ตอนที่ 688

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.688 – จ้าวคณะตกอยู่ในอันตราย

จู่ๆใบหน้าของเหล่าทหารก็เปลี่ยนไปพร้อมกัน

“พวกนั้นเจอตัวเรารึ?พวกมันมากี่คน…แล้วพวกมันอยู่ไกลแค่ไหน?”

จ้าวสามชักสีหน้าถาม

ซูม

แต่ตอนนั้นก็มีสิบคนยืนอยู่นอกกระโจม

“จ้าวสามเจ้านี่รสนิยมดีจริงๆนะ”

ซือหยูเหลือบมองกระโจมและกึ่งยิ้มกึ่งนิ่ง

“ไม่แปลกใจที่เจ้าอยู่ที่นี่ได้ครึ่งเดือนโดยไม่เบื่อ”

จ้าวสามกับคนของเขาอยู่ที่นี่มาครึ่งเดือนแล้ว

“เจ้ารู้ว่าพวกข้าซ่อนตัวมาโดยตลอดเลยรึ?”

จ้าวสามเบิกตากว้างขณะถามเหล่าขุนพลที่ยืนรอบๆเขาก็ตกใจไม่แพ้กัน

ซือหยูเข้ามานั่งในกระโจมอย่างเรียบเฉยโดยไม่ได้รับเชิญทหารทั้งเก้าที่ยืนด้านหลังเขาโค้งคำนับและเดินเข้ามาล้อมรอบซือหยู

“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่เจ้าอยากจะสังหารวิหคสองตัวด้วยก้อนศิลาเดียวโดยรอให้คนของข้ากับทัพทมิฬอ่อนล้าก่อนจะเข้าจู่โจมพวกข้า”

ดูเหมือนว่าซือหยูจะมองแผนของเขาออก

เมื่อเห็นท่าทางหยาบคายของซือหยูจ้าวสามโกรธขึ้นมาเล็กน้อย แต่เขาก็เหลือบไปเห็นทหารเก้าคนข้าหลังซือหยูและปลายธนูที่มีจุดสีขาว จ้าวสามเลือกที่จะปิดปากไม่พูดอะไร

“เจ้ามาถูกเวลาแล้วจ้าวหนึ่งมีสาสน์ถึงเจ้า จงฟัง…”

จ้าวสามหยิบเอาม้วนกระดาษออกมาเขาเปิดมัน

ซือหยูแทบจะไม่ขยับตัวและเริ่มหัวเราะ

“เอาเถอะอ่านดังๆให้ข้าฟังหน่อย!”

ซือหยูพูดราวกับออกคำสั่ง

จ้าวสามรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยลงไปทันทีราวกับเขาถูกลดระดับไปอยู่ในฐานะคนอ่านฎีกา เขาโกรธแค้นอย่างมาก แต่เขาก็ไม่กล้าทำให้ซือหยูโกรธ

ตอนนั้นเขารู้ว่ามันคงจะขายหน้าถ้าเขาอ่านมันด้วยตัวเอง แต่ถ้าเขาไม่อ่าน เขาก็จะฝ่าฝืนคำสั่งของจ้าวหนึ่ง เขาหยุดนิ่งและไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรดี

เมื่อคนของเขามองเห็นเขาจึงก้าวเข้ามาอย่างกระอักกระอ่วน

“ให้ข้าอ่านเองเถอะ…”

เขาพูด

ลั่วซวงตะโกนอย่างเยือกเย็นเมื่อคนของจ้าวสามเดินไปยังม้วนกระดาษ

“เจ้าเป็นใครถึงมาอ่านฎีกาให้ท่านซือหยู?”

