ตอนที่ 689

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.689 – กลับสํานักหลิวเซี่ยน

 

เฟิงเซี่ยนตัวสั่นเมื่อเห็นว่าทุกคนตรงหน้านางต่างปล่อยพลังมหาศาลออกมา

 

“เหตุใดพวกนั้นไม่เอาตัวเจ้าไปด้วยเล่า?”

 

ซือหยูถามนางขณะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

 

เฟิงเซี่ยนเงียบไปนางก้มหน้าด้วยความเศร้าหมอง

 

“ห้าศักดิ์สิทธิ์บ่มเพาะวิชาชั่วร้ายเขาต้องการธาตุหยินของสตรี คนที่เอาไปมิใช่แค่งดงามเท่านั้น แต่ทุกคนยังบริสุทธิ์ ส่วนท่านจ้าวคณะ แม้เจ้าจะพรากความบริสุทธิ์ของนางไปแล้ว แต่ส่วนพลังหยินของนางก็ยังเหลืออยู่ นางจึงถูกพาตัวไป ส่วนข้าต้องอยู่ที่นี่เพราะไม่มีธาตุหยินเหลืออยู่แล้ว”

 

ธาตุหยินของนางถูกซือหยูพรากเอาไปสีหน้าของเขาดูแปลกไปเมื่อได้ฟังนาง เขาเจ็บแปลบในใจเมื่อคิดว่าจ้าวคณะวิหคเพลิงกำลังตกอยู่ในอันตรายแบบไหนอยู่ เขาหนักใจอย่างมากเมื่อคิดว่านางถูกมองเป็นเพียงวัตถุที่มีธาตุหยินอยู่ในตัว

 

“พวกนั้นไปนานเท่าไหร่แล้ว?”

 

ซือหยูกระวนกระวาย

 

เฟิงเซี่ยนตอบ

 

“หกวันแล้วล่ะพวกนางไม่สู้ดีเลย”

 

หกวันก่อนเป็นวันที่สงครามครั้งใหญ่จบลงสมเหตุสมผลที่พวกต่างโลกจะหนีในตอนนั้น ซือหยูถอนหายใจยาวเมื่อได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้น

 

คนตำหนักเจ็ดจ้าวไปยังก้นบึ้งมังกรก่อนที่สงครามใหญ่ครั้งก่อนจะเริ่มขึ้นในตอนนั้นเก้าศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นผู้นำตระกูลยี่คงจะทำไปเพื่อเอาใจห้าศักดิ์สิทธิ์ แต่มันก็สายไปแล้ว ด้วยพลังของเขา เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไปถึงก้นบึ้งมังกรแม้จะพยายามบุกหรือลอบเข้าไป

 

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจ้าวคณะวิหคเพลิงจะปลอดภัยจริงๆเพราะถ้าเก้าศักดิ์สิทธิ์ถูกเจอตัว เขาก็อาจจะฆ่าพวกนางเพื่อให้หนีรอดได้ง่ายขึ้น

 

ดังนั้นซือหยูจึงรู้ตัวว่าเขาต้องรีบไปที่ก้นบึ้งมังกรและตามหาจ้าวคณะวิหคเพลิงเขาจะปล่อยให้นางตกอยู่ในอันตรายไม่ได้!

 

“ข้ายังต้องไปก้นบึ้งมังกรอีกสินะ…”

 

เขาถอนหายใจเมื่อกลับมาได้สติ เขาก้าวออกไปขณะที่พูด

 

“ลั่วซวงข้าขอฝากพวกนางไว้กับเจ้า ช่วยพวกนางและพาไปสถานที่ปลอดภัย อย่าชักช้า! ทำทุกอย่างในครึ่งชั่วยาม”

 

“ขอรับนายท่าน”

 

หลังจากได้รับคำสั่งลั่วซวงรีบไปกระจายกำลังหน่วยกวาดล้างและเริ่มปล่อยเหล่าหญิงสาวที่ถูกขัง

 

“ทุกคนอย่าแตกตื่นทัพต่างโลกถูกกำจัดไปแล้ว พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ของพวกเราจะปล่อยพวกเจ้าเป็นอิสระ”

 

เมื่อหน่วยกวาดล้างเริ่มเปิดกรงขังเหล่าหญิงสาวข้างในเริ่มแตกตื่น พวกนางอธิบายเรื่องราวกับพวกเขา

 

เฟิงเซี่ยนมองแผ่นหลังของซือหยูที่กำลังหายไปด้วยแววตาที่น่ารักของนางก่อนจะมองลั่วซวง

 

“ผู้อาวุโสท่านบอกเรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอกกับข้าจะได้หรือไม่? แล้วซือหยูกับสำนักของเขาเกี่ยวข้องกับพันธมิตรผู้คุมสวรรค์อย่างไร?”

