ตอนที่ 382 ออกจากโรงพยาบาลกลับบ้าน
เจียงมู่เฉินมุมปากกระตุกแล้วกระตุกอีก เรื่องที่ตัวเองดุร้ายขนาดนี้ เขากลับทำเหมือนว่าตัวเองกำลังทำเรื่องอะไรโรคจิตอยู่อย่างไรอย่างนั้น
‘แม่งเอ๊ย ซือเหยี่ยนนี่เกินเยียวยาจริงๆ’
เจียงมู่เฉินจ้องมองดูใบหน้าของเขา ครุ่นคิดอย่างจริงจัง จะจับเจ้าหมอนี่ขังตำหนักเย็น[1]ดีไหม
ซือเหยี่ยนรออยู่ตั้งนานก็ไม่เห็นเจียงมู่เฉินเปิดปาก สุดท้ายก็ทนไม่ไหวจึงเอ่ยถามขึ้น “ยังไงกัน คุณตัดใจทำไม่ลงเหรอ”
เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางเลวทรามของเขา ก็ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “ซือเหยี่ยน ความเป็นคนดีของนายล่ะ”
ซือเหยี่ยนในอดีตไม่เคยเป็นคนล้ำเส้นขนาดนี้มาก่อน
เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้ เขาชอบซือเหยี่ยนแบบเมื่อก่อนมากกว่า
ซือเหยี่ยนในตอนนั้นเท่ห์มาก หล่อมาก มีหรือจะเหมือนตอนนี้ที่ไม่ต่างจากพลาสเตอร์หนังหมาสลัดอย่างไรก็สลัดไม่หลุด
ซือเหยี่ยนสีหน้าจริงจัง พลาสเตอร์หนังหมาแล้วยังไง
ขอเพียงแต่เฉินเฉินผูกติดอยู่ข้างกายเขาได้ ต่อให้เขาเป็นพลาสเตอร์หนังหมา เขาก็ยอมรับมัน
ผ่านไปครู่ใหญ่ เจียงมู่เฉินอดกลั้นอารมณ์เดือดดาลที่อยากจะกระหน่ำฟาดซือเหยี่ยนเอาไว้ เสียงต่ำตะโกนออกมา “นายแม่งเอาเสื้อผ้าให้ฉันสิ”
ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินที่ถูกเขากดทับอยู่ แล้วก็มองดูกระดูกไหปลาร้าอันได้รูปของเขาอยู่อย่างนั้น
กลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง สุดท้ายก็เอาเสื้อผ้าส่งให้เขาไปอย่างว่าง่าย
ถึงแม้ว่าอยากจะจับกดแล้ววาดลวดลาย แต่ว่า…ประธานซือก็ยังเป็นคนที่ดูสีหน้าคนออกได้
‘ถ้าเขายังไม่ปล่อยมืออีก เกรงว่าเฉินเฉินของเขาต้องเล่นงานเขาตายแน่’
เขาก็รู้ตัวเองดีอยู่
ถึงจุดนี้แล้ว ประธานซือกลับทำได้ดีเป็นพิเศษเสียอย่างนั้น
เขาปล่อยมือแล้วคืนเสื้อผ้าส่งให้เจียงมู่เฉิน เจียงมู่เฉินมองเขาอย่างหวาดระแวง รู้สึกมาตลอดว่าซือเหยี่ยนไม่ได้ว่าง่ายขนาดนี้
“นายลุกขึ้น ไปอยู่ด้านข้าง อย่าเอาแต่มานั่งอยู่บนเตียงฉัน”
ซือเหยี่ยนขบกรามแล้วขบกรามอีก เจียงมู่เฉินได้ทีขี่แพะไล่ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรอยู่ดี
เขามองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง ลุกยืนขึ้น เดินไปข้างหลัง
เจียงมู่เฉินเห็นแบบนี้แล้ว ถึงได้เอื้อมมือไปหยิบเสื้อผ้า มาสวมใส่อย่างอ้อยอิ่ง
เหมือนเขาจงใจอย่างไรอย่างนั้น แต่ซือเหยี่ยนกลับต้องจำยอม ทำได้เพียงปล่อยให้เขาทำแบบนี้
นัยน์ตาเจียงมู่เฉินประกายความสะใจ ชอบเวลาซือเหยี่ยนจนใจแต่กลับทำอะไรเขาไม่ได้แบบนี้
