ตอนที่ 1079 ต้องการเผชิญหน้ากันซึ่งๆ หน้า
ซูหลีลุกขึ้นยืนอย่างนิ่งเฉย แสดงสีหน้าเย้ยหยันออกมา
เพื่อจัดการกับนาง พวกเขาพยายามวางแผนอย่างสุดความสามารถโดยแท้! ของประเภทนี้ แม้แต่นางที่เป็นคนปรุงยาช่วยชีวิตขึ้นมาก็ยังไม่รู้อย่างชัดแจ้งเลย แต่พวกเขากลับเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง
สีหน้าของนางไม่น่ามองนัก กลับมิได้เป็นเพราะแค่การถูกใส่ร้ายป้ายสีตรงหน้าเท่านั้น แต่กลับรู้สึกมาภายในเรื่องนี้มีบางอย่างแฝงซ่อนอยู่…
ปัญหาคือยาช่วยชีวิตของนางเป็นแบบไหนและใช้อย่างไร ที่จริงแล้วมีคนรู้เรื่องนี้น้อยมาก อีกทั้งหากไม่มีเหตุสุดวิสัยอะไร ไม่มีทางที่นางจะนำของสิ่งนี้ออกมาใช้อย่างแน่นอน
ทว่าในเวลานี้ไม่เพียงถูกผู้อื่นค้นพบ อีกทั้งยังถูกนำไปใช้แล้ว
ซูหลีมิได้ปัญญาทึบ ดูจากรูปการณ์แล้วนางรู้สึกว่า ยาพิษที่เดิมอยู่ในมือของเซียวเก๋อเหล่านั้น เกรงว่าจะใช้ยาช่วยชีวิตดัดแปลงและปรุงขึ้น
วิธีปรุงยาช่วยชีวิตนั้นยากมาก ยาช่วยชีวิตสำหรับซูหลีแล้วถือว่าเป็นของล้ำค่ามาก นางจึงเก็บรักษาไว้อย่างดี
ทว่าในมือคนเหล่านี้กลับมีอีกขวดหนึ่ง
เพราะว่าความพิเศษนี้จึงทำให้ซูหลีคิดอย่างไม่รู้ตัว
“กราบทูลฝ่าบาท! ยานี้ปรุงขึ้นมาได้ยากมาก ทั้งเมืองหลวงยังหาคนที่จะสามารถปรุงยานี้เป็นคนที่สองได้! ใต้เท้าซูใช้ความพิเศษของยาตัวนี้เป็นการตบตา เพื่อต้องการปิดบังทุกคน!”
ความเงียบเชียบเป็นเวลานานในตำหนัก ทำให้เซียวเก๋อเหล่าส่งเสียงพูดเตือนสติอีกครั้ง
“ฝ่าบาทโปรดไต่สวนให้กระจ่างด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” เซียวเสวียนรู้สึกตัวจึงแยกชายอาภรณ์ที่อยู่และคุกเข่าลงข้างเซียวเก๋อเหล่า
“ฝ่าบาทโปรดไต่สวนให้กระจ่างด้วยพ่ะย่ะค่ะ…” จากนั้นเหล่าขุนนางที่เป็นพรรคพวกเดียวกันกับสกุลเซียว และเหล่าขุนนางที่ไม่ชอบขี้หน้าซูหลีพากันคุกเข่าลงในเวลาเดียวกัน
ซูหลีดึงสติกลับมา ชำเลืองมองเหตุการณ์ที่ร้ายแรงตรงหน้า ใบหน้าที่ความเย้ยหยันและลุ่มลึกยิ่งกว่าเดิม
“กราบทูลฝ่าบาท” ซูหลีเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ยานี้เป็นยาที่กระหม่อมปรุงขึ้นมามิผิดแน่ ทว่าเรื่องลอบทำร้ายซูเฟยเหนียงเหนียง กระหม่อมไม่ยอมรับพ่ะย่ะค่ะ!”
“ซูหลี บัดนี้หลักฐานแน่นหนาขนาดนี้แล้ว เจ้ายังจะกล้าเถียงข้างๆ คูๆอีกรึ!” เมื่อสิ้นเสียงของนาง เซียวเก๋อเหล่าสะบัดหน้ามาทางนี้และพูดอย่างข่มขู่
“ใต้เท้าเซียวไม่รู้สึกว่าตนทำเกินไปหน่อยหรือ แม้ซูเฟยเหนียงเหนียงจะเป็นหลานสาวของใต้เท้าเซียว ทว่าบัดนี้ได้ออกเรือนเป็นภรรยาไปแล้ว อีกทั้งยังเป็นพระสนมในวังหลัง แม้ซูเฟยเหนียงเหนียงจะทรงเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ข้าน้อยขอถามใต้เท้าเซียวสักหน่อยว่า เรื่องของวังหลังจำเป็นต้องฟังความจากท่านหรือ”
“มือของใต้เท้าเซียวอาจจะยื่นออกมายาวไปหน่อยแล้วกระมัง”
เซียวเก๋อเหล่าถูกซูหลีตอกหน้าหงาย ในเวลานี้เขาตะลึงงันไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของซูหลีอย่างไรดี ซูหลีล้วนเห็นอากัปกิริยาของเขา ครั้นเห็นเช่นนี้จึงเอ่ยต่อว่า
“เรื่องของซูเฟยเหนียงเหนียง ก็คือเรื่องส่วนพระองค์ของฝ่าบาท ใต้เท้าซูเพียงประพฤติตนในฐานะขุนนางของตนให้ดีก็พอแล้วกระมัง!”
