สัตว์เทพกิเลนถูกแววตาตำหนิของซูจิ่นซีทำให้รู้สึกผิด
“โฮก โฮก! ”
มันร้องเสียงต่ำเพื่อขอโทษ พลางหดศีรษะแสดงท่าทางสำนึกผิด
นายน้อย กิเลนผิดหรือ?
ตำแหน่งนั้นถูไถไม่ได้ ท่านก็บอกมาว่าจุดใดที่ถูไถได้ พวกเราเพียงเปลี่ยนตำแหน่ง!
ต้องดุสัตว์เทพตัวน้อยถึงเพียงนี้เชียวหรือ!
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วและมองสัตว์เทพกิเลนอยู่พักใหญ่ ไม่รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดจึงพลิกตัวสัตว์เทพกิเลนไปมาเหมือนกำลังหาอันใดบางอย่าง จากนั้นก็แสดงสีหน้าหดหู่
สัตว์เทพกิเลนถูกพลิกไปมาจนหัวหมุน
“โฮก โฮก… ”
นายน้อย ท่านกำลังทำอันใด?
ซูจิ่นซีหันไปมองตามเสียง นางมองสัตว์เทพกิเลนด้วยสีหน้าสงสัยและใช้มือเกาศีรษะ “บ้าจริง… เจ้าเป็นตัวผู้หรือตัวเมียกันแน่ เหตุใดบนร่างกายจึงไม่มีสิ่งใดบ่งบอกเลย? ”
สัตว์เทพกิเลนนิ่งเงียบ
ที่แท้นายน้อยพลิกตัวมันไปมาอยู่นาน เพื่อหาคำตอบนี้หรือ?
สัตว์เทพกิเลนครุ่นคิด และอดก้มหัวลงไปมองร่างกายของตนไม่ได้
ตัวผู้ก็ควรมีสัญลักษณ์บ่งบอก ตัวเมียก็เช่นกัน
พูดตามตรง แม้แต่มันก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย นี่เป็นครั้งแรกที่มีมนุษย์ถามคำถามเช่นนี้กับมัน
คิดไม่ตกจริงๆ
สัตว์เทพกิเลนเงยหน้าขึ้น มันพยายามทำตัวให้น่ารัก และมองซูจิ่นซีด้วยท่าทางไร้เดียงสา
ทว่าซูจิ่นซีกลับแสดงออกอย่างดุดันและหยาบกระด้าง นางโยนสัตว์เทพกิเลนลงบนพื้น
“บัดซบ ก่อนที่จะรู้เพศของเจ้าให้ชัดเจน ไม่อนุญาตให้เจ้าเข้าใกล้ข้า เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าทำลายความบริสุทธิ์ของข้า”
“โฮก โฮก… ”
นายน้อย ข้ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ!
เหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้?
ร่างกายของซูจิ่นซีค่อยๆ ฟื้นตัว วันหนึ่งหลังพลบค่ำ ดวงดาวเริ่มเคลื่อนตัวลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า วันนี้เป็นอีกวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส แสงจันทร์ส่องสว่าง
หลังเสร็จสิ้นจากการฝึกฝนอาคมกำไลปี่อั้นและระบบถอนพิษตามกิจวัตรประจำวัน น้อยครั้งนักที่ซูจิ่นซีจะออกมานั่งชมจันทร์อยู่ที่ลานด้านนอก
มู่หรงฉีในชุดสีขาวนวลจันทร์เดินเข้ามาพร้อมสุราสองไหในมือ
“เห็นสีหน้าของเจ้าดูสดใสมีน้ำมีนวล ร่างกายคงดีขึ้นมากแล้ว”
ซูจิ่นซีรีบลุกขึ้น
“ฉีอ๋อง! ”