เสื้อผ้าสองชิ้นง่ายๆ เจียงมู่เฉินใช้เวลาสวมใส่อยู่สิบนาทีเต็มๆ ซือเหยี่ยนก็ทำได้เพียงยืนรอเขาอยู่ข้างๆ อย่างว่าง่าย
กว่าเจียงมู่เฉินจะแต่งตัวเสร็จไม่ใช่ง่ายๆ เวลานี้ซือเหยี่ยนถึงได้โล่งอกสักที
‘เจ้าหมอนี่ ถ้ายังใส่ไม่เสร็จอีก เขาจะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ’
คนที่ไม่เจอหน้ากันแยกจากกันมาตั้งนานขนาดนี้ มาเปลี่ยนเสื้อผ้าอ่อยเขาต่อหน้าเขาอย่างนี้ อดทนอดกลั้นได้ก็เป็นเทพแล้ว
ประธานซือเห็นว่าตัวเองก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดา จะอดรนทนไม่ไหวก็เป็นเรื่องปกติตามธรรมชาติ
หลังจากเจียงมู่เฉินใส่ชุดเรียบร้อย ในที่สุดก็ลงจากเดิน เดินนวยนาดมาอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยน “ไปกันเถอะ”
ซือเหยี่ยนขบกราม รู้สึกว่า เจ้าหมอนี่อวดดีจนไม่มีคำจะพูดจริงๆ
ทั้งสองคนเดินเคียงไหล่กันออกจากโรงพยาบาล เจียงมู่เฉินเห็นข้างนอกก็ถอนหายใจเงียบๆ “เพียงแค่แป๊บเดียวก็เดือนนึงแล้วที่ไม่ได้กลับมา”
ซือเหยี่ยนเอื้อมมือไปคว้ามือเขาไว้ “ไปกันเถอะ คุณชายน้อยเจียงของผม”
ทั้งสองคนไปยังลานจอดรถ ซือเหยี่ยนขับรถพาเจียงมู่เฉินกลับไป ระหว่างทางเจียงมู่เฉินเอ่ยถามซือเหยี่ยน “นี่นายจะขับรถไปไหน นายรู้ได้ยังไงว่าฉันอยากจะไปไหน”
ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “คุณไม่กลับบ้านกับผม คุณยังอยากไปไหน”
เจียงมู่เฉินลูบจมูกปอยๆ รู้สึกว่า คนคนนี้ชักจะมั่นใจตัวเองเกินไปหน่อยแล้ว ถ้าหากว่าเขาไม่อยากกลับไปด้วยจริงๆ ขึ้นมาล่ะ
แต่ว่าซือเหยี่ยนก็เป็นคนขับรถ เขาจะปฏิเสธไม่ได้ก็เป็นเรื่องธรรมดา
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองคนจึงขับรถมุ่งหน้าไปคอนโดมิเนียมที่พวกเขาซื้อไว้นานแล้ว แต่ไม่มีคนอยู่
ซือเหยี่ยนเอารถมาจอดที่ใต้คอนโดมิเนียม เจียงมู่เฉินปลดเข็มขัดนิรภัยออก แล้วลงจากรถไป
เขามองดูพื้นที่จอดรถ ก่อนจะถอนหายใจเงียบๆ
ตั้งแต่หลังจากที่เลิกกันไปครั้งก่อน เขาก็ไม่เคยได้มาที่นี่เลย
ส่วนซือเหยี่ยนก็คงจะไม่เคยได้มาอีกเช่นกัน
ซือเหยี่ยนเห็นว่าจู่ๆ เขาก็เงียบไป ในใจก็ชัดเจน เดินเข้าไปจูงมือเขามา “ไปกันเถอะ”
เจียงมู่เฉินพยักหน้า เวลานี้เองถึงได้ขึ้นไปบนคอนโดมิเนียมพร้อมกับซือเหยี่ยน
[1] ตำหนักเย็น นั้นเป็นที่เข้าใจตรงกันว่า หมายถึงที่อยู่สุดท้ายของฮองเฮาหรือสนมที่ตกอับดับวาสนา จักรพรรดิ์ไม่โปรดปราน จะด้วยเหตุกระทำผิดร้ายแรงหรืออย่างไรก็สุดแท้แต่ อีกทั้งฮองเฮาหรือสนมอาจถูกสั่งให้กักบริเวณอยู่ ณ ตำหนักเดิมของตัว หรือย้ายออกไปอยู่ตำหนักไหนที่ไกลผู้ไกลคน ไม่มีใครเหลียวแลสนใจ ที่แห่งนั้นก็จะกลายเป็นตำหนักเย็นไปโดยปริยาย
