เฉินเฉินเขินแล้วช่วยดึงจางจีขึ้นมา เขาถามอย่างสับสน “เจ้าไปหาเรื่องตระกูลเจายังไง? ทำไมพวกนั้นถึงอยากฆ่าเจ้าถึงขนาดนี้?”

 

จางจีลุกขึ้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ

 

“เมื่อไม่นานมานี้ มีผู้อาวุโสคนนึงของสำนักเทียนหยุนได้ผ่านมาที่มณฑลเสฉวน ซึ่งเขาก็ได้พบว่าข้ามีพรสวรรค์ที่จะเข้าสู่หนทางแห่งการฝึกตน เขาก็เลยให้เหรียญตรากับข้ามาแล้วบอกให้ข้าไปที่รัฐจี่ในวันที่ 1 สิงหาคม

 

“ในวันนั้น สำนักเทียนหยุนจะคัดเลือกคนเข้าเป็นศิษย์ที่รัฐจี่ และข้าก็น่าจะได้เข้าไปในสำนักเทียนหยุนด้วยเหรียญตานี้

 

“ด้วยเหตุอันใดก็ไม่ทราบได้ ข่าวนี้ได้เล็ดรอดออกไป

 

“ตระกูลเจาและตระกูลของข้านั้นเป็นศัตรูกันมาโดยตลอด แล้วพวกเขาจะยอมให้ข้าไปฝึกตนได้ยังไงกันหล่ะ? ดังนั้นพวกมันก็เลยส่งคนมาสังหารข้า….

 

“ท่านพ่อของข้าโมโหมากในตอนที่รู้เรื่องและประกาศสงครามกับตระกูลเจา แต่ว่า พวกเราอ่อนแอกว่าพวกมัน หลังจากผ่านศึกแรกมาได้ ข้าก็อ่อนแอลงเล็กน้อย ข้าก็เลยจะไปที่หมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อรวบรวมความช่วยเหลือเพื่อตระกูลของข้า…

 

“แต่ด้วยเหตุอันใดก็ไม่รู้ ข้าบังเอิญเจอกับนักฆ่าแทบจะในทันทีที่ออกจากมณฑลเสฉวน”

 

เฉินเฉินถอนหายใจหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราว

 

ทำไมถึงเอาแต่พูดว่า ‘ด้วยเหตุอันใดก็ไม่รู้’? มันก็เห็นๆอยู่ว่ามีคนทรยศในตระกูลจาง

 

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เขาสนใจเรื่องสำนักเทียนหยุนมากกว่า

 

เห็นได้ชัดเลยว่านี่เป็นสำนักฝึกตน

 

นี่คือสิ่งที่เขาอยากจะรู้มากที่สุด เขาอยากสมัครเข้าไปเพื่อทำการฝึกตน

 

หลังจากครุ่นคิดอยู่ซักพัก เขาก็ถามอย่างอ่อนโยน “สำนักเทียนหยุนนี่แข็งแกร่งรึเปล่า?”

 

เมื่อได้ฟังคำถามของเฉินเฉิน ดวงตาของจางจีก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจแล้วพูดโพล่งออกมา “พวกเขาต้องแข็งแกร่งอยู่แล้วสิครับ! สำนักเทียนหยุนคือสำนักฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในรัฐจี่! มีลัทธิที่อยู่ภายใต้การควบคุมเป็นสิบๆลัทธิ!

 

“จะว่าไป พี่เฉิน ท่านอยู่สำนักไหนหรอครับ? ไหงท่านถึงมีเวลามาเยี่ยมแคว้นเล็กๆอย่างแคว้นเสฉวนของเราได้?”

 

เฉินเฉินตอบกลับไปอย่างราบเรียบ “ข้าเรียนที่บ้านหน่ะ”

 

“ว่าไงนะครับ?”

 

“ข้าเรียนรู้ด้วยตัวเอง”

 

“หา!” จางจีอุทาน เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าการฝึกตนนั้นสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ด้วย

 

ถ้านี่เป็นความจริง พี่เฉินก็ต้องมีพรสวรรค์อย่างมากล้นเลยแน่ๆ!