มู่หรงฉียกสุราสองไหไปทางซูจิ่นซี “ไม่ต้องมากพิธี ข้ามาหาเจ้าเพราะต้องการดื่มสุรากับเจ้า”
ซูจิ่นซีเหลือบมองสุราสองไหนั้น พลางแย้มยิ้มอย่างเสียไม่ได้ “หม่อมฉันดื่มสุราไม่เก่งนัก เกรงว่าจะทำลายความสุขของฉีอ๋อง”
“ดื่มน้อยดีต่อสุขภาพ ดื่มมากทำลายร่างกาย ดื่มเพียงเล็กน้อยก็พอแล้ว หากเจ้าต้องการดื่มมาก ข้าก็ไม่ยอมให้เจ้าดื่มเช่นกัน! ”
ซูจิ่นซียกยิ้มเล็กน้อย
แท้จริงแล้ว มู่หรงฉียืนอยู่นอกเรือนอยู่นาน ทว่าเขาเห็นซูจิ่นซีทอดสายตามองท้องฟ้าด้วยจิตใจเหม่อลอย จึงไม่เดินเข้ามารบกวน
เขาหันไปมองตามทางที่ซูจิ่นซีมองก่อนหน้านี้
“ดวงดาวแคว้นหนานหลีของข้าเป็นอย่างไรบ้าง? งดงามเท่าแคว้นจงหนิงหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีแย้มยิ้มด้วยสีหน้าเป็นมิตร “ฉีอ๋องต้องการฟังความจริงหรือคำเยินยอเล่า? ”
มู่หรงฉีคิ้วกระตุก “ในเมื่อข้าถาม แน่นอนว่าต้องการฟังความจริง อีกอย่าง จิ่นซี เจ้าเองหาใช่คนที่ชอบพูดคำเยินยอ เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า ไม่มีความจำเป็นต้องพูดจาเอาอกเอาใจอันใด”
“ไม่จำเป็นจริงๆ ” ซูจิ่นซีหันหน้าไปมองดวงดาวบนท้องฟ้า “ดวงจันทร์ที่ส่องสว่างบนท้องทะเล ทอแสงไกลนับพันลี้ ล้วนเป็นจันทร์ดวงเดียวกัน ท้องฟ้าผืนเดียวกัน เช่นนั้นแคว้นจงหนิงกับแคว้นหนานหลี มีอันใดแตกต่างกัน? ”
“โอ้? ” มู่หรงฉีเลิกคิ้วเล็กน้อย แววตาที่มองซูจิ่นซีเผยให้เห็นความชื่นชม “จิ่นซี คำพูดของเจ้าเมื่อครู่ ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ยิ่งนัก ข้าไม่เคยได้ยินคำพูดเช่นนี้มาก่อน”
ซูจิ่นซีมีท่าทีเรียบเฉย “อย่างไรก็ตาม หากเอ่ยถึงทิวทัศน์อันงดงามในใต้หล้า แม้หม่อมฉันจะเดินทางข้ามภูเขาและแม่น้ำหลายพันสาย พบเห็นทิวทัศน์งดงามมามากมายนับไม่ถ้วน เกรงว่าคงไม่มีที่ใดงดงามไปกว่าท้องฟ้ายามรุ่งอรุณและยามอาทิตย์อัสดงในเรือนชิงโยว”
“ดูแล้ว เมื่อครู่เจ้าคงกำลังนึกถึงผู้อื่น อย่างไรก็ตาม โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาล ทิวทัศน์สวยงามล้วนมีมากมาย ข้าคิดว่าคำพูดของเจ้าคงด่วนตัดสินไปสักหน่อย แม้ข้าไม่เคยเห็นว่าท้องฟ้ายามรุ่งอรุณและยามอาทิตย์อัสดงที่เรือนชิงโยวเป็นเช่นไร ทว่ายังมีภูเขาและลำธารมากมายในโลกนี้ที่ธรรมชาติสรรค์สร้าง หาได้มีเพียงเรือนชิงโยวเท่านั้น”
ซูจิ่นซีเพียงแย้มยิ้มโดยไม่พูดอันใด ทั้งไม่อธิบายให้มากความ