คำพูดของลั่วซวงทำให้ขุนพลที่ก้าวเข้ามาตัวแข็งทื่อเขาเดินกลับไปยังที่เดิมด้วยความลังเล ลั่วซวงพูดได้ถูกต้อง แต่ที่เขากลัวยิ่งกว่าก็คือฐานพลังระดับภูติของลั่วซวง

จ้าวสามหนักใจยิ่งกว่าเดิมเขารู้สึกว่าทุกคนกำลังมองเขาแบบด้อยค่าลง

“ช่างเถอะข้าอ่านเองก็แล้วกัน”

ซือหยูคว้าม้วนกระดาษมาอ่าน

จ้าวสามอยากจะหยุดซือหยูแต่ก็ไม่กล้าขยับกล้ามเนื้อแม้สักมัดเพราะอย่างไร แม้แต่กองทัพทหารหมื่นคนของเขาก็มิอาจทำอะไรชายคนเดียวที่อยู่ตรงหน้าเขาผู้นี้ได้

ซือหยูเปิดม้วนกระดาษอ่านเขาเหลือบมองก่อนจะฉีกยิ้มที่มุมปาก เขาหัวเราะชอบใจ

“ตำแหน่งเจ็ดจ้าวรึ?”

พรึ่บ

เพลิงลุกในมือของเขามันเผาม้วนกระดาษไหม้เป็นจุณ

“ถ้านี่เป็นเหตุที่เจ้ามาก็จงกลับไปได้แล้วเจ้ามีเวลาครึ่งชั่วยาม ถ้าหมดเวลาแล้วยังอยู่ที่นี่ เจ้าจะถือว่าเป็นผู้บุกรุก”

ซือหยูยืนขึ้นช้าๆ

เขาไม่สนใจข้อเสนอตำแหน่งเจ็ดจ้าวเลยเขาคิดในใจ…

ถ้าข้าไม่ชนะสงครามนี้อาณาจักรทมิฬจะให้ตำแหน่งกับข้ารึ?

แต่พอข้าชนะได้สำเร็จแล้วกำลังจะรวบรวมทวีปเหนือจู่ๆอาณาจักรทมิฬก็๋อยากจะให้ข้าไปเป็นหนึ่งในเจ็ดจ้าว จากนั้นชัยชนะครั้งใหญ่นี้ก็จะเป็นของอาณาจักรทมิฬแทนที่จะเป็นของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์!

ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ซือหยูชิงชังที่สุดก็คือสิ่งที่เขาเคยถูกกระทำเมื่ออยู่ในอาณาจักรทมิฬ เขาหาเหตุผลกลับไปอาณาจักรทมิฬไม่ได้อีกแล้ว

“นี่เป็นโอกาสได้รับใช้อาณาจักรทมิฬเจ้าแน่ใจรึที่จะไม่พิจารณาให้ดี?”

จ้าวสามถามเสียงดังด้วยความตกใจ

เพราะเขาคิดไม่ออกเลยว่าจะมีคนที่ไม่อยากเป็นหนึ่งในเจ็ดจ้าว!ม้วนกระดาษยังเขียนอีกด้วยว่าเขามีโอกาสที่จะได้เป็นราชาแห่งความมืด! นี่เป็นสิทธิ์ที่แม้แต่จ้าวสามก็มิอาจมีได้ แต่ซือหยูกลับปฏิเสธมันต่อหน้าต่อตา!

“แค่นามมิได้มีความสำคัญต่อข้า เจ้าอยู่ในดินแดนข้ามานานพอแล้ว จงออกไปในครึ่งชั่วยาม”

ซือหยูตอบและหันหลังให้จ้าวสามพร้อมกับบินออกไป

จ้าวสามกำหมัดแน่นแม้ว่าเขาจะไม่พอใจในสิ่งที่ซือหยูเพิ่งจะพูด แต่เขาก็รู้แล้วว่าเขาไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างซือหยูจริงๆ ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เงียบปาก เขาหันไปตะโกนกับกองทัพ

“กลับอาณาจักรทมิฬ!”

สามวันต่อมาผู้คนได้มารวมกันที่เมือง คนเหล่านี้มิได้มีเพียงคนของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์แต่ยังมีสำนักน้อยใหญ่ที่กระหายอยากจะเข้าร่วมกับซือหยู มีเหล่าทหารจับจ้างที่พ่ายแพ้อยู่ด้วย

ในครั้งนี้พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ไม่ต่างจากจันทรากระจ่างท่ามกลางท้องนภามืดมิด พันธมิตรได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ปกป้องทวีป

ดังนั้นจึงมีคนที่มีคุณธรรมในทวีปอยากจะอยู่ข้างเดียวกับพันธมิตรผู้คุมสวรรค์จำนวนคนในพันธมิตรเพิ่มขึ้นไปทุกวัน

เพียงไม่กี่วันก็มีอย่างน้อยหมื่นคนที่เข้าร่วมกำลังพันธมิตรผู้คุมสวรรค์พลังของพันธมิตรยิ่งใหญ่จนเกือบจะตามทันอาณาจักรทมิฬ!