ตอนที่ 383 ให้คุณเหลืออีกครึ่งชีวิต
ข้างในคอนโดมิเนียมเหมือนกับก่อนหน้านี้ ไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด สิ่งของข้างในทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเหมือนกับตอนที่พวกเขาไปจากที่นี่
เพียงแต่ว่าเพราะไม่ได้มีคนเข้ามานานเกินไป ข้างในจึงมีฝุ่นเกาะขึ้นมา
เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “อะไรกัน ในใจเอาแต่คิดถึงซูเตอร์ แม้แต่หาคนมาทำความสะอาดสักหน่อยก็ลืมไปหมดเลยหรือไง”
ซือเหยี่ยนยื่นมือไปปิดประตู “ไม่อยากให้คนไม่เกี่ยวข้องมาทำความสะอาดให้”
คำพูดนี้ของเขา เจียงมู่เฉินยังไม่ได้เข้าใจในทันที กำลังอยากจะพูดต่อ ก็เห็นซือเหยี่ยนเดินเข้าห้องครัวไปหยิบผ้าขี้ริ้วออกมา
เขาทำความสะอาดต่อหน้าเจียงมู่เฉินในทันใด เห็นท่าทางเขาแบบนี้ เจียงมู่เฉินถึงเพิ่งได้เข้าใจความหมายของเขา
เขาเองก็เข้าไปในห้องครัว เลียนแบบการกระทำของซือเหยี่ยน หยิบผ้าขี้ริ้วออกมาเช่นกัน “ในเมื่อเป็นแบบนี้ คุณชายจะพยายามช่วยนายสุดกำลังสักหน่อยก็แล้วกัน”
คนอย่างเจียงมู่เฉินคนนี้พูดจามา หลายครั้งส่วนใหญ่ก็ปากไม่ตรงกับใจทั้งนั้น ซือเหยี่ยนรู้จักเขาเหมือนหลับตาเห็น เขาเงยหน้ามองเจียงมู่เฉิน พลางยิ้มหัวเราะเล็กน้อย “งั้นก็รบกวนเฉินเฉินแล้ว”
ประโยคนี้พูดมาทีทำเอาเจียงมู่เฉินหน้าแดงนิดหน่อย ไม่มีอะไรก็มาพูดว่ารบกวนอะไรกัน ทำเอาเขารู้สึกละอายใจบ้างแล้ว
ทั้งสองคนทำความห้องอย่างรวดเร็วไปรอบหนึ่ง
ห้องที่แต่เดิมยังมีฝุ่นเกาะอยู่ก็สะอาดขึ้นมาในพริบตา เจียงมู่เฉินเอนกายอยู่บนโซฟา ถอนหายใจเงียบๆ “คุณชายเจอนายแล้วน่าอนาถจริงๆ ไม่เพียงแต่จะมีคนแปลกๆ มาโหยหา ยังต้องมาช่วยนายทำความสะอาดอีก…
…การซื้อขายนี้ขาดทุนเกินไปแล้ว”
ซือเหยี่ยนมองเขาอย่างขำขัน หันกลับเข้าไปห้องครัวยกน้ำแก้งหนึ่งมาให้เขา “ดื่มน้ำสักหน่อยเถอะ คุณชายน้อยเจียง ไม่งั้นเดี๋ยวจะไม่ได้ดื่มน้ำเลยสักคำ เดี๋ยวจะยิ่งขาดทุนไปกันใหญ่”
เจียงมู่เฉินยุ่งทำโน่นทำนี่มาพักหนึ่ง ก็ค่อนข้างจะกระหายน้ำแล้วจริงๆ เขาส่งมือไปรับแก้วน้ำมาดื่มไปสองคำ แล้วค่อยเอ่ยขึ้น “นายไม่คิดจะส่งฉันกลับบ้านเลยเหรอ”
ตอนนี้เขาไม่เป็นไรแล้ว ก็กลับไปได้แล้ว
ซือเหยี่ยนเงียบไม่พูดจาอยู่ครู่หนึ่ง “ตอนนี้ยังไม่คิด”
กว่าเขาจะชิงตัวคนมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ เวลานี้จะปล่อยอีกฝ่ายกลับบ้านไปได้อย่างไร
