บทที่ 1641 - พลังเทวะแห่งเต๋าพลังของชิงสุ่ย การต่อสู้แห่งความตาย

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

บทที่ 1641 – พลังเทวะแห่งเต๋าพลังของชิงสุ่ย การต่อสู้แห่งความตาย

 

ในตอนที่ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวจบ ผู้คนก็เริ่มทะยานขึ้นมาบนท้องฟ้าตามๆกันมา ชิงสุ่ยก็ทะยานขึ้นมาด้วยเช่นกัน มีผู้เข้าร่วมจากตระกูลหยินจํานวน 4 คน ตระกูลหงนั้นส่งตัวแทนออกมาถึง 10 กว่าคน ที่สําคัญที่สุดคือหยินเทียนไม่ได้เข้าร่วมในครั้งนี้ กลับกันผู้อาวุโสหวังนั้นออกมาเป็นตัวแทนของตระกูลหยิน

 

“สิ่งที่ข้าเห็นมันจริงหรือนี่? ผู้อาวุโสหวัง นั่นมัน ผู้อาวุโสหวัง!”

 

เมื่อมีเสียงตะโกนออกมาทั่วบริเวณนี้ก็ตกอยู่ในความวุ่นวายทันที พวกเขารู้สึกตกตะลึงอย่างยิ่ง ผู้อาวุโสหวังนั้นถือเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งในนิกายจันทรานิรันกาล พ่อครัวคนนี้เป็นมิตรต่อทุกๆคนโดยดฉพาะกับท่านประมุขนิกาย เขายังสนิทสนมกับตระกูลหยินอีกด้วย

 

ด้วยเหตุนี้ผู้คนจํานวนมากจึงรู้สึกชื่นชอบผู้อาวุโสหวัง

 

“เป็นเขาจริงๆงั้นหรือ? หรือว่าตระกูลหยินนั้นไม่มีผู้ใดแล้วจริงๆ? ก่อนหน้านี้ก็เป็นเด็กเหลือขอที่ไม่มีประสบการอะไรมาตอนนี้เป็นพ่อครัว เทียบกันแล้วช่างน่าแปลกประหลาดยิ่งนัก”

 

“นั่นสิ! ที่แย่ไปกว่านั้นคือมีเพียง 4 คนเท่านั้นที่จะได้เข้าร่วมการแข่งขัน ดูฝั่งตระกูลหงส์ พวกเขามียอดฝีมือมากมาย ข้ารู้สึกได้ว่าตระกูลหยินกําลังเผชิญกับความเสี่ยงครั้งใหญ่ในตอนนี้ ดูนั่นสิหยินเทียนไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยซ้ำ มันอาจจะจริงก็ได้ที่ว่าเขาได้รับบาดเจ็บ”

 

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น หากหยินเทียนหายเป็นปกติแล้วละก็ตระกูลหงย่อมไม่ใช่คู่มือของเขาอย่างแน่นอน ที่ข้าคิดไม่ถึงคือเหตุใดพวกเขาถึงส่งพ่อครัวออกมา พ่อครัวก็เป็นยอดฝีมืองั้นหรือ? แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆเหตุใดเขาจึงไปเป็นพ่อครัว?”

 

ทันทีที่พวกเขาขึ้นไปบนลานประลองพวกเขาก็ไปที่ตําแหน่งของตนทันทีเพื่อจัดตั้งรูปแบบจัตุรทิศ ชิงสุ่ยตรวจสอบศัตรูของเขา ทั้งหมดนั้นต่างก็ดูมีอายุ นอกจากนี้จากที่เขาเห็นศัตรูนั้นทรงพลังอย่างยิ่ง นิกายอมตะเช่นนี้ย่อมแตกต่างจากศัตรูที่ชิงสุ่ยเคยพบมาในอดีต

 

ชิงสุ่ยไม่ได้คุ้นเคยกับศัตรูของเขาแต่เฟิง ซี่นั้นได้อธิบายถึงความสามารถของพวกเขาแล้ว นางได้พยายามบอกเขาทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้เขาได้เตรียมใจกับสิ่งที่กําลังเข้ามาได้ทั้งหมด