 

ถ้าผู้อาวุโสของสำนักเทียนหยุนได้พบกับพี่เฉินแทนเขา เขาก็คงจะไม่ได้ทิ้งแค่เหรียญตราเอาไว้ให้แล้วเลือกชวนเขาเข้าสำนัก ณ ตรงนั้นเลยมากกว่า

 

‘พี่เฉินเป็นลูกผู้ชายตัวจริง เขาคงไม่โกหกข้าหรอก!’

 

ด้วยความคิดนี้เอง จางจีก็มองเฉินเฉินด้วยความชื่นชมที่มากขึ้นกว่าเดิม หลังจากนั้นซักพัก เขาก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาแล้วเสนออย่างกระทันหัน “พี่เฉิน ทำไมท่านไม่ไปสำนักเทียนหยุนกับข้าหล่ะ? ด้วยพรสวรรค์ของท่าน ท่านจะได้สร้างชื่อในสำนักอย่างแน่นอน”

 

“ฟังดูเข้าท่านี่” เฉินเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม คำพูดของจางจีคือสิ่งที่เขาต้องการได้ยินจริงๆ ดังนั้นเขาก็เลยพร้อมใจยอมรับมันอยู่แล้ว

 

“ถ้างั้นก็ดีเลยครับ!” จางจีตบหน้าแข้งของเขา แต่หลังจากนั้นเขาก็ดูสลด

 

“พี่เฉินมีพรสวรรค์จริงๆ แต่พรสวรรค์ของข้านั้นกลับน้อยนิด ข้าเกรงว่ามันคงเป็นเรื่องยากที่ข้าจะไปถึงระดับของท่านในอนาคต”

 

เฉินเฉินถึงกับพูดไม่ออก ทำไมจู่ๆเขาถึงตัดพ้อตัวเองแบบนี้หล่ะ?

 

หลังจากถอนหายใจ เขาก็ปลอบจาง “ไม่ต้องห่วง สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการฝึกตนก็คือโชค ดวงของเจ้าหน่ะมันดีสุดๆเลยหล่ะ และเจ้าก็ถูกกำหนดมาให้มีอนาคตที่สดใส”

 

“ครับ? โชคงั้นหรอ?” จางจีคิดว่าเขาฟังผิด

 

เฉินเฉินรู้ว่าเขาพูดผิดไปแล้วรีบเปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว

 

“สิ่งที่สำคัญที่สุดในการฝึกตนก็คือความเพียร อันที่จริง พรสวรรค์ของข้ามันก็ธรรมดาทั่วไปนั่นแหล่ะ ที่ข้าฝึกตนมาได้ถึงขั้นนี้มันเป็นเพราะความอุตสาหะยังไงหล่ะ”

 

เมื่อได้ฟังดังนี้ จางจีก็มีกำลังใจขึ้นมา พอนึกถึงการที่เฉินเฉินกระโดดจากหน้าผา เขาก็ได้รับแรงบันดาลใจและเรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้ในทันที

 

‘พี่เฉินพูดถูกที่สุด แต่ตอนนี้ข้าต้องไปเรียกกำลังเสริมก่อน ไม่อย่างนั้นตระกูลของข้าได้เสียหายหนักแน่ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ข้าจะเชื้อเชิญพี่เฉินและพวกเราจะได้ร่ำสุราและพูดคุยกันตลอดทั้งคืน’

 

ในที่สุดจางจีก็นึกถึงภารกิจของเขาขึ้นมาได้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในตอนที่เขากลับขึ้นไปบนหลังม้าของเขา

 

เฉินเฉินห้ามเขาแล้วพูด “มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถึงยังไงข้าก็ต้องไปจัดการธุระที่มณฑลอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นข้าจะช่วยเจ้าจัดการตระกูลเจาในระหว่างทางให้ พวกชาวบ้านจะมีความสามารถในการต่อสู้ซักเท่าไหร่กันเชียว? การให้พวกเขาเข้าร่วมการต่อสู้ก็มีแต่จะเอาชีวิตของพวกเขาไปทิ้งเปล่าๆ”

 

จางจีเงียบไปพักนึง สายตาของเขาแสดงความตื้นตันออกมา

 

พี่เฉินคนนี้พึ่งเจอเขาแค่สองครั้งเท่านั้น แต่กลับยอมให้ความช่วยเหลือถึงขนาดนี้ ความเมตตานี้มัน…

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ดวงตาของจางจีก็แดงก่ำขึ้นมา และคำพูดนึงก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา มิตรแท้นั้นเป็นสิ่งที่ยากจะค้นหา!