 

เมื่อได้ยินคำถามลั่วซวงขมวดคิ้วเบาๆ มีแค่ไม่กี่คนในโลกนี้เท่านั้นที่กล้าเรียกซือหยูด้วยนามของเขาตรงๆ แต่ดูเหมือนว่านางจะเป็นสหายเก่าของเขา ลั่วซวงจึงไม่กล้าจะต่อว่านาง

 

เขายิ้มบางๆและตอบ

 

“แม่นางสงครามทวีปเฉินหลงเกือบจะจบลงแล้ว พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ที่นำโดยเจ้าพันธมิตรซือได้ทำลายทัพหลักของพวกมัน ตอนนี้เรากำลังกอบกู้ดินแดนกลับคืนมา”

เขาถามต่อ

 

“ส่วนท่านเจ้าพันธมิตรซือข้ายังต้องอธิบายอีกหรือไม่?”

 

เฟิงเซี่ยนราวกับถูกสายฟ้าฟาดใส่เมื่อได้ฟังเรื่องราวนางตกตะลึงถึงขีดสุด

 

“เจ้าจะบอกว่าทัพใหญ่ของพวกมันพ่ายแพ้แล้วรึ?”

 

ลั่วซวงเพียงแค่ยิ้มและไม่ตอบอะไรเพราะมันมิใช่แค่การพ่ายแพ้ แต่ทัพทมิฬที่น่ากลัวนั้นได้ถูกกวาดล้างไปเกือบหมดเพราะซือหยู! และพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ในตอนนั้นยังแตกต่างกับในอดีตโดยสิ้นเชิง การพูดว่า ‘เจ้าพันธมิตรซือ’ ก็เป็นคำพูดอันหนักอึ้งในทวีปแห่งนี้แล้ว

 

และตามที่ลั่วซวงได้ยินมาความเลื่อมใสในตัวเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ได้แพร่กระจายไปยังทั่วทั้งทวีป

 

“แม่นางหากไม่เป็นอะไร แม่นางควรจะไปจากที่นี่ และข้าขอแนะนำให้ท่านไม่เรียกท่านเจ้าพันธมิตรซือด้วยนามโดยตรง แม้ท่านจะไม่ถือสา แต่มันก็อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นกับคนอื่น…”

 

ลั่วซวงแนะนำนางและกลับไปรายงานซือหยู

 

ทุกอย่างเสร็จสิ้นในครึ่งชั่วยามเฟิงเซี่ยนอยู่ในคณะวิหคเพลิงและมองซากศพของทหารทัพต่างโลก นางหันไปมองแผ่นหลังของซือหยู ยอดฝีมือนับไม่ถ้วนที่ฐานพลังสูงส่งจนนางหยั่งไม่ถึงทำให้นางรู้สึกว่านางได้อยู่ในโลกแห่งอนาคตที่ทุกสิ่งเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว

 

“เฟิงเซี่ยนข้าจะให้พวกเชลยกับเจ้า ตั้งแต่นี้ไป เจ้าจะต้องดูแลคณะวิหคเพลิง ทำให้ดีที่สุดล่ะ”

 

ซือหยูไม่สนใจดินแดนของคณะวิหคเพลิงเพราะการช่วงชิงอำนาจนั้นไร้ความหมายกับเขา

 

นางมองเชลยที่เหลืออยู่ห้าสิบคนด้วยความเกลียดชังหญิงสาวหลายคนที่ถูกปล่อยเป็นอิสระดูจะบ้าคลั่งขึ้นมา ในแววตาของพวกนางมีความชิงชังที่หยั่งรากลึก ราวกับพวกนางอยากจะดื่มโลหิตของพวกมัน!