บางครั้งเรารู้สึกว่าทิวทัศน์ในที่แห่งหนึ่งงดงาม แท้จริงแล้วทิวทัศน์นั้นกลับไม่ได้งดงามเท่าใดนัก แต่เป็นเพราะช่วงเวลาที่ยืนมองทิวทัศน์นั้น มีผู้ใดที่ยืนเคียงข้างเรา
ในตอนนั้น ผู้ที่เล่นหมากล้อม ดื่มชา และรับประทานอาหารที่เรือนชิงโยวคือเยี่ยโยวเหยา ผู้ที่ฟังนางร้องเพลงคือเยี่ยโยวเหยา ผู้ที่มองท้องฟ้ายามอาทิตย์อัสดงกับนางคือเยี่ยโยวเหยา
ไม่ว่าท้องฟ้ายามรุ่งอรุณและยามอาทิตย์อัสดงในเรือนชิงโยวจะงดงามจริงหรือไม่ ทว่าภายในใจของนาง ที่แห่งนั้นคือทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดในโลกใบนี้ และสวยงามที่สุดในชีวิตของนาง
เมื่อเดินทางมาถึงมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ย่อมไม่สนใจแม่น้ำที่เคยพบเจอ
แม้ในอนาคตนางจะเดินทางไปทั่วทุกมุมโลก ได้เห็นทิวทัศน์ที่งดงามในใต้หล้า ทว่านางยังขาดคนสำคัญของหัวใจอย่างเยี่ยโยวเหยา
ดังนั้น แม้ทิวทัศน์จะงดงามเพียงใด ในสายตาของนางก็เป็นเพียงอาหารจานหนึ่งที่ขาดรสเค็มของเกลือ
จะทานหรือไม่ ล้วนไม่มีสิ่งใดแตกต่าง
มู่หรงฉีเห็นซูจิ่นซีตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง จึงไม่พูดหัวข้อนี้อีก เพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มความเจ็บปวดให้ซูจิ่นซี
“แท้จริงแล้ว หากดูดวงดาวบนหลังคาจะทำให้เห็นได้ชัดเจนมากขึ้น ทั้งยังมีสายลมพัดโชย เหมาะแก่การดื่มสุรา เช่นนั้น พวกเราขึ้นไปบนหลังคาดีหรือไม่? ”
“ตกลง! ” ซูจิ่นซียกยิ้มเล็กน้อย
เดิมทีมู่หรงฉีคิดจะพาซูจิ่นซีขึ้นไปบนหลังคา ทว่าเขายังไม่ทันได้เคลื่อนไหว ซูจิ่นซีก็เหาะขึ้นไปบนหลังคาแล้ว
แววตาของมู่หรงฉีเผยให้เห็นความประหลาดใจ เขาเหาะขึ้นไปบนหลังคาและนั่งลงด้านข้างซูจิ่นซี
“เจ้าเป็นวรยุทธ์แล้ว ไปร่ำเรียนตั้งแต่เมื่อไร? ข้าจำได้ว่าตอนอยู่ที่แคว้นจงหนิงก่อนหน้านี้ เจ้ายังไม่เป็นวรยุทธ์และไม่มีพลังภายในแม้แต่น้อย”
“หลังมาถึงแคว้นหนานหลีได้สักพักเพคะ ตอนอยู่ที่แคว้นจงหนิง หม่อมฉันไม่เป็นวรยุทธ์เลยจริงๆ ”
“อู๋จุนเป็นผู้สอนหรือ? ”
“นับว่าใช่ แต่ก็ไม่เชิงเสียทีเดียว”
“โอ้? ”
เรื่องพลังภายในอันประหลาดในร่างกายตนเองนั้น ซูจิ่นซีก็ยังไม่เข้าใจเช่นกัน ทั้งไม่คิดอธิบายให้มากความ นางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ดูเหมือนหม่อมฉันจะหลงกลฉีอ๋องเข้าแล้ว ฉีอ๋องหลอกให้หม่อมฉันขึ้นมาข้างบนเพราะต้องการสอบถามเรื่องอื่น ไม่ได้ตั้งใจเชิญหม่อมฉันขึ้นมาดื่มสุรา สุราของพระองค์ใช้เพื่อสังเกตการณ์หม่อมฉันกระมัง? ”