 

“พี่เฉิน…. ข้าจะให้น้องสาวของข้า….”

 

จางจีตื้นตันมากจนเขาพูดแทบไม่ออก ประโยคของเขามันข้ามช่วงไปหมด

 

“ไปที่มณฑลกันเถอะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” เฉินเฉินยิ้มในขณะที่ขึ้นม้าของเขา

 

เขาไม่ได้ห่วงเรื่องความปลอดภัยของจางจีในตอนที่เขาเสนอความช่วยเหลือ ไอ้หมอนี่มันเป็นคนที่ดวงดีสุดๆ ดังนั้นเขาน่าจะไม่เป็นอะไร

 

เขากลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับครอบครัวของเจ้านี่มากกว่า จากนั้น เหมือนกับจางอู๋จี ถ้าพ่อแม่ของเขาถูกสังหาร จางก็จะไปซ่อนที่ไหนซักแห่งเพื่อฝึกฝนเวทมนตร์

 

แล้วถ้าเป็นแบบนั้นใครจะพาเขาไปรัฐจี่หล่ะ? เขาไม่ได้มี GPS ซะหน่อย

 

ในส่วนของตระกูลเจานั้น พวกเขาเป็นคนไม่ดีและควรที่จะถูกทำลายอยู่แล้ว

 

เขาสามารถปล้นตระกูลนี้ได้เพื่อที่ในตอนที่เขาจากไปแล้ว เขาจะได้มอบชีวิตที่สุขสบายให้พ่อแม่ของเขา ชีวิตที่เป็นอิสระจากการทำนา

 

ชาวบ้านในหมู่บ้านหินเองก็จะได้หยุดทำนาและฝึกศิลปะการต่อสู้ด้วย และเจ้าหมูเหลาเฮยก็จะได้รับการดูแลจากคนที่ทุ่มเท และมันก็จะอ้วนขึ้นไปอีก

 

เฉินเฉินเริ่มหัวเราะในตอนที่เขาคิดถึงแผนการอันยิ่งใหญ่ของเขา

 

จากนั้นพวกเขาทั้งสองก็รีบออกเดินทางและไปถึงมณฑลเสฉวนในเวลาไม่นาน

 

ที่นี่ยังคงไม่ค่อยมีคนอยู่ตามถนน มีแค่ไม่กี่ร้านเท่านั้นที่อยู่ในสภาพกึ่งเปิดกึ่งปิด

 

“พี่เฉินมาทำอะไรที่มณฑลหรอครับ? ท่านอยากซื้ออะไรหรอ?” จางจีถามเขาอย่างสงสัย

 

“เดี๋ยวเห็นแล้วเจ้าก็เข้าใจเองหล่ะ” เฉินเฉินตอบด้วยรอยยิ้ม

 

ไม่นานนัก เขาก็ไปถึงหน้าคฤหาสน์ทางฝั่งตะวันออก

 

มีรูปปั้นสิงโตหินสองตัวอยู่ที่หน้าคฤหาสน์และมีคนคุ้มกันคนนึงยืนอยู่ที่ประตู

 

นี่คือบ้านของตระกูลหวัง

 

ตระกูลที่เป็นหนึ่งในสามตระกูลหลักของมณฑลเสฉวน ตระกูลหวังนั้นมีคนอยู่ประมาณห้าสิบถึงหกสิบคนอยู่ในบ้านของพวกเขา

 

ทันใดนั้นเองสีหน้าของเฉินเฉินก็จริงจังขึ้นมาในขณะที่เขามองคนที่เดินไปมาอยู่หลังประตู

 

“จางจี ข้าขอถามหน่อย เจ้าจะจัดการกับตระกูลเจายังไง?”

 

“แน่นอนว่าข้าต้องฆ่าล้างตระกูลอยู่แล้วครับ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่สามารถไปสำนักเทียนหยุนได้อย่างปลอดภัย” จางจีตอบกลับอย่างง่ายดาย

 

เขาอาจจะดูซื่อสำหรับเฉินเฉิน แต่อย่างน้อยเขาก็พอรู้เรื่องรู้ราวบ้างสินะ

 

การตัดหญ้าโดยไม่ถอนรากถอนโคนออกก็หมายความว่าสายลมฤดูใบไม้ผลิจะช่วยให้พวกมันเติบโตขึ้นมาใหม่ การใจดีกับศัตรูนั้นจะเป็นภัยกับตัวเอง

 

เฉินเฉินยิ้มให้กับคำตอบของเขา

 

“พูดได้ดี การจะถอนหญ้ามันก็ต้องจัดการรากของมันด้วย”

 

ในทันทีที่เขาพูดจบ คนคุ้มกันที่ประตูก็ดูเหมือนจะสังเกตเห็นม้าสีขาวของเฉินเฉิน นัยตาของเขาสั่นเครือเล็กน้อยแล้วเขาก็รีบวิ่งเข้าไปข้างในในทันที

 

ในเวลาไม่นาน คนเกือบยี่สิบคนก็วิ่งออกมาจากประตู พวกเขาทุกคนถือมีดเหล็กกล้าเอาไว้ในมือและดูเดือดดาลสุดๆ

 

หลังจากที่คนพวกนี้ออกมาออกันเต็มประตูบ้านของตระกูลหวัง หวังหู่และชายแก่อีกคนก็เดินออกมา

 

เมื่อเห็นชายแก่ สีหน้าของจางจีก็เปลี่ยนไปในขณะที่เขาตะโกนออกมา “พ่อบ้านของตระกูลเจา!”

 

ในช่วงเวลาแบบนี้ การที่พ่อบ้านของตระกูลเจาอยู่บ้านหวังก็หมายความว่าพวกเขากำลังร่วมมือกัน เป้าหมายของการร่วมมือนั้นคือตระกูลจางอย่างไม่ต้องสงสัย

 

ด้วยความคิดนี้เอง เหงื่อก็ไหลออกมาบนหน้าผากของจางจี

 

ถ้าสองตระกูลใหญ่ผนึกกำลังกันต่อกรกับตระกูลจาง ตระกูลของเขาก็คงจะสู้ไม่ไหว

 

มันเป็นเรื่องดีที่เขาบังเอิญเจอพี่เฉินในวันนี้ ไม่อย่างนั้นตระกูลของเขาคงจะเผชิญกับชะตากรรมที่โหดร้ายยิ่งกว่า

 

แต่พี่เฉินมาทำอะไรที่ตระกูลหวังหล่ะ?

 

ด้วยสมองของเขา มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเชื่อมโยงคำพูดของเฉินเฉินกับการกระทำอย่างการทำลายตระกูลหวัง ที่เป็นหนึ่งในสามตระกูลหลัก

 

“แกเป็นใคร? ทำไมถึงมีม้าของลูกสาวข้าอยู่?” หวังหู่ตะโกนในขณะที่ชี้ไปที่เฉินเฉิน

 

เฉินเฉินยิ้มอย่างชั่วร้าย

 

ช่างน่าขันจริงๆที่หวังหู่ไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ เขาไม่เคยจริงจังกับเรื่องครอบครัวของเขาเลยสินะ

 

ในสายตาของหวังหู่ ครอบครัวของเฉินเฉินคงเหมือนกับรังมด ที่เขาฆ่าได้ตามใจชอบ

 

พ่อบ้านของตระกูลเจามองจางจี แล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่เป็นใคร แต่ตรงนั้นคือลูกชายของตระกูลจาง!”

 

“ท่านหวัง ตราบใดที่ท่านฆ่าเขาได้ในวันนี้ ตระกูลเจาจะให้ลูกสาวของเราแต่งงานกับลูกชายของท่าน พวกเราจะมอบสิทธิการเป็นเจ้าของร้านค้าสิบแห่งในเมืองให้ท่านเป็นค่าสินสอด ท่านคิดว่ายังไงหล่ะ?”