ตอนที่ 445 กำลังเต็มเปี่ยม / ตอนที่ 446 ปิดหูขโมยกระดิ่ง

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 445 กำลังเต็มเปี่ยม

 

 

ลูกน้องของเขาเมื่อกินอิ่มแล้วก็เริ่มง่วงเหงาหาวนอน มีเพียงเขาที่ดื่มนมแล้วรู้สึกร่างกายอบอุ่นขึ้นมา แต่ก็ยังไม่มีความง่วงเลยสักนิด

 

 

“บอสครับ ไม่ไปนอนสักหน่อยเหรอครับ”

 

 

เหยียนเค่อยิ้มหล่อ “ไม่ครับ ผมจะนั่งดูพวกคุณทำงาน”

 

 

เสียงโอดครวญดังเซ็งแซ่ อยากจะแอบงีบสักหน่อย แต่เจ้านายมาเฝ้าแบบนี้ใครจะกล้าหลับลง

 

 

ผู้ช่วยหวังเห็นเขายิ้มกริ่มแบบนี้ก็รู้ทันทีว่าต้องไม่ดีแน่ จึงเป็นเดือดเป็นร้อนแทนพวกเขา  “บอสครับ พรุ่งนี้เรายังต้องทำงานกันอีกนะครับ”

 

 

เหยียนเค่อก็แค่รู้สึกเบื่อเท่านั้น เห็นพวกเขาฝืนอดนอนไม่ไหวก็ไม่ได้บังคับให้พวกเขามาอยู่ดึกเป็นเพื่อนตน

 

 

“งั้นก็แยกย้าย ใครอยากกลับบ้านก็กลับได้”

 

 

หนุ่มโสดไม่อยากกลับบ้าน ส่วนชายที่แต่งงานแล้วไม่กล้ากลับบ้าน ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนจะทำงานของตัวเองต่อ

 

 

“กลับบ้านกับนอนที่นี่ก็ไม่ต่างกันหรอกครับ”

 

 

“เฮ้อ” เหยียนเค่อเบ้ปากอย่างหงุดหงิด “ช่างเถอะ พวกคุณนอนไปแล้วกัน ผมกลับล่ะ”

 

 

ผู้ช่วยหวังอยากจะตะโกนเสียงดังว่า ‘ฝ่าบาทเสด็จ’ เหมือนกับขันทีในสมัยก่อนเสียจริง

 

 

หลังจากที่ทุกคนเห็นว่าเหยียนเค่อเดินลับสายตาออกไปแล้ว จึงถอนใจออกมาอย่างโล่งอก ทุกคนหยิบเครื่องนอนออกมาตั้งท่าจะนอนหลับ

 

 

“ช่วงนี้ทำไมบอสของเราถึงไม่เหมือนมนุษย์เลย อดหลับอดนอนหลายวันติดต่อกันแต่ยังไม่มีริ้วรอยสักนิด” มีคนหนึ่งลูบใบหน้าของตนแล้วตัดพ้อ

 

 

ผู้ช่วยหวังฟังแล้วก็อยากจะหัวเราะ ต่อมาก็ได้ยินอีกคนหนึ่งพูดเสริมขึ้นมาอย่างเห็นพ้องต้องกัน “ผมเด็กกว่าบอสตั้งครึ่งปี ตั้งแต่เข้าบริษัทมาผมกินมื้อดึกจนน้ำหนักขึ้นมาสิบกิโลแล้ว ทั้งๆ บอสก็กินเยอะพอๆ กับผม แต่ทำไมรูปร่างยังเหมือนเมื่อสองปีก่อนตอนผมเพิ่งเข้ามาทำงานเลยล่ะ”

 

 

“เทียบไม่ได้หรอกๆ” มีคนที่ใกล้จะหลับแล้ว เอ่ยขึ้นด้วยเสียงงัวเงีบ

 

 