อีกอย่าง ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนก็ไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัว ถ้าหากเจียงมู่เฉินกลับบ้านตระกูลเจียงไป
วันหลังถ้าอยากเจอหน้าเจียงมู่เฉินอีก ก็ยากลำบากแล้ว
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะพักอยู่ด้วยกันแบบนี้เลย
ประธานซือพาเจ้าตัวมาถึงที่นี่แล้ว ก็ต้องมีความเห็นแก่ตัวเป็นธรรมดา
ไม่ว่าอย่างไรก็อยากให้เจียงมู่เฉินอยู่ในสายตา หล่อเลี้ยงเป็นอาหารตา คลายความทุกข์จากความคิดถึงแสนเนิ่นนานนี้
“ซือเหยี่ยน นายคงจะไม่ฉวยโอกาสวางแผนทำมิดีมิร้ายกับฉันหรอกใช่ไหม”
เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง รู้สึกว่า ซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่ต้องไม่มีอะไรให้วางใจได้เลย
ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเล็กน้อย “เฉินเฉิน ที่แท้คุณก็ยังฉลาดไม่เบาอยู่”
เสียงเขาเพิ่งจะหยุดลง ก็วางแก้วลง แล้วเดินเข้าหาเจียงมู่เฉินทันที
เจียงมู่เฉินเห็นก็รู้สึกว่าท่าไม่ดีแล้ว รีบเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟา เตรียมจะวิ่งหนี แต่จะทำอย่างไรได้ เมื่อว่ากันด้วยเรื่องความเจ้าเล่ห์จอมแผนการแล้ว เจียงมู่เฉินก็ไม่เคยจะคิดทันซือเหยี่ยนมาแต่ไหนแต่ไร
ครั้งนี้ก็เป็นธรรมดาที่จะยังคิดไม่ทันเหมือนเดิม
ทำได้เพียงโดนคนจับเอาไว้ หนีไปไม่รอดอยู่ดี
เจียงมู่เฉินโมโหแล้ว “นายมามุขนี้ตลอด มาเป็นฮีโร่อะไรกัน มีความสามารถ พวกเราก็ทำให้มันยุติธรรมหน่อยสิ มาดวลกันตัวต่อตัวเลย”
ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างขำขัน “เฉินเฉิน ความสัมพันธ์แบบนี้ของพวกเราสองคนก็ชัดเจนมากนะ ว่าไม่มีทางจะยุติธรรมได้ตลอดไป”
เจียงมู่เฉินรีบโต้แย้งทันที “อะไรคือความสัมพันธ์แบบนี้ของพวกเราสองคน พวกเราสองคนมีความสัมพันธ์อะไรกันเหรอ”
ความอันตรายประกายในแววตาซือเหยี่ยน “อ่อ ที่แท้เฉินเฉินก็ไม่จำว่าพวกเรามีความสัมพันธ์เป็นอะไรกัน ไม่เป็นไร ผมซือเหยี่ยนชอบเตือนคนอื่นอยู่ด้วยสิ”
เขาขบกราม ก้มหน้าลงกัดเขาไปคำหนึ่ง “ตอนนี้ผมจะมาเตือนคุณดีๆ เอง”
เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้แล้ว เขายังเป็นคนป่วยที่เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลมานะ แบบนี้จะดีจริงๆ เหรอ
เจียงมู่เฉินคิดว่าตัวเองควรจะต่อสู้ดิ้นรนบ้าง
เขาเงยหน้าทำหน้าทำตาน่าสงสารมองซือเหยี่ยน “นายลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมา ฉันยังถือว่าเป็นคนป่วยอยู่ครึ่งหนึ่งนะ”
ซือเหยี่ยนเห็นแววตาน่าสงสารของเขา เสียงทุ้มต่ำก็เอ่ยขึ้น “วางใจได้ ผมรับประกันว่าจะให้คุณเหลืออีกครึ่งชีวิต”