มู่หรงฉีส่ายศีรษะอย่างอับจนหนทาง ก่อนจะเปิดไหสุราและยื่นให้ซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีกำลังจะยื่นมือออกไปรับ ทว่ามู่หรงฉีราวกับคิดอันใดขึ้นมาได้ เขาไม่ได้ส่งไหสุราให้ซูจิ่นซีในทันที แต่กลับรินสุราออกไปจำนวนหนึ่งก่อนยื่นให้นาง
“ข้าเกรงว่าเจ้าจะดื่มมากเกินไปจนหยุดไม่ได้ จึงรินสุราออกไปก่อนส่วนหนึ่ง ดื่มน้อยเพื่อสุขภาพ”
ไม่คิดว่ามู่หรงฉีจะเป็นคนละเอียดอ่อน
ซูจิ่นซีส่ายศีรษะอย่างหมดหนทางเช่นกัน นางยกไหสุราไปทางมู่หรงฉี “ดื่มน้อยเพื่อสุขภาพ! ”
“เชิญ! ”
มู่หรงฉีเปิดสุราอีกไหและนำมาชนกับไหสุราของซูจิ่นซีอย่างแผ่วเบา ก่อนที่ทั้งสองจะยกสุราขึ้นดื่ม
แววตาของมู่หรงฉีทอประกายแปลกประหลาด เขาเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวบนท้องฟ้า
“จิ่นซี! ”
“หืม? ”
“ข้าได้ยินมาว่า ก่อนที่เจ้าจะสมรสกับเยี่ยโยวเหยา เจ้าเป็นคุณหนูเจ็ดในจวนสกุลซู คนในจวนสกุลซูดูแลเจ้า… ดีหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีรู้สึกเจ็บปวดภายในใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็สบเข้ากับสายตาของมู่หรงฉีพอดี
ไม่รู้เพราะเหตุใด ซูจิ่นซีประหลาดใจที่นางมีความรู้สึกสนิทสนมกับฉีอ๋องอย่างอธิบายไม่ถูก มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคย
เรื่องราวในอดีตพลันปรากฏในความคิด ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจและความขมขื่นส่งผลต่อร่างกายและจิตใจของนาง
ซูจิ่นซีที่ไม่เคยเผยความอ่อนแอและความเศร้าใจให้ผู้ใดเห็นโดยง่าย ยามนี้กลับเกิดความรู้สึกเชื่อใจมู่หรงฉีอย่างน่าประหลาด
นางยกมุมปากด้วยท่าทีเรียบเฉย ก่อนจะเบือนหน้าหลบสายตาของมู่หรงฉี
“หม่อมฉันเกิดมาฐานะต่ำต้อย มารดาตายจากตั้งแต่ยังเด็ก ทั้งยังโง่เขลาเบาปัญญาตั้งแต่เกิด เป็นสวะที่ไม่รู้วิชาแพทย์ ทว่ากำเนิดในจวนสกุลซูซึ่งเป็นตระกูลที่เคารพวิชาแพทย์ สามารถมีชีวิตรอดภายใต้เงื้อมมือของฮูหยินใหญ่ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ยังจะปรารถนาสิ่งใดอีกเล่า? ”
มู่หรงฉีมองด้านหลังซูจิ่นซี แววตาพลันปรากฏความเจ็บปวด ทั้งยังมีความรู้สึกเอ็นดู ตำหนิตนเอง และความรู้สึกผิด…
เขายื่นมือที่สั่นเทาเล็กน้อยออกไป ต้องการสัมผัสหัวไหล่ของซูจิ่นซี ทว่ายื่นมือออกไปได้สักระยะก็เห็นซูจิ่นซีเคลื่อนไหวจึงชักมือกลับอย่างรวดเร็ว และหันหน้าไปทางซูจิ่นซีด้วยท่าทีที่ไม่เป็นธรรมชาตินัก