ผู้ช่วยหวังอยู่ทำงานกับเหยียนเค่อมานานกว่าพวกเขาทุกคนในที่นี้ เหยียนเค่อเคร่งครัดกับตัวเองมากมาโดยตลอด ไม่ว่าจะในด้านไหนล้วนแล้วแต่โดดเด่นจากคนอื่นขึ้นมาก้าวหนึ่งเสมอ

 

 

เหยียนเค่อเดินกลับห้องทำงานของตนอย่างเชื่องช้า ตอนเพิ่งเปิดบริษัทใหม่ๆ เขาก็เคยหลับฟุบไปกับโต๊ะพร้อมกับสวีอันหรานเช่นกัน ตอนนั้นนอกจากหาเงินแล้วก็ไม่สนใจเรื่องอื่นอีก ตอนนี้เงินที่หาได้ก็มากมายเสียจนใช้ทั้งชาติก็ใช้ไม่หมด แต่กลับไม่ได้สุขสบายไปกว่าตอนนั้นเลย

 

 

ขณะที่เขากำลังเหม่อลอย ฉินซื่อหลานก็โทรมาพอดี

 

 

“หืม?”

 

 

“นายนอนแล้วเหรอ” ฉินซื่อหลานเพิ่งกลับออกมาจากห้องประชุม ลืมไปแล้วว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไร

 

 

เหยียนเค่อเอ่ยเตือนสติด้วยน้ำเสียงเรียบ “ถ้าฉันนอนแล้วก็คงไม่คุยกับนายหรอก”

 

 

ฟากของฉินซื่อหลานค่อนข้างเสียงดัง เหยียนเค่อยังได้ยินเสียงพร่ำบ่นของเสี่ยวฝูเอ๋อร์อีกด้วย

 

 

“เหอะ พวกมีครอบครัว”

 

 

ฉินซื่อหลานโอบเสี่ยวฝูเอ๋อร์ให้เดินกลับ เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็เยาะเย้ย “กว่าจะประชุมเสร็จออกมาก็ดึกแล้ว”

 

 

เหยียนเค่อเข้าใจ “นายโทรมาหาฉันมีอะไร”

 

 

“นายยังเจ็บคออยู่ไม่ใช่เหรอ เมืองหลวงอากาศแห้งจะตาย นายพกยาไปด้วยสิ”

 

 

เหยียนเค่อกุมหน้าผาก “ตอนนี้ฉันไม่ได้แค่เจ็บคอเท่านั้นนะ แต่ยังนอนไม่หลับด้วย จ่ายยาให้ฉันหน่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันเข้าไปเอา”

 

 

ฉินซื่อหลานรู้สึกแปลกใจไม่น้อย เหยียนเค่อทำงานเหนื่อยแทบตายแต่กลับนอนไม่หลับเนี่ยนะ “นายเป็นอะไร”

 

 

เหยียนเค่อไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร จะให้เขาบอกว่าคิดถึงซย่าเสี่ยวมั่วก็คงไม่ได้หรอกใช่ไหมล่ะ

 

 

การนอนไม่หลับเกิดจากหลายโรคด้วยกัน สาเหตุที่แน่ชัดของแต่ละคนล้วนแตกต่างออกไป

 

 

ฉินซื่อหลานก็ไม่ได้ถามต่อ เพียงแค่พูดติดตลกเท่านั้น “นายไม่มีผู้หญิงล่ะมั้งเพื่อน กำลังวังชาถึงได้เต็มเปี่ยมขนาดนี้”

 

 

เหยียนเค่อไม่ปฏิเสธ ก่อนจะพูดด้วยเสียงอู้อี้ “ใครจะหมือนนาย ผัวแก่เมียเด็ก เห็นถึงความแตกต่างของอายุแล้วสิท่า เหอะ”

 

 

“นาย” ฉินซื่อหลานพูดตะกุกตะกัก “อย่ามาพูดจาสองแง่สองง่ามแบบนั้นนะ!”

