บทที่ 174 ปล่อยฉันไป

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 174
ปล่อยฉันไป

เพียงแค่ว่าเขาลืมไปว่าดราก้อนมาสเตอร์ก็เป็นผู้ชายและก็มีความต้องการแบบผู้ชายเหมือนกัน เป็นความสะเพร่าของเขาเองที่น่าจะเลือกหญิงบริการที่ดีที่สุดมาให้ดราก้อนมาสเตอร์

ต่อมาเมื่อหลงอี้อธิบายให้ดราก้อนมาสเตอร์เข้าใจ ริมฝีปากเขาแห้งผากและถึงขนาดจนต้องเอาหนังประเภทนั้นออกมาให้ฮวงฟูอี้ดูด้วย

หลังจากนั้นหลงอี้ก็โทรศัพท์เพื่อหาหญิงสาวสวยที่บริสุทธิ์ แต่ก่อนที่ดราก้อนมาสเตอร์จะได้เจอกับเธอ มือและเท้าของเขาก็สั่นไปด้วยความกลัว และสุดท้ายดราก้อนมาสเตอร์ก็พูดออกมาเพียงคำเดียวว่า “น่ารังเกียจ!” แล้วในตอนบ่ายเขาก็ถูกลากออกมาให้ขับรถแบบนี้

หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยออกมาไม่นาน ชูอี้เสิ่นก็ออกมาจากห้องเช่นกันแล้วขับรถตรงไปที่ไนต์คลับทันที เขากระดกแก้วบรั่นดีแก้วแล้วแก้วเล่า ความขมของรสเหล้าก็ไม่สามารถล้างความขมขื่นของการโหยหามู่หรงเสวี่ยได้เลย วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาบอกให้เธอไป แต่ก่อนเขาอยากที่จะอยู่กับเธอตลอดเวลาแต่มันก็รู้สึกว่าทนได้ยากอยู่สักหน่อยเมื่อเธอปฏิเสธออกมาอย่างชัดเจน ถ้าเขาตื้อเธอต่ออีก ก็คงจะทำให้เธอลำบากใจ เธอไร้ทางสู้ ตัวแข็งทื่อจนไม่รู้ว่าจะพูดกับเขายังไง เธอลนมากจนเขาเห็นได้อย่างชัดเจนและรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ

อันที่จริงเขาควรที่จะอดทนมากกว่านี้ อย่างน้อยก็น่าจะรอให้ร่องรอยของชางกวนโม่ในหัวใจเธอจางลงไปกว่านี้ก่อน แล้วค่อยสารภาพกับเธอก็น่าจะดีกว่า อย่างไรก็ตามท่าทางของฮวงฟูอี้ที่เข้ามารบกวนและสร้างความตื่นตระหนกให้กับหัวใจของเขา เขากลัวว่าจะต้องสูญเสียสติที่มีก่อนหน้านี้และกลัวว่าจะต้องเสียคุณสมบัติไปอีก เขารู้สึกหงุดหงิดกับความสะเพร่าในเรื่องการสารภาพของตัวเอง เขากลัวว่าเสี่ยวเสวี่ยจะไม่พึ่งพาเขามากเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

ไม่นานเหล้าที่อยู่บนโต๊ะก็ว่างเปล่า ทุกคนเคยบอกเขาว่าความเมาสามารถหยุดความกังวลได้ อย่างไรก็ตามแต่ความเจ็บปวดในหัวใจก็ยังคงอยู่ หัวใจของเขาวุ่นวายไปหมดแต่ก็ยังจำหน้า, คิ้ว, รอยยิ้มและทุกๆอย่างของเธอได้อย่างชัดเจน

รูปร่างที่สวยงาม, ท่าทางและเสื้อผ้าที่เป็นแบรนด์เนมทั่วร่างกายทำให้พวกสาวๆที่อยู่ไม่ไกลต่างก็คอยมองมาที่เขาตลอดพร้อมด้วยเสียงซุบซิบมาทางเขา จนสุดท้ายผู้หญิงที่คิดว่าเธอสวยพอก็เดินเข้ามาหาชูอี้เสิ่นทีละก้าวๆอย่างมีเสน่ห์ น้ำเสียงหวานและหยาดเยิ้มดังออกมา “คุณมาคนเดียวเหรอคะ? ให้ฉันนั่งเป็นเพื่อนได้ไหมคะ…” แล้วเธอก็อยากที่จะเอื้อมมือออกไปเพื่อกอดเขา

ชูอี้เสิ่นแวบสายตาเกรี้ยวกราดและพูดออกมาเพียงสั้นๆ “ไปให้พ้น!”

หญิงสาวตัวสั่น รู้สึกกลัวจนแทบจะล้มลงไปที่พื้น ใบหน้าที่แต่งมาซะหนาแต่ก็ยังเห็นร่องรอยความกลัวจนซีดเผือด หลังจากนั้นสักพักเธอก็พยายามสงบใจแล้วหันมายักไหล่ “ดีมาจากไหนกัน? กล้าดียังถึงพูดกับฉันแบบนั้น? รู้หรือเปล่าว่าฉันเป็นใคร?! กล้าดียังไงถึงพูดคำพวกนั้นออกมา”

เพราะชูอี้เสิ่นในตอนนี้เปล่งรังสีอำมหิตอย่างรุนแรง ทำให้ผู้หญิงคนนั้นขาสั่นจนแทบจะยืนไม่ไหว ไม่กล้าพูดอะไรต่อนอกจากเดินหนีไปดีกว่า

หลังจากที่ได้เห็นฉากที่อยู่ตรงหน้าพวกขา หญิงสาวคนอื่นๆที่ยังมองอยู่ก็ไม่กล้าที่จะเดินหน้าอีก พวกเธอต่างก็หันหัวกลับไปพูดคุย ดื่มและดื่มกันต่อราวกับว่าเมื่อกี้เป็นเรื่องเล็กน้อย

“เติมเหล้าด้วย!” ชูอี้เสิ่นพูดกับบาร์เทนเดอร์
ในไม่ช้าบาร์เทนเดอร์ก็เดินมาเติมบรั่นดี
ชูอี้เสิ่นยกดื่มแก้วแล้วแก้วเล่าโดยไม่รู้รสชาติของเหล้า มันทำให้ผู้คนรู้สึกเสียดายความงามนั้นอย่างบอกไม่ถูก หญิงสาวหลายคนต่างก็สงสัยว่าใครกันที่กล้าทำร้ายชายคนนี้

เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองดื่มเข้าไปกี่แก้วแล้ว ร่างที่อยู่รอบๆตัวเขาเริ่มที่จะพร่ามัวและสติก็หลุดลอย

“คุณ! คุณครับ” บาร์เทนเดอร์มองไปที่ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเขา มีคนมากมายที่มาดื่มที่นี่และหลายคนก็เมามาย

บาร์เทนเดอร์หยิบโทรศัพท์มือถือของชูอี้เสิ่นออกมาและกดโทรหามู่หรงเสวี่ยเป็นเบอร์แรก อย่างไรก็ตามเขาโทรไม่ติด แล้วเขาก็เห็นเบอร์ที่อยู่ด้านล่างจึงกดโทรหาโม่อ้ายลี่อีกครั้ง เขาอธิบายสถานการณ์ของชูอี้เสิ่นและขอให้เธอมารับเขาที

หลังจากครึ่งชั่วโมงต่อมา โม่อ้ายลี่ก็มาพร้อมกับชุดที่ไม่เข้ากับไนต์คลับเลย สีหน้าของเธอแสดงให้เห็นว่ากำลังตามหาใครบางคนอยู่ ที่ถนนไม่มีใครขวางทางเธอไว้ เมื่อเธอเห็นชูอี้เสิ่นนอนอยู่ที่บาร์ เธอรีบเดินตรงเข้าไปด้วยความเร็ว

เธอยื่นมือออกไปและเขย่าตัวชูอี้เสิ่น “เฮ้ ตื่นสิ ลุกขึ้นมา!”
โม่อ้ายลี่กำลังอร่อยกับมื้ออาหารที่บ้านอยู่แต่โดยที่ไม่คาดคิดก็ได้รับสายจากคนแปลกหน้า หลังจากได้ฟังเรื่องที่บาร์เทนเดอร์บอก เธอก็มองไปที่อาหารที่อยู่บนโต๊ะและสุดท้ายก็หมดอารมณ์ที่จะกินต่อ แล้วเธอก็ออกมาสถานที่ที่เรียกว่าไนต์คลับ ตลอดทางเธอก่นด่าชูอี้เสิ่น ไอ้ผู้ชายยโสที่สร้างแต่ปัญหาให้คนอื่น
“มู่หรง…” ชูอี้เสิ่นที่เมามายพร่ำเรียกแต่ชื่อของ มู่หรงเสวี่ยซ้ำไปซ้ำมา

โม่อ้ายลี่ขมวดคิ้วและตบเขาแรงๆเข้าที่หน้า หวังว่าปลุกเขาให้ตื่นตอนนี้ได้ “เฮ้ รีบตื่นขึ้นมาเลย…” เธอมองไปที่ขวดเหล้าเกะกะที่อยู่ทั่วโต๊ะ พระเจ้า คงจะเป็นเรื่องแปลกถ้าจะตื่นขึ้นมาได้หลังจากที่กินไปเยอะขนาดนั้น

“มู่หรง อย่าทิ้งฉัน…” ชูอี้เสิ่นพูดกับตัวเอง
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ โม่อ้ายลี่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาและกดโทรหามู่หรงเสวี่ย ใครจะรู้ว่าเบอร์โทรศัพท์ของเธอจะอยู่นอกพื้นที่ให้บริการ ไว้ค่อยโทรหาใหม่อีกรอบ

เธอไม่รู้ว่ามู่หรงเสวี่ยหายไปไหน?! เธอเก็บโทรศัพทไปอย่างจนปัญญาแล้วพยุงชูอี้เสิ่นที่นอนอยู่ที่บาร์ขึ้นมา เอามือเขามาวางที่ไหลของเธอและทั้งสองก็เดินออกมาอย่างเก้ๆกังๆ

หลังจากที่เดินออกมาจากประตู โม่อ้ายลี่ก็รู้สึกเหนื่อยและหอบอย่างมาก ชูอี้เสิ่นเป็นผู้ชายร่างสูงมากที่โถมทั้งตัวลงมาที่ตัวของเธอ เธอเหนื่อยมากจนอยากที่จะโยนเขาลงไปกับพื้น อย่างไรก็ตามเธอก็ต้องทนแบกเขาอีกรอบเมื่อนึกถึงชื่อของ เสี่ยวเสวี่ยที่เขาพร่ำเรียกอยู่ตลอดเวลา เธอพูดไม่ได้ว่าเธอเองก็เป็นเพื่อนเสี่ยวเสวี่ยด้วยเหมือนกัน

โม่อ้ายลี่เรียกแท็กซี่และบอกชื่อโรงแรมไป คนขับรถมองมาที่เธอด้วยสายตาที่เธออยากจะโมโหราวกับว่าเธอเป็นผู้หญิงประเภทนั้น เมื่อผู้ชายคนนี้ตื่น เธอต้องอยากให้เขาดูดี

เมื่อไปถึงที่โรงแรมโชคดีที่มีพนักงานช่วยพยุงชูอี้เสิ่นไปส่งที่ห้อง ไม่งั้นเธอคงแทบจะทรุดลงไปกองกับพื้นแน่ๆ

เมื่อมองไปที่ชูอี้เสิ่นที่นอนเมาอยู่บนเตียง เธอนึกถึงสายตาของคนพวกนั้นที่มองมาที่เธอตลอดทาง เธออดไม่ได้ที่จะยืดเท้าออกไปและเตะไปที่ขาเขา ชายที่นอนอยู่บนเตียงกลิ้งตัวและหล่นลงไปกองที่พื้นจริงๆเสียงดัง

โม่อ้ายลี่รีบดึงเท้ากลับด้วยความตกใจ เธอไม่ได้ตั้งใจ
“เสี่ยวเสวี่ย ฉันรักเธอ…เสี่ยวเสวี่ย…” ชูอี้เสิ่นที่หล่นลงไปที่พื้นเอาแต่พึมพำเรียกชื่อมู่หรงเสวี่ย

นี่ทำให้โม่อ้ายลี่รู้สึกสงสารจนแทบทนไม่ไหวอยู่นิดหน่อย ชายคนนี้ชอบเสี่ยวเสวี่ยจริงๆแต่เธอไม่รู้ว่าเสี่ยวเสวี่ยคิดยังไง แต่เมื่อเห็นสภาพเขาที่เป็นแบบนี้ก็น่าจะมาจากการที่เสี่ยวเสวี่ยไม่รับรักเขาแน่ๆ

ขนาดเมาขนาดนี้แต่ปากเขาก็ยังเรียกแต่ชื่อของมู่หรง จู่ๆเธอก็รู้สึกอิจฉามู่หรงอย่างมากที่มีคนที่รักเธอมากขนาดนี้

โม่อ้ายลี่คิดอยู่สักพักแล้วเธอก็พบว่าตัวเองไม่เคยรู้จักผู้ชายอย่างจริงจังเลย เพื่อนที่เธอเคยติดต่อด้วยก็มีแต่เพื่อนของรุ่นพี่หยางที่ชื่อไป๋ ซือฮ่าว หลังจากที่ได้กินข้าวด้วยกัน ไป๋ ซือฮ่าวก็มักจะมาเจอเธอบ่อยๆ หลักๆก็เพราะทุกครั้งที่เขามาหาเธอ เขาก็มักจะเอาอาหารโปรดมาให้เธอด้วยและทั้งสองก็ค่อยๆสนิทกัน

มิตรภาพแบบนี้จบลงหลังจากที่วันหนึ่งไป๋ ซือฮ่าวสารภาพรักออกมา ถึงแม้เธอจะสับสนเกี่ยวกับเรื่องความรักอยู่เล็กน้อยแต่เธอยังคงแยกแยะความแตกต่างระหว่างเพื่อนและคนรักได้ เวลาที่เธอเจอหน้าเขา เธอไม่ได้รู้สึกใจสั่นดังนั้นเธอจึงปฏิเสธออกมาอย่างแยบขาด
หลังจากนั้นไป๋ ซือฮ่าวก็ดูเหมือนจะหายหน้าไปจากเธอ เขาไม่เคยมาเจอเธออีกเลย ถึงแม้เธอจะเสียดายมิตรภาพแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เธอไม่ได้รู้สึกเสียใจที่ปฏิเสธเขาเลยสักนิด

เมื่อดึงสติกลับมาได้ โม่อ้ายลี่มองไปที่ชูอี้เสิ่นที่กองอยู่บนพื้น คุกเข่าลงไปเพื่อช่วยพยุงเขาขึ้นมา วางเขาลงไปบนเตียงและเดินเข้าไปในห้องน้ำพร้อมหยิบผ้าขนหนูเพื่อมาเช็ดหน้าเขา

เธอเพิ่งได้เห็นความหล่อเหลาของชูอี้เสิ่น คิ้วที่หนาเข้ม, ได้รูปคม, จมูกโด้งและริมฝีปากบางที่ทำให้เขาดูสวยอย่างมาก

ชูอี้เสิ่นเหมือนจะเห็นร่างที่คุ้นเคยรางๆ หัวที่มึนๆทำให้เขามองเห็นหน้าได้ไม่ชัด ร่างที่อยู่ตรงหน้าที่เขาเห็นค่อยๆซ้อนทับกับมู่หรงเสวี่ย เขาเอื้อมมือออกไปและกอดร่างตรงหน้า เขาคิดถึงคนนี้ตลอดทั้งวันและคืน “เสี่ยวเสวี่ย…”

โม่อ้ายลี่ที่ไม่ทันตั้งตัวถูกเขากอดไว้ในอ้อมแขน เธอขัดขืนด้วยความตกใจ “นายจะทำอะไร ปล่อยฉันนะ…”

ชูอี้เสิ่นไม่ได้ยินสิ่งที่เธอกำลังพูด เขาทำตามสัญชาตญาณและจูบไปที่ริมฝีปากแดงอย่างบ้าคลั่ง ความรู้สึกอ่อนนุ่มและหอมหวานทำให้เขาไม่อยากที่จะหยุด

โม่อ้ายลี่พยายามขัดขืนอย่างแรง “ฉัน…หยุด…ปล่อย…” รสชาติแปลกๆของเหล้าในปากเธอซึ่งกลอกกลิ้งไปทั่วริมฝีปากเธออย่างรุนแรงและจู่ๆจังหวะหัวใจเธอก็เต้นรัวขึ้น

“มู่หรง ฉันรักเธอ…ทำไมเธอไม่รับรักฉัน…” ชูอี้เสิ่นปล่อยเธอ มือของเขาจับอยู่ที่ไหล่เธอและพูดออกมาอย่างเลื่อนลอย

โม่อ้ายลี่เช็ดปากและพูดออกไป “บ้าเอ๊ย นายจำผิดคนแล้ว รีบปล่อยฉันเลยนะ…” ไม่มีใครรู้สึกเสียใจไปมากกว่าเธอ เธออุตส่าห์ออกไปช่วยไอ้ขี้เมาแต่กลับถูกไอ้ขี้เมาคนนี้ขโมยจูบแรกไป แถมยังถูกคิดว่าเป็นมู่หรงเสวี่ยอีกต่างหาก