“ขอโทษ… ข้าไม่ควร… ถามคำถามเช่นนี้”
“หมั่นฝึกฝนทักษะเพื่อการเปลี่ยนแปลง ชีวิตมนุษย์มีทั้งสุขและทุกข์ ไม่มีอันใดมาก ฉีอ๋อง! เชิญดื่มให้กับอดีต ปล่อยให้มันเป็นเพียงหมอกหนาทึบที่สลายหายไป เชิญ! ”
รอยยิ้มมุ่งมั่นของซูจิ่นซีทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจ ทั้งน้ำเสียงสดใสของนางยังสะท้อนเข้าไปในจิตใจดั่งคมมีดเชือดเฉือน
มู่หรงฉีเงยหน้ายกสุราขึ้นดื่ม
“จิ่นซี ข้าขอโทษ”
“หืม? ” ซูจิ่นซีเช็ดคราบสุราบนริมฝีปาก “ขอโทษเรื่องใด? ”
มู่หรงฉีมองซูจิ่นซีด้วยสายตาลึกซึ้ง ครู่หนึ่งจึงหลบสายตาโดยที่ไม่ยอมพูดความจริงในใจ “เป็นข้าที่พาเจ้ามายังจวนฉีอ๋อง ทว่ากลับทำให้เจ้า… ต้องพบกับความลำบาก”
คำพูดหกคำสุดท้าย มีอีกหนึ่งความหมาย
ทว่าซูจิ่นซีไม่อาจเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งนั้น
ท่าทางของนางเรียบเฉย “หลังซูจิ่นซีออกมาจากแคว้นจงหนิงและจวนโยวอ๋อง สี่สมุทรก็คือบ้าน [1] ฉีอ๋องให้ที่พักพิงยามนี้ นับเป็นพระคุณอย่างสูงแล้ว แม้จะลำบากเล็กน้อย ทว่ายามนี้ข้ากินดีอยู่ดี ทั้งยังมีสุราให้ดื่มอีก จะลำบากได้อย่างไร? ”
การแสดงออกของซูจิ่นซีราวกับคนที่ตระหนักรู้ถึงความเป็นจริงของโลก และมองเรื่องราวทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง
อย่างไรก็ตาม ยิ่งนางแสดงท่าทีเช่นนี้ ยิ่งทำให้ดวงตาของมู่หรงฉีร้อนผ่าว
เขาเงยหน้ายกสุราขึ้นดื่มอีกครั้ง จากนั้นจึงทอดสายตาออกไปทางแคว้นจงหนิง
“โยวอ๋อง คนผู้นั้นเป็นดั่งเทพในตำนานแห่งแคว้นจงหนิง ยามนี้เขากำลังทำสิ่งใดอยู่? ”
ภายในใจซูจิ่นซีพลันรู้สึกเจ็บปวด นางหันไปมองยังทิศทางเดียวกับมู่หรงฉี
“คงกำลังเตรียมพิธีสมรสกระมัง? ผู้ที่เขาจะสมรสด้วยเป็นถึงคุณหนูใหญ่ตระกูลสูงศักดิ์แห่งแคว้นซีอวิ๋น นับเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น ย่อมมีพิธีรีตองอันซับซ้อนมากมาย ยามนี้… คงยุ่งจนไม่มีเวลาทานข้าวกระมัง? ”
“จิ่นซี? ”
“หืม? ”
“ข้าพาเจ้าไปชิงตัวเยี่ยโยวเหยากลับมา เป็นอย่างไร? ”
ซูจิ่นซีหันกลับมามองมู่หรงฉีด้วยสีหน้าสับสน ครู่หนึ่ง รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง
“ตกลง! ”
….
เชิงอรรถ
[1] สี่สมุทรก็คือบ้าน สำนวนจีน หมายถึง ทั่วทุกแห่งหนล้วนเป็นที่อยู่อาศัยได้ ไม่ยึดติด