 

“ชายชราทั้ง 2 คนที่อยู่หน้าสุดนั้นคือยอดฝีมือของตระกูลหง ชายชราที่อยู่ด้านซ้านและสวมชุดสีขาวนั้นมีนามว่า หงหง ส่วนอีกคนที่สวมเสื้อสีฟ้านั้นมีนามว่า หงคู่ พวกเขาทั้งสองคนนั้นทรงพลังยิ่งกว่าข้าแต่เมื่อเทียบกับท่านลุงของเจ้านั้นพวกเขาด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย เพียงแต่ข้าไม่ทราบว่าพวกเขานั้นมีพัฒนาการด้านใดบ้างในช่วงที่ผ่านมา”

 

ชิงสัยกําลังฟังเฟิง ชื่อธิบายพร้อมกับจับจ้องไปที่ศัตรูของเขา การรับรู้ทางจิตวิญญาณของเขานั้นกําลังตรวจสอบพลังของศัตรูอย่างแม่มยํา แต่เขาก็ยังบอกได้ว่าพลังของเขากับของศัตรูนั้นยังห่างกันอยู่มาก

 

พลังพื้นฐานของชิงสุ่ยในตอนนี้นั้นอยู่ที่ประมาณ 80,000 สุริยา ด้วยผลของก้อนเมล็ดเจ็ดสีวชิระ ง้าวทองทะลวงศัตรู รวมไปถึงคทาวชิระ พลังของเขาจะเพิ่มขึ้นไปถึง 6 หมื่นล้านสุริยา

 

พลังกายของซิงสุ่ยจะอยู่ที่ประมาณ 2 พันล้านสุริยา แต่สิ่งที่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือพลังป้องกันของเขาเพราะแม้แต่พลังโจมตีของเขาเองก็ไม่อาจทะลวงผ่านพลังป้องกันของเขามาได้

 

พลังขั้นต่ำที่สุดของผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ที่ 1 หมื่นล้านสุริยา การที่จะเข้าสู่ระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นั้นยังไม่ถือว่ายาก สิ่งที่ยากไปกว่านั้นคือการเริ่มเผชิญหน้ากับระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์และพลังเทวะแห่งเต๋ นอกจากนี้พลังของผู้ฝึกยุทธจะเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อได้เข้าสู่ระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์

 

หนึ่งแสนล้าน พลังป้องกันของชิงสุ่ยในตอนนี้นั้นสูงถึงหนึ่งแสนล้านสุริยา เขาใกล้จะเข้าสู่จุดสูงสุดของขั้นที่ 1 ระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ นี่เป็นเพราะผลของเกราะทองคําวชิระและคทาวชิระ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพลังป้องกันที่มหาศาลของตัวเขาเอง

 

พลังของเฟิง ซี่นั้นอยู่ที่ประมาณ 3 หมื่นล้านสุริยา นางเป็นหนึ่งในผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแรกเริ่ม ผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังต่ำกว่าหนึ่งแสนล้านสุริยานั้นต่างก็ถือว่าอยู่ในขั้นที่ 1 ระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ นอกจากยังมีเรื่องพลังเทวะแห่งเต๋ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มพลังให้แก่ผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ได้หลายพันล้านสุริยา ผู้ฝึกยุทธที่มีพลังเทวะแห่งเต๋ไม่ถึง 100 นั้นก็จะถือเป็นผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่อ่อนแอด้วยเช่นกัน

 

พลังเทวะแห่งเต๋ของชิงสุ่ยในตอนนี้นั้นอยู่ที่ประมาณ 160 นี่ถือว่ามากกว่าผู้อาวุโสหวังเล็กน้อย แม้จะเป็นเช่นนี้แต่เขาก็ยังอยู่ในขั้นที่ 1 ของพลังเทวะแห่งเต๋ ผู้อาวุโสหวังนั้นไม่อาจบอกได้ว่าพลังทั้งหมดของชิงสุ่ยนั้นมีมากเพียงใด