 

คนของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ตัวสั่นเมื่อเห็นหญิงสาวเหล่านี้พวกเขาเริ่มสงสารเหล่าเชลยเมื่อรู้สึกว่าชะตาของเชลยเหล่านี้น่าจะโหดร้ายเสียยิ่งกว่าความตาย

 

“ไปกันเถอะ”

 

ซือหยูโบกมือพากำลังออกไป

 

แต่ตอนนั้นเฟิงเซี่ยนบินมาหาเขา กลิ่นอันหอมหวานของนางแล่นสู่จมูก

 

“ซือ…ข้าหมายถึงท่านเจ้าพันธมิตรซือ โปรดรอสักเดี๋ยว”

 

เฟิงเซี่ยนหน้าแดงนางมิอาจหายใจได้ถนัดเมื่อเผชิญหน้ากับซือหยูในตอนนี้ เขาเป็นผู้ซึ่งมีทั้งพลังและอำนาจ

 

และเขายังเป็นชายคนแรกและคนเดียวของนางนางจึงเขินอายเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าเขา

 

“มีอะไรรึ?”

 

เขาถามด้วยความกังวลใจ…

 

นางจะเผยความสัมพันธ์ระหว่างเขาต่อหน้าคนมากมายอย่างนี้…งั้นรึ?

 

“ท่านเจ้าพันธมิตรซือคณะวิหคเพลิงหวังจะได้ความคุ้มครองจากพันธมิตรผู้คุมสวรรค์”

เมื่อเฟิงเซี่ยนพูดนางได้กล่าวถึงเรื่องอื่น

 

ซือหยูขมวดคิ้วเขาไม่มีความทะเยอทะยานที่จะขยายอาณาเขตอำนาจของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์

 

“ทัพต่างโลกได้ออกไปหมดแล้วไม่มีภัยอันตรายใดอยู่อีก เจ้าต้องการอะไรรึ?”

เฟิงเซี่ยนตอบอย่างจริงจัง

 

“แม้การรุกรานจากต่างโลกจะจบไปแล้วคณะวิหคเพลิงก็เสียหายอย่างหนัก อำนาจของพวกเราด้อยกว่าแต่ก่อนมากนัก ข้าเชื่อว่าจะมีแทบทุกสำนักที่ต้องการจะขยายอาณาเขตและต่อสู้กันเอง”

 

นางพูดต่อ

 

“สำนักขนาดกลางคงไม่พลาดโอกาสนี้แน่พวกเขาจะต้องหาทางชิงดินแดนของสำนักใหญ่ สำนักเล็กเองก็จะต้องจู่โจมสำนักขนาดกลางที่สูญเสียกำลังไปมาก จะมีการต่อสู้ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังที่เลี่ยงไม่ได้อีก คณะวิหคเพลิงหวังจะเข้าร่วมกับพันธมิตรผู้คุมสวรรค์เพื่อให้ได้รับความคุ้มครอง”

 

นางพูดอย่างมีเหตุผลดูเหมือนนางจะคิดอ่านได้อย่างชัดเจน หลังจากสงครามใหญ่ ผู้ปกครองจากหลายที่ต้องการที่จะตั้งตัวใหม่อีกครั้ง

 

“ย่อมได้”

 

ซือหยูครุ่นคิดก่อนจะตอบตกลง

 

“ส่งคำสั่งออกไปให้สำนักทุกสำนักในทวีปเหนืออยู่ในการปกครองของเรา”

 

อะไรนะ?คำพูดของเขาทำให้ทุกคนในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ตกตะลึง นั่นหมายความว่าซือหยูอยากจะรวบรวมทวีปเหนือทั้งทวีป พวกเขาสงสัยว่านี่เป็นความทะเยอทะยานที่ซือหยูซ่อนเอาไว้ตลอดมาหรือไม่

 

“ทวีปเสียหายเพราะทัพต่างโลกเข้ารุกรานตลอดสามปีเราจะปล่อยให้มีการต่อสู้กันเองอีกไม่ได้ พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ต้องปกครองสำนักทั้งหมด ใครที่กล้าต่อกรและต่