังไม่เข้าใจ “เหตุใดเจ้าถึงเสนอความคิดดี ๆ ให้กับเยียนเหลียงเจ๋อกัน ? ”
การให้เยียนเหลียงเจ๋อไปบุกแคว้นฮวงถือเป็นความคิดที่ดี
ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมา ท่านลุงผู้นี้เป็นคนง่าย ๆ
“ประการแรก ข้ากลัวว่าหลังจากเขากลับไปแล้วจะถูกบิดาสับเป็นชิ้นเข้าให้ คุณงามความดีนี้ เยี่ยงไรก็ต้องให้เขาสูญเสียน้อยที่สุดจึงจะถูก ประการที่สอง… ให้เขาไปเพิ่มความยุ่งยากให้แก่แคว้นฮวง นั่นย่อมเป็นเรื่องดีต่อราชวงศ์หยู”
สวี่หวยซู่เพิ่งได้เข้าใจ เจ้าเด็กนี่ต้องการยืมดาบของแคว้นอี๋ไปตัดเนื้อของแคว้นฮวง เพียงแต่น่าเสียดายที่เนื้อชิ้นนั้นจะตกอยู่ในปากของแคว้นอี๋ และแคว้นหยูก็มิมีโอกาสได้ชิมแม้แต่คำเดียว
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งต่อไปอีกเล็กน้อย ดื่มชาหนึ่งจอก แล้วส่งเรื่องต่อจากนั้นให้กับสวี่หวยซู่ จากนั้นเขาก็ออกจากวังหลวงไปเพียงลำพัง ตรงมาขึ้นรถม้า
การเจรจาในวันนี้ เขามีความเสี่ยงอยู่สามจุด เดิมพันไว้กับความสำคัญของบัลลังก์ในสายตาของเยียนเหลียงเจ๋อ
ตราบใดที่ยึดติดในบัลลังก์ เยียนเหลียงเจ๋อก็ทำได้เพียงรับปากเท่านั้น ส่วนหลังจากกลับแคว้นไปแล้วจะทูลบิดาว่าเยี่ยงไร… แท้จริงฟู่เสี่ยวกวนหวังไว้ว่าคนผู้นี้จะใจกล้ามากขึ้นกว่าเดิม หากคนผู้นั้นปลงพระชนม์จักรพรรดิแห่งแคว้นอี๋ วังหลวงก็จะตกอยู่ในความโกลาหล เยียนเหลียงเจ๋อย่อมมิกล้ามาต่อกรกับราชวงศ์หยูอีก แต่เขาต้องไปปะทะกับแคว้นฮวงแทนเป็นแน่
ในค่ำวันนี้ จำต้องประเมินเยียนเหลียงเจ๋อเสียหน่อย หากศักยภาพของเขามีมิมากพอ ก็เรียกกองกำลังดาบเทวะกลับมาสักสองพันนายเพื่อไปช่วยเขาดีหรือไม่ ?
ฟู่เสี่ยวกวนตื่นเต้นกับความคิดนี้ รอได้สนทนากับเยียนเหลียงเจ๋อเสียก่อนค่อยตัดสินใจอีกครา
สำหรับเยียนหานยวี่ คนผู้นี้ยังมิสามารถทอดทิ้งได้ ต้องมีไว้เพื่อเพิ่มความยุ่งยากให้แก่เยียนเหลียงเจ๋อ เพื่อมิให้เขามีชีวิตที่สงบสุข
เยียนเหลียงเจ๋อ เพียงได้มีชีวิตที่ดีก็จะเริ่มโลภมาก หากมีตำแหน่งมั่นคงอีกสักสองสามปี เขาต้องหันมาจับตามองราชวงศ์หยูอีกครา และย่อมก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมาเป็นแน่
ฟู่เสี่ยวกวนมิชอบความวุ่นวายเป็นอย่างมาก ดังนั้นแคว้นอี๋จึงมิสามารถสงบสุขลงได้
ภายในรถม้า สวี่ซินเหยียนลอบมองฟู่เสี่ยวกวนอยู่บ่อยครั้ง…
หลังจากคนผู้นี้ขึ้นรถมาก็เพียงแค่เอ่ยทักทายเท่านั้น ทว่าตลอดการเดินทางเขากลับมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนคาดเดามิได้ ประเดี๋ยวก็มีรอยยิ้มผุดขึ้นมา ประเดี๋ยวก็มึนตึง ประเดี๋ยวก็ขบกราม ประเดี๋ยวก็ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย
เขากำลังคิดอันใดอยู่กัน ?
สวี่ซินเหยียนที่มีความคิดเรียบง่ายไร้หนทางสัมผัสถึงจิตวิญญาณอันซับซ้อนของฟู่เสี่ยวกวน หากนางทราบว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังวางแผนเกี่ยวกับแคว้นอี๋และแคว้นฮวงมาตลอดทาง เกรงว่านางจะเกิดความกลัวต่อความคิดที่ราวกับคลื่นทะเลของฟู่เสี่ยวกวน
คนเรียบง่ายย่อมมีความคิดที่เรียบง่าย สวี่ซินเหยียนคิดเพียงแค่ว่าฟู่เสี่ยวกวนได้เป็นขุนนางขั้นสูงตั้งแต่อายุยังน้อย เขาย่อมมีความกดดันเป็นธรรมดา
แม้แต่อดีตอาจารย์ของนาง ก็มักจะเหม่อลอยอยู่บ่อยครา และมีอารมณ์ที่หลากหลาย
ดังนั้น นางจึงไม่คิดมาก เพียงเฝ้ามองดูและอยู่ข้าง ๆ เขาอย่างเงียบงันเท่านั้น
ไร้การสนทนาตลอดการเดินทาง จนถึงจวนฟู่