 

ด้านหลังของชายชราตระกูลหงนั้นมีชายชราอีก 8 คน ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร แต่พวกเขาทั้งหมดต่างก็มีพลังเทวะแห่งเต๋ามากกว่า 100 พลังเทวะแห่งเต๋นั้นสามารถช่วยป้องกันผู้ใช้ได้จึงเป็นเหตุผลว่าทําไมชิงสุ่ยทรงพลังอย่างยิ่ง มิฉะนั้นผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจย่อมไม่อาจรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของพลังเทวะแห่งเต๋ได้เลยเช่นเดียวกับผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ในรระดับต่ำ

 

ผู้คนของตระกูลหงทุกๆคนต่างก็รู้สึกภาคภูมิใจกับยอกฝีมือของพวกเขาที่ออกมาในตอนนี้พวกเขาต้องการทําลายตระกูลหยินให้สิ้นซากในการประลองครั้งนี้ หากพวกเขาสามารถสังหารเฟิง ซี่และหยินชาได้ หยินเทียนย่อมไม่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างแน่นอน ยังมีอีกหลายวิธีที่ตระกูลหงจะสามารถทําให้หยินเทียนที่ยังไม่หายเป็นปกติดีจะหายไปตลอดกาล

 

ในตอนนี้ชิงสุ่ยดูสงบนิ่งอย่างยิ่ง ผู้ที่ดูเป็นภัยคุกคามบอกเขานั้นมีเพียงชายชรา 2 คนที่ยืนอยู่หน้าสุด หงหง และหงกู่เท่านั้น แต่คนที่เหลือนั้นก็ไม่อาจประมาทได้เลย ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่าหากตนเองประมาทก็อาจจะต้องเสียใจได้

 

“ตระกูลหยินมีเพียง 4 คนเท่านั้น กลับกันตระกูลหง…พวกเขาส่งคนออกมามากกว่า 10 คน เจ้าคิดว่าตระกูลหยินยังมีโอกาสที่จะชนะอีกหรือไม่?”

 

“ใครจะรู้กัน ตระกูลหยินจะไม่ถือเป็นภัยคุกคามต่อตระกูลหงจริงๆนั้นหรือ? หรือพวกเขาจนตรอกแล้วในตอนนี้?”

 

“ตลอดมานั้นตระกูลหยินก็ถือว่ามีคนในตระกูลไม่มากอยู่แล้ว แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากัน? หยินเทียนจะยอมดูภรรยาและลูกชายของเขาออกไปเสี่ยงชีวิตนั้นหรือ?”

 

“นั่นก็จริง ตระกูลหยินไม่เคยได้ประมือกับตระกูลหงจริงๆจังๆใช่ไหม?”

 

“แต่มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นนะ…”

 

ผู้อาวุโสสูงสุดยิ้มก่อนที่จะมองไปยังผู้คนทั้งสองฝ่าย “ข้ารู้ดีว่าพวกเจ้าทั้ง 2 ฝ่ายนั้นไม่ได้มีอารมณ์ที่จะฟังคําพูดของข้าอีกแล้ว เมื่อทั้งสองฝ่ายได้ยอมรับกฏที่ข้าที่สร้างขึ้นมาแล้ว ข้าขอประกาศว่าการต่อสู้จะเริ่มขึ้นณ บัดนี้ แต่ละฝ่ายจะมีเวลาหนึ่งก้านธูปเพื่อเตรียมตัวขึ้นต่อสู้ เรื่องนี้ข้าจะให้ทั้งสองฝ่ายตัดสินใจด้วยตัวเอง”

 

ผู้อาวุโสสูงสุดกลับลงมาที่พื้นทันทีที่กล่าวจบ ในระหว่างนี้ทั้งสองฝ่ายก็ได้เริ่มเตรียมอาวุธของตนเองแล้ว ชิงสุ่ยนง้าวทองทะลวงศัตรูและคทาวชิระของเขาออกมา

 