 

 

“หน้าเนื้อใจเสือ”

 

 

ทั้งสองคนทำสงครามน้ำลายกันอยู่นาน สุดท้ายฉินซื่อหลานถือสายต่อไปไม่ไหวแล้ว การพูดคุยในเกี่ยวกับเรื่องกำลังวังชาจึงจะสิ้นสุดลง

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 446 ปิดหูขโมยกระดิ่ง

 

 

ท้องฟ้าสว่างด้วยแสงยามอรุณ เหยียนเค่อปิดปากหาวอย่างเชื่องช้า เขายืนอยู่ข้างหน้าต่างกระจกบานใหญ่ตลอดทั้งคืน ยืนจนขาแข็งไปหมดแล้ว

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วเองก็ตื่นขึ้นมาเพราะอยากเข้าห้องน้ำในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน

 

 

“แขนฉัน” มือที่สะบัดผ้าห่มออกชะงักค้างอยู่ที่เดิม ก่อนจะค่อยๆ ประคองให้วางลงที่เดิมอย่างช้าๆ

 

 

เมื่อวานหลังจากกลับบ้านแล้ว แขนของเธอก็ปวดจนแทบจะยกมือกินข้าวไม่ไหว นอนหลับทั้งคืนแต่ตื่นมากลับปวดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วแบกร่างพิกลพิการไร้เรี่ยวแรงให้ลุกออกจากเตียง หันกลับไปดูนาฬิกาปราดหนึ่งก่อนจะพลิกตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง การปวดปัสสาวะไม่ได้ทำให้เธอลุกออกจากเตียงได้ หลังจากนอนสะลืมสะลืออยู่บนเตียงกว่าครึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็อั้นไม่ไหว ขณะกำลังจะลุกโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน

 

 

“ฮัลโหล!” ซย่าเสี่ยวมั่วคว้าโทรศัพท์แล้ววิ่งปรี่เข้าห้องน้ำไปทันที

 

 

เมื่อคืนอันหร่านอยู่เป็นเพื่อนเบลล์จนดึกดื่น วันนี้ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าสมองตื้อไปหมด แต่เรื่องที่ต้องบอกให้ซย่าเสี่ยวมั่วรู้นั้น เธอยังจำได้ดี “วันนี้บอสจะมาตรวจ มาทำงานด้วยนะ”

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วได้ยินเสียงของเธอที่ฟังดูอ่อนล้ากว่าตน ก็ตื่นเต็มตา “เธอทำอะไรอยู่ ป่านนี้เธอต้องไปทำงานแล้วไม่ใช่เหรอ”

 

 

“ฉันไม่ได้บ้าสักหน่อย ทำไมต้องตื่นเช้าขนาดนั้น…” เธอพูดๆ แล้วก็เงียบไป

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วเรียกเขาสองครั้งแต่ไม่มีเสียงตอบรับ ที่แท้ยายนี่หลับไปอีกรอบแล้ว

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วจัดการตัวเองเสร็จ ก็นึกถึงครั้งก่อนที่อันหร่านบอกว่าห้องทำงานของตนไม่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง จึงหยิบกล่องใบเล็กสองสามใบมาใส่ไม้อวบน้ำและรูปภาพอีกจำนวนหนึ่ง

 

 

เธอหยิบรูปภาพพื้นหลังบนตู้ทรงโบราณอย่างลังเล ถ้าเอารูปนี้ไปไว้ที่ห้องทำงาน ก็จะไม่ได้เห็นที่บ้านแล้วนะ สุดท้ายก็กัดฟันแล้วยัดมันเข้ากระเป๋า

 

 

เมื่อเธอไปถึงบริษัท อันหร่านก็ยืนรอตนอยู่หน้าประตูนานแล้ว

 

 

“เธอตื่นสายกว่าฉันแล้วทำไมถึงมาเช้ากว่าฉันได้ล่ะ” ซย่าเสี่ยวมั่วเดินขึ้นบันไดมา ยังหอบเล็กน้อย

 

 

อันหร่านเสยผมหน้าม้าของตน รู้สึกโดดเดี่ยว “เพราะว่าฉันอยู่บริษัทตลอดไงล่ะ”

 

 

“หืม? เธอต้องทำโอทีด้วยเหรอ” ซย่าเสี่ยวมั่ววางกล่องลงบนพื้น ก่อนจะเริ่มเม้าท์กับอันหร่าน

 

 

อันหร่านหน้าตึง ไม่ตอบคำถามที่สิ้นเปลืองเซลล์สมองในการขบคิด คิดอะไรได้ก็พูดออกมาทันที “เมื่อวานตอนประชุมเช้า บอสเห็นว่าเธอไม่อยู่ก็เลยถามฉันว่าทำไมเธอต้องเอาแต่หลบหน้าเขาด้วย ก็เลยเปลี่ยนวันตรวจตรามาเป็นวันนี้แทน”

 

 

“แล้วเธอตอบไปว่ายังไง” ซย่าเสี่ยวมั่วยืนพิงบานประตูแล้วถามเธออย่างกังวล

 

 

“ฉันบอกว่าฉันไม่รู้” อันหร่านตอบอย่างหงุดหงิด

 

 

พนักงานที่เดินผ่านไปมา มองสองสาวที่ยืนคุยกันพิงประตูห้องทำงานที่มีกำแพงยื่นออกมากั้นไว้ตรงกลางอย่างฉงนสงสัย นึกว่าพวกเธอไม่ได้เอากุญแจห้องมาทั้งคู่

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วสังเกตเห็นสายตาของคนรอบข้างก็ยืนตรงแล้วจัดกระโปรงตัวเอง ก่อนจะพูดกับ

 

 

อันหร่านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เราเข้าไปในห้องแล้วแชตเอาดีกว่า”

 

 

อันหร่านง่วงจนไม่รับรู้ถึงสิ่งรอบข้างแล้ว เมื่อได้ยินซย่าเสี่ยวมั่วพูดเช่นนี้ก็พยักหน้าก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าห้องทำงานไป

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วเดินกลับไปแล้ว ก่อนจะสางผมปิดบังความอับอายของตนลวกๆ ก้มตัวลงยกกล่องใบเล็กแล้วเดินเข้าห้องไป

 

 

น่าขายหน้าจริงๆ เธอเดินเข้าห้องปุ๊บก็กระโจนลงบนโซฟาทันที ก่อนจะหยิบของที่เอามาจากบ้านมาจัดวาง ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกว่าเอาของพวกนี้มาจัดวางแล้วก็ยังไร้ซึ่งความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองอยู่ดี กลับรู้สึกว่าบริษัทกำลังประหยัดเงินค่าตกแต่งห้องเสียมากกว่า

 

 

เธอจัดมุมซ้ายขวาของโซฟาไปประมาณหนึ่งแล้วก็หยิบกระเป๋าไปไว้ที่โต๊ะทำงาน แอบหยิบรูปจากในกระเป๋าออกมาวางไว้ตรงหน้าคอมพิวเตอร์ ด้านหน้ายังวางไม้อวบน้ำไว้อีกกระถางหนึ่ง บดบังรูปร่างของคนในรูปไปได้กว่าครึ่ง ปิดหูขโมยกระดิ่ง[1]ชัดๆ

 

 

 

 

——

 

 

[1] ปิดหูขโมยกระดิ่ง สำนวนจีน ขโมยกระดิ่งแต่กลัวว่าคนอื่นจะได้ยิน จึงเอามือปิดหูตัวเองไว้ แปลได้ว่า การหลอกลวงตัวเอง หาวิธีปิดบังเรื่องที่ปิดบังไม่ได้