“ใต้เท้าซู!” เซียวเก๋อเหล่าถูกนางทำให้โมโหจนเหลืออด เซียวเสวียนที่อยู่ด้านข้างจึงพูดต่อว่า “หรือใต้เท้าซูจะเอาแต่พูดวกไปวนมาไม่มีเหตุผล! บัดนี้หลักฐานนั้นแสดงอยู่ตรงหน้าแล้ว นี่ใต้เท้าซูต้องการเปลี่ยนกลอุบาย เพื่อให้ตนเองหลุดพ้นข้อกล่าวหานี้ไปกระมัง”
“หลุดพ้นข้อกล่าวหารึ?” ซูหลีแค่นยิ้มเย็น เหลือบตามองไปทางเขาอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยด้วยเสียงเยียบเย็น “ข้ามิได้กระทำเรื่องนี้ ทำไมข้าต้องหลุดพ้นเล่า”
“เจ้าเป็นเห็นอยู่ชัดๆ …” เซียวเสวียนยังต้องการจะพูดอะไรออกมา ทว่าซูหลีกลับไม่ทนความวุ่นวายนี้ต่อไป นางเปิดปากพูดขัดจังหวะเขา
“เรื่องนี้ผู้ที่มีพูดมีน้ำหนักที่สุด ก็คือ ซูเฟยเหนียงเหนียง ใต้เท้าเซียวทั้งสองพูดกันอย่างหนักแน่นว่าข้าน้อยเป็นคนลอบทำร้ายเหนียงเหนียง เช่นนี้ก็สู้เชิญเหนียงเหนียงมาปรากฏตัวเผชิญหน้าที่นี่เลยดีกว่า”
“คนที่ได้รับความลำบากคือซูเฟยเหนียงเหนียง หากนางเป็นคนพูด เช่นนั้นก็ไม่ต้องให้ใต้เท้าเซียวทั้งสองพูดแทนตรงนี้แล้วกระมัง”
เซียวเก๋อเหล่ากับเซียวเสวียนได้ยินต่างพากันตกใจในเวลาเดียวกัน ทั้งสองสบตากัน ไม่รู้ว่านี่ซูหลีหมายความว่าเช่นไร
นางอยากเผชิญหน้ากับซูเฟยหรือ?
ตอนที่ 1080 หนอนบ่อนไส้
ทว่านี่มีหลักฐานแสดงตรงหน้าแล้ว ยังมีต้องเผชิญหน้าอะไรกันอีกหรือ
“จะพูดอย่างไร ใต้เท้าเซียวกับซูเฟยเหนียงเหนียงก็มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด ใต้เท้าซูพูดเหมือนกับว่า นอกจากซูเฟยเหนียงเหนียงแล้ว คนอื่นจะไม่สามารถคาดโทษให้กับใต้เท้าซูได้” รอบข้างมีบางคนที่รู้สึกตัวเร็วจึงพูดต่อ
ที่คิดไม่ถึงก็คือ หลังจากซูหลีได้ยินคำพูดนี้กลับพยักหน้าออกมาอย่างจริงจังแล้วกล่าว
“มิผิด!”
เหล่าขุนนางทั้งหมด…
“ในเมื่อซูเฟยเหนียงเหนียงตรัสว่ากระหม่อมเป็นคนทำร้ายพระองค์ เช่นนั้นก็ให้พระองค์ทรงมายืนยันต่อหน้าขุนนางทั้งราชสำนักด้วยตัวพระองค์เอง มิเช่นนั้นโทษนี้กระหม่อมคงมิอาจยอมรับได้!”
ซูหลีพูดจบก็ทรุดตัวคุกเข่าลงไปที่พื้น นางเลียนแบบท่าทางของขุนนางเหล่านั้น หมอบลงไปและกล่าวว่า
“ฝ่าบาทโปรดไต่สวนให้กระจ่างด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
คนสกุลเซียวทั้งหมด…
คนผู้นี้ในเวลาเช่นนี้ยังสามารถทำตัวปลิ้นปล้อนเช่นนี้ได้อีก ช่างสามารถทำให้ผู้อื่นเกิดความรู้สึกไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ !
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!” เซียวเสวียนดูฮึกเหิมเหมือนยังต้องการพูดอะไรบางอย่างออกมา
“ทหาร เรียกซูเฟยเข้ามา” ไม่รอให้เขาเอ่ยปากพูด ฉินเย่หานที่นั่งอยู่บนบัลลังก์จึงเอ่ยคำพูดคำรบนี้ออกมาด้วยเสียงเยียบเย็น
คำพูดนี้เมื่อพูดออกมา ทำให้ทั้งตำหนักตะลึงงัน
ทุกคนคิดไม่ถึงว่าฉินเย่หานจะยอมอนุญาตต่อคำร้องขอที่ไร้เหตุผลของซูหลี
ช่างไม่มีเหตุผลเกินไปแล้ว!
ไม่ต้องพูดที่เซียวซูเฟยเป็นพระสนมในวังหลัง เดิมทีขุนนางในราชสำนักต้องมาเผชิญกับเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นการทำลายเกียรติยศของราชนิกุลแล้ว ยิ่งถ้าให้ซูเฟยปรากฏตัวที่ตำหนักนี่อีกถือว่าผิดธรรมเนียมจารีต!
“กราบทูลฝ่าบาท การกระทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ! ซูเฟยเหนียงเหนียงเป็นแบบอย่างที่ดีของวังหลัง อย่างไรก็มิควร…” หลังจากที่ตกตะลึงในชั่วขณะสั้นๆ พลันมีคนกระโดดออกมาขัดขวางฉินเย่หานทันที
“ตั้งฉากกันลม” ฉินเย่หานเพียงตวัดสายตามองไปยังคนที่พูดขึ้นมาคนนั้นปราดหนึ่ง จากนั้นสั่งการเสียงเบา
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ความหมายนี้ นั่นก็คือต้องการตั้งฉากกันลมในตำหนัก เพื่อให้ซูเฟยยืนอยู่หลังฉากเผชิญหน้ากับซูหลี!
ซูหลีที่คุกเข่าอยู่เลิกคิ้ว พูดต่ออย่างคล้อยตาม “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
นี่ฝ่าบาทกับซูหลีทั้งสองคนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย หาได้เปิดโอกาสให้คนอื่นโต้แย้งไม่!
อีกทั้งหลังจากตั้งฉากกันลมแล้ว มิอาจพูดได้ว่าผิดธรรมเนียมจารีตแล้ว!
อย่างไรก็ตามในราชสำนักยังมีเรื่องที่ไทเฮาสดับฟังเรื่องการเมืองหลังม่าน นี่ก็เป็นเพียงแค่ก่อนถามคำถามเดียวเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นอะไรมาก
เหล่าขุนนางเบื้องล่างที่ต่างมองหน้ากันไปมา สีหน้าเต็มไปความซับซ้อน
เพียงแต่โอวาทของฝ่าบาททรงตรัสออกไปแล้ว พวกเขาเป็นขุนนางก็มิอาจโต้แย้งได้ง่าย ได้แต่ข่มคำพูดของตนเองกลับลงไป
และทางซูหลีที่คุกเข่าอยู่นั้น กลับมิได้มีความสุขสักเท่าไหร่ เพราะฝ่าบาททรงตอบรับคำร้องของนาง
นางมีความรู้สึกว่า เช่นนั้นเป็นเพราะข้างกายนางมีปัญหาแล้ว
มิเช่นนั้นยาช่วยชีวิตของแบบนี้จะถูกใครเผยแพร่ออกไปกัน
คนเหล่านี้แม้จะรู้จักของในมือนางจริง ทว่ากลับมิเคยเห็นของจริง ในกำมือของพวกเขายิ่งไม่มีทางมียาช่วยชีวิตถูกพวกเขาปรุงเป็นยายพิษขวดนี้ได้
หากไม่ใช่เพราะข้างกายของนางเกิดมีปัญหาอะไรแล้วละก็ ปัญหานี้ก็ไม่สามารถอธิบายอย่างปรุโปร่งได้แล้ว
ก่อนหน้าที่ขณะที่นางอยู่ในเรือนจำกว่าหนึ่งเดือนเศษนั้น กู่ซู่เคยนำคนพุ่งเข้ามาในจวนของนาง มิรู้ว่าได้ถือโอกาสฉวยยาช่วยชีวิตขวดหนึ่งไปในเวลานั้นใช่หรือไม่ ซูหลีก็ไม่รู้เช่นกัน
บัดนี้สรุปได้สองรูปการณ์ ไม่เป็นเพราะข้างกายนางมีหนอนบ่อนไส้ ไม่ก็เป็นเพราะ…ยามที่กู่ซู่นำคนเข้ามาในจวนได้ฉวยไปออกไปด้วย
ทว่าซูหลีกลับรู้สึกว่ารูปการณ์ที่สองมีโอกาสเป็นไปได้น้อย
มิเช่นนั้นยาช่วยชีวิตแม้จะถูกคนฉวยหยิบไป ก็ต้องเป็นเพราะอีกฝ่ายรู้จักของสิ่งนี้ อีกทั้งวางแผนการที่ใช้มัน ถึงได้ฉวยโอกาสหยิบไป
มิเช่นนั้น…