แม้ว่าชิงสุ่ยจะมีค่าพลังเทวะแห่งเต๋าถึง 160 ในตอนนี้ เขาก็ไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่ง คุณสมบัติที่ชัดเจนที่สุดของผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นั้นก็คือพวกเขาต้องทะยานข้ามผ่านจุดสูงสุดของระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ เมื่อสามารถทําได้แล้วพลังสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แรกเริ่มก็จะปะทุขึ้นมาภายในร่างกายของพวกเขา

 

พลังสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แรกเริ่มนั้นมีเพียงผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะมีได้ มันจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งและพละกําลังของผู้ฝึกยุทธ พลังสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แรกเริ่มนั้นจะเกิดขึ้นภายในจุดตันเถียน มันเหมือนกับวชิระภายในร่างกายของชิงสุ่ย

 

ดังนั้นในตอนนี้ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าตัวเขาเองนั้นจะถือว่าเป็นผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่ ด้วยพลังของเขาเพียงอย่างเดียวเขาถือว่าเป็นผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ในขั้นแรกเริ่ม แต่พลังป้องกันของเขานั้นกลับน่ากลัวยิ่งกว่านั้น

 

ชิงสุ่ยน้ำคทาวชิระและง้าวทองทะลวงศัตรูของเขาออกมาและปลดปล่อยรูปแบบจัตุรทิศ หงส์เพลิงสะบั้นศึก รัศมีแห่งเทพสงครามและเครื่องรางแห่งสวรรค์ออกมาทันที ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ พลังของเขาก็เพิ่มขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

 

ขณะเดียวกันนั้นศัตรูของเขาก็เพียงแค่ยืนนิ่งๆไม่ได้ลงมือทําอะไร พวกเขาแต่ละคนหยิบอาวุธออกมา ชายชราที่เป็นผู้กลุ่มนั้นใช้อาวุธเหมือนกันนั่นก็คือกระบโลหิตอสูรขนาดใหญ่ แม้ว่าชิงสุ่ยจะอยู่ห่างจากพวกเขาแต่เขาก็ยังสามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของอาวุธนั้นได้ เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

 

ในตอนที่ซิงสุ่ยได้เห็นผู้อาวุโสหวังนําอาวุธออกมาเขาก็ตกตะลึง อาวุธของชายชราผู้นี้นั้นเป็นกระบี่ที่ดูราวกับโลหิต แต่มันก็สั้นจนคล้ายคลึงกับมีดทําครัวเช่นกัน ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวของมันก็คือใบมีดของมันนั้นดูมีเสน่ห์มากกว่ามีดทําครัว ราวกับว่ามีโลหิตหยดลงมาจากกระบี่เล่มนี้

 

หลังจากนั้นแต่ละคนก็เรียกสัตว์อสูรของตนเองออกมา ชิงสุ่ยเรียกอสูรนรกรัตติกาลและอสูรสยบมังกรของเขาออกมา เดิมที่เขาต้องการเรียกอสูรอัสนีคลั่งออกมาแต่เขาก็รู้สึกว่ามันอาจไม่เหมาะสมเพราะหากไม่ระวังให้ดีมันอาจจะถูกสังหารได้ในพริบตา

 

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ในตอนนี้เฟิง ที่อยู่ในชุดคลุมตัวยาวสีขาวที่คลุมจนมาถึงหัวเข่า หยินชามองไปที่ชายชราตรงข้ามเขา “ ข้ารู้ดีว่าพวกเจ้าทุกคนคงจะรอคอยวันนี้มาอย่างยาวนาน”

 

หยินชาเพียงแค่ยกระดับกลิ่นอายของเขาขึ้นเท่านั้นไม่ได้กดดันศัตรูแต่อย่างใดในตอนนี้ เขาเป็นถึงประมุขนิกาย หลังจากที่ได้เป็นประมุขนิกายของนิกายจันทรานิรันกาลมานานหลายปี ร่างกายและกลิ่นอายของเขาก็ส่งพลังขึ้นอย่างมาก

 

ชิงสุ่ยรู้สึกว่าตนเองไม่คุ้นเคยกับชายคนนี้ในตอนนี้ เขาไม่ได้เหมือนชายที่ดูสุภาพเรียบร้อยก่อนหน้านี้ นี่คงเป็นการเตรียมการต่อสู้ของเขา ก่อนหน้านี้ที่เขาสุภาพเพราะอยู่กับครอบครัวของตนเอง

 

“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าพูดถึงเรื่องอะไร ข้ากล้าที่จะบอกว่าตระกูลหงนั้นดูแลหน้าที่ของตนเองอยู่เสมอ พวกเราไม่เคยข้ามหน้าข้ามตาผู้ใด แต่ข้าไม่อาจยอมรับความจริงที่ว่าคนนอกทั้ง 2 คนนั้นมารังแกคนของนิกายจันทรานิรันกาลได้” หงหงอธิบายช้าๆ

 

“ฮ่าฮ่า เจ้ากังวลเรื่องนี้นั้นหรือ? เจ้าคิดจะลากนิกายจันทรานิรันกาลเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ใครที่ไม่รู้บ้างว่ารุ่นเยาว์ของตระกูลหงนั้นมีแต่ขยะ? เจ้าคิดจริงๆงั้นหรือว่าข้าจะไม่กล้าบอกเรื่องนี้ต่อทุกๆคน? ยังกล้าพูดว่ามันถูกรังแกจริงๆมันสมควรตายไปด้วยซ้ำ” หยินชากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

 

หยินชาพูดออกมาจากจิตใจของเขา แน่นอนว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะความผิดของชิงสุย-

 

ชิงสุ่ยไม่ได้พูดอะไรในตอนนี้ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ถ้าหากใครสักคนไม่มีประโยชน์ต่อคนอื่นๆอย่างสิ้นเชิงก็คงไม่มีผู้ใดอยากจะเข้ามาข้องแวะด้วย เรื่องเช่นนี้เป็นจริงอยู่เสมอไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม

 

“เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราก็มาพูดกันด้วยกําลังจะดีกว่า” หงหงไม่ได้ดูโกรธแค้น เขาเริ่มการต่อสู้ทันที

 

“เอาหละ มาเริ่มกันเถอะ!”

 

ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันประมาณ 100 เมตรในตอนนี้ พลังที่แผ่กระจายออกมาจากทุกคนนั้นกระจายไปทั่วท้องฟ้า ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายเริ่มเผชิญหน้าเข้าหากัน แต่การต่อสู้ดูเหมือนจะไม่ได้เริ่มขึ้นในทันที

 

ในตอนนี้ชิงสุ่ยนั้นมีพลังป้องกันอันน่ากลัว แต่ความสามารถของชิงสุ่ยก็ยังไม่อาจควบคุมสถานการณ์นี้ได้ด้วยตัวคนเดียวได้

 

ผู้อาวุโสหวังนั้นคงต้องรับมือกับหงหงและหงภู่เพียงผู้เดียวซึ่งทําให้เขาดูเสียเปรียบอย่างยิ่งสําหรับเฟิง ซี่และหยินชา พวกเขารับมือกับ 6 คนที่เหลือและเหลือคนที่อ่อนแอที่สุด 2 คนให้ชิงสุ่ยรับมือ

 

ชิงสุ่ยมองไปยังชายชราทั้งสองคนที่กําลังพุ่งตรงมาที่เขา ลึกๆในใจแล้วเขารู้สึกกังวลเล็กน้อยเขาสั่งให้อสูรนรกรัตติกาลและอสูรสยบมังกรรับมือกับการชราคนหนึ่ง ส่วนชายชราอีกคนนั้นกําลังพุ่งตรงเข้ามาหาชิงสุ่ย

 

การต่อสู้ในตอนนี้ยังไม่ได้ดุเดือดรุนแรงมากนัก ชิงสุ่ยยังคงมองไปรอบๆการต่อสู้ครั้งนี้ เขารู้ดีว่าสถานการณ์เช่นนี้คงอยู่อีกไม่นานนัก เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็ยินดีที่จะทําให้การต่อสู้ครั้งนี้ดุเดือดมากยิ่งขึ้น

 

ด้วยพลังป้องกันในตอนนี้ของชิงสุ่ย ยากยิ่งนักที่จะมีผู้ใดสังหารเขาได้เพียงคนเดียว แต่เขาก็ยังสามารถร่วมมือกับคนอื่นๆในการต่อสู้ครั้งนี้ได้ เขาส่งกระแสจิตไปพูดคุยกับหยินชา

 

หลังจากนั้นเขาก็ปลดปล่อยเคล็ดวิชาล่าสังหารของตัวเองออกมาทันที ในตอนนี้ศัตรูอยู่ในความตกตะลึงจากนั้นเขาก็ใช้ปราณจักรพรรดิออกมา

 

หยินชาก็ได้เตรียมพร้อมอยู่แล้ว เมื่อเขาเห็นชายคนหนึ่งเข้ามาในระยะกระบี่ของตนเอง เขาก็ตัดศีรษะของชายชราผู้นั้นทันที

 

หยินชาเชื่อมั่นในตัวชิงสุ่ย เขาเตรียมพร้อมมานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถตัดศีรษะของศัตรูได้อย่างไม่มีความกังวลใดๆ

 

ความตายของชายชราผู้นี้ทําให้ทุกๆคนของตระกูลหงต้องตกตะลึง

 

หงหงและหงกู่เริ่มยกระดับพลังของตนเองขึ้นในทันที พลังของพวกเขานั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากจนทําให้ทุกๆคนต้องตกตะลึง ในตอนนี้พวกเขาแต่ละคนนั้นเทียบได้กับผู้อาวุโสหวังที่ได้รับการเสริมพลังขึ้นมา

 

ชายชราทั้งสองคนนี้ได้มีการพัฒนามากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ชิงสุ่ยก็ได้รับรู้เรื่องนี้มาจากเฟิง ซี่ เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้อาวุโสหวังจึงเสียเปรียบมากยิ่งขึ้น จนมีหลายครั้งที่เขาเกือบตายไป

 

ชิงสุ่ยพุ่งตรงเข้าไปหาศัตรูพร้อมกับอสูรสยบมังกรของเขา เขาใช้เคล็ดวิชาล่าสังหารไปที่หงหงพร้อมกับสั่งให้หุบเขา 9 เทวาพุ่งตรงเข้าไปปะทะโดยไม่มีความลังเลใดๆ

 

แต่หุบเขา 9 เทวาของชิงสุยไม่สามารถช่วยป้องกันให้กับเขาได้แล้วในตอนนี้ เพราะเมื่อมันอยู่ตรงหน้าชายชราที่มีพลังมากกว่า 6 หมื่นล้านสุริยา พลังป้องกันของมันก็เหมือนกับหิงห้อยที่พยายามต่อต้านดวงอาทิตย์

 

แต่ในตอนนี้ชิงสุ่ยได้ใช้เคล็ดวิชาล่าสังหารและปราณจักรพรรดิของเขาออกไปอีกครั้ง!

 

นี่ทําให้ผู้อาวุโสหวังตกอยู่ในสภาวะอันตรายสามารถเอาชีวิตรอดมาได้อีกครั้ง เขาต้องเสี่ยงชีวิตอยู่หลายครั้งรวมไปถึงสัตว์อสูรของเขาก็ไม่เช่นกัน

 

ในตอนนี้ชายชราทั้ง 2 คนก็พุ่งตรงเข้ามาหาชิงสุ่ยอีกครั้ง

 

แม้ว่าการต่อสู้อาจจะเพิ่งเริ่มต้นแต่ตระกูลหงก็ได้สูญเสียไป 1 คนแล้ว หากไม่มีชิงสุ่ย ตระกูลหยินอาจจะต้องจบสิ้นไปในวันนี้ ตระกูลหงก็รู้สึกกังวลใจมากยิ่งขึ้น พวกเขาทําได้เพียงโทษความโชคร้ายของตนเองที่ชิงสุ่ยปรากฏตัวขึ้นมาในตอนนี้