“การกอบกู้เกียรติยศในอดีตของพวกเราจะเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้!”

ซือหยูตะโกนเสียงดังเมื่อยืนต่อหน้าคนนับหมื่น

“ผู้เฒ่าเฉินนำทัพใหญ่ไปที่หอสดับหิมะ! เจ้าตำหนักฉีนำทัพใหญ่ไปยังพันธมิตรร้อยดินแดน ส่วนคนที่เหลือให้คุ้มกันเมืองอยู่ที่นี่ ข้าจะแบ่งคนไปคณะวิหคเพลิงกับข้า…”

ซือหยูตะโกน

หลังจากได้รับคำสั่งคนสามกลุ่มใหญ่ได้มุ่งหน้าไปยังดินแดนหลังจากทวีปเหนืออย่างยิ่งใหญ่ ส่วนซือหยูก็นำทัพใหญ่ไปยังทางเหนือ

ตลอดทางพวกเขาผ่านเขตหยินหยู ที่นี่ดูรกร้าง

แต่น่าแปลกที่คนอยู่หลายคนที่นี่หลังจากการต่อสู้อันดุเดือด ด้วยการปกป้องของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ เหล่าผู้คนได้หวนกลับมายังบ้านเกิดของตน

ซือหยูเหลือบมองตำหนักหยินหยูมีหลายคนจากเขตหยินหยูกำลังสร้างตำหนักขึ้นมาใหม่

นี่คือสถานที่แห่งเกียรติยศที่สำคัญต่อคนเขตหยินหยูนั่นก็เพราะว่าครั้งหนึ่ง เจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ได้เป็นผู้ปกครองเขตหยินหยู นับได้ว่าที่นี่คือต้นกำเนิดของเขา

จู่ๆซือหยูก็มองเห็นชายแก่คนหนึ่งขณะที่เร่งรีบ

“ฟางไห่เซิงรึ?”

เขาพูดด้วยความแปลกใจเมื่อจ้องมองไปยังที่ตรงนั้นแต่แปลกมากที่เขามองไม่เห็นใครอีกเลย!

แต่เนตรวิญญาณนั้นยืนยันว่ามันมิใช่ภาพลวงตาเขาเห็นว่าฟางไห่เซิงกำลังถือไม้เท้ายิ้มมองซือหยูอยู่

ซือหยูสับสนอย่างหนักเขารู้สึกมาโดยตลอดว่าฟางไห่เซิงมิใช่คนธรรมดา และเรื่องอันน่าฉงนก็เพิ่งจะเกิดขึ้นตรงหน้า ซือหยูไม่เข้าใจเลย

“ข้าจะมาถามท่านทีหลัง…”

ซือหยูพูดเบาๆกับตัวเองเขาส่ายหน้าและนำทัพไปต่อ

แต่ซือหยูไม่รู้เลยว่าในทุ่งหญ้าร้างนอกเขตหยินหยูฟางไห่เซิงกำลังยิ้มพลางลูบเครา เขาหันกลับและก้าวไปหนึ่งครั้ง

แต่ก้าวเดียวของเขาก็พาตัวเขาไปยังลี้ที่มิอาจนับได้เขาหายตัวไปเฉยๆ การเคลื่อนไหวเช่นนี้เหนือยิ่งกว่าวิชาเลี่ยงสายฟ้าของซือหยู

ผ่านไปครึ่งวันซือหยูมาถึงคณะวิหคเพลิงแล้ว เขายืนมือไพล่หลังกับหน่วยกวาดล้างที่ตามมาติดๆ

แทนที่จะจู่โจมเองพวกเขานำคนอื่นของพันธมิตรไปจัดการแทน ที่นี่เคยเป็นฐานที่มั่นของหกศักดิ์สิทธิ์ มีทหารอยู่จำนวนมากที่แข็งแกร่ง

แต่มันก็เป็นอดีตไปแล้วพันธมิตรผู้คุมสวรรค์โฉมใหม่นั้นเต็มไปด้วยกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวงและพวกที่มีแก้วสองดวงอีกนับไม่ถ้วน ทัพต่างโลกที่เคยแข็งแกร่งมิอาจรับกระบวนท่าเดียวของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ในวันนี้ เพียงครึ่งชั่วยาม กำลังหลายร้อยจากต่างโลกก็ถูกจับเป็นเชลยหรือถูกฆ่าตายหมด

“ท่านเจ้าพันธมิตรมันจบแล้ว ข้าจะนำทัพไปล่าคนที่หนีและยึดฐานศัตรูอื่นๆอีก”

หนึ่งในขุนพลรายงานสถานการณ์ต่อซือหยู

ซือหยูพยักหน้า

“จงไปทำให้แน่ใจว่าพวกมันจะถูกกำจัดทุกคน”

การเหลือแม้แต่คนเดียวของทัพต่างโลกนั่นหมายถึงการเปิดประตูแห่งปัญหาในภายภาคหน้ามีบางคนอยู่เก็บกวาดสนามรบขณะที่ทัพใหญ่สลายตัวออกไป

“ท่านเจ้าพันธมิตรพวกมันตายไปร้อยคนในครั้งนี้ เราจับมันมาได้สองร้อยคน เราได้ของพวกนี้มา…”

คนที่มารายงานกับซือหยูตั้งใจจะพูดต่อแต่ก็ถูกซือหยูพูดแทรก

“เจ้าเอาไปให้หน่วยกวาดล้างตอนนี้ คนของคณะวิหคเพลิงเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ท่านเจ้าพันธมิตรคนเหล่านั้นถูกจับในคุกใต้ดิน นอกจากคนที่ตายจากการโจมตีของต่างโลกครั้งแรกก็ไม่มีใครถูกสังหารเลย แต่ตามที่ข้าเห็น แม้จะไม่มีใครถูกสังหาร พวกนั้นก็ถูกจับไว้เป็นตัวประกัน มีอยู่หลายคนที่เลือกฆ่าตัวตาย…”

เขารายงานกับซือหยู

แววตาซือหยูเยือกเย็นลง

“พาข้าไป”

ไม่นานซือหยูมาถึงส่วนลึกสุดของคุกใต้ดิน เขาเป็นแววตาสิ้นหวังของหญิงสาวที่ถูกขืนใจขณะอยู่ที่นี่

หลายคนไม่มีเสื้อผ้าห่มกายเขามองเห็นรอยแผลบนร่างที่เกิดจากพวกต่างโลก เมื่อเหล่าหญิงสาวเห็นพวกซือหยู พวกนางหันกลับมองเขาด้วยความหวาดกลัวและเกลียดชัง

ซือหยูมองรอบๆเขาเจ็บแปลบในใจ เคยมีสตรีคนหนึ่งจากคณะวิหคเพลิงที่สละความบริสุทธิ์ของนางเพื่อช่วยชีวิตเขา สำหรับซือหยู แค่สิ่งนั้นก็เป็นหนี้บุญคุณครั้งใหญ่แล้ว

เขาเดินผ่านคุกมืดเขาหนักใจยิ่งขึ้นเรื่อยๆถ้านางถูกทำแบบหญิงสาวคนอื่น…ซือหยูมิอาจคิดได้เลย…

สุดท้ายเขาเดินมาถึงคุกสุดท้าย เทียบกับคุกอื่น คุกที่นี่มีแสงสว่างมากกว่า การตกแต่งภายในเทียบได้กับสิ่งปลูกสร้างด้านนอก

ในห้องขังมีหญิงสาวที่แต่งกายอย่างดีนางดูสง่างามและบริสุทธิ์

“เฟิงเซี่ยน?”

ซือหยูจำนางได้ทันที

นางเป็นคนที่ทรยศคณะวิหคเพลิงนางทำให้พันธมิตรร้อยดินแดนกับหอสดับหิมะยึดครองคณะวิหคเพลิงได้สำเร็จ

จากนั้นนางได้เข้าใจผิดว่าซือหยูคือนายน้อยตระกูลยี่และได้มอบกายให้กับเขา เมื่อพบความจริง นางเริ่มตระหนักรู้ตัวและกลับมายังคณะวิหคเพลิงเพื่อแก้ไขอดีตที่ทำลงไป นางมีความงดงามเป็นอย่างยิ่งในสายตาทัพต่างโลก ไม่มีสตรีคนใดเทียบเคียงนางได้

“เสียใจที่ไม่ได้ฆ่าข้างั้นรึ?”

เฟิงเซี่ยนเงยหน้าถามด้วยความโศกเศร้า

ซือหยูใช้ปลายนิ้วแตะแท่นเหล็กและปลดกลอนที่ปิดกรงขังเขาเดินเข้าไป

ซูม

ก่อนที่เขาจะได้เข้าใกล้เฟิงเซี่ยนเงยหน้าและจ้วงมีดลับใส่เขาทันที ระยะใกล้เช่นนี้คงจะทำให้ทุกคนตกใจและไม่มีใครตอบสนองได้ทัน

ซือหยูยื่นมือที่ไพล่หลังและใช้ดัชนีทั้งสองคีบมีดเขาพลิกข้อมือจนทำให้เฟิงเซี่ยนล้มลงมาที่เขา

ซือหยูใช้มืออีกข้างจับข้อมือของนางเอาไว้เฟิงเซี่ยนที่รู้ตัวว่าการจู่โจมล้มเหลวยิ่งมุ่งมั่นกว่าเดิม

“ถ้าอยากจะฆ่าข้าก็เอาเลยแต่อย่าคิดว่าจะได้ทำอะไรกับร่างกายข้า!”

“นี่ข้าเอง”

ซือหยูพูดเบาๆ

เฟิงเซี่ยนผู้โศกเศร้าตกตะลึงและเงยหน้าขึ้นมองนางเบิกตากว้าง นางมิอาจเชื่อในสิ่งที่ได้เห็น

“ราชาปีศาจหิมะทมิฬ!ถึงเจ้าจะเปลี่ยนไป แต่เจ้าก็คือราชาปีศาจหิมะทมิฬ…หรือควรเรียกเจ้าว่าซือหยู!”

ซือหยูลดน้ำหนักที่จับข้อมือนางและพยักหน้า

“ข้าเองเจ้าอยู่ที่นี่คนเดียวรึ?”

หลังจากที่เฟิงเซี่ยนใจเย็นลงนางหน้าแดงระเรื่อ มิเพียงแต่ทั้งคู่ยังเคยร่วมเตียงกัน แต่ข้อมือทั้งสองข้างของนางในตอนนี้ถูกซือหยูจับเอาไว้จนทำให้ตัวของนางพิงอยู่กับซือหยู ใบหน้าของซือหยูใกล้กับนางมาก

“เจ้า…เจ้าควรจะปล่อยข้าได้แล้ว…”

เฟิงเซี่ยนพูดขณะที่หน้าแดง

ซือหยูปล่อยนางและก้าวไปข้างหลังเขามองดูนางในความเงียบ

หลังจากผ่านไปสามปีนางมิได้เป็นสตรีผู้หยาบคายดั่งในอดีตอีกแล้ว ใบหน้างดงามของนางในตอนนี้มีความสงบสุขอยู่ด้วย

ตลอดหลายปีที่ผ่านมานางสำนึกในความผิดของตัวเองจนถึงที่สุด นางจึงได้รังสีพลังอันบริสุทธิ์กลับมาด้วย

“ข้าอยู่ที่นี่คนเดียวท่านจ้าวคณะกับพี่น้องอีกหกคนถูกพวกตระกูลยี่พาตัวไปก้นบึ้งมังกรเพื่อมอบให้กับห้าศักดิ์สิทธิ์…”

เฟิงเซี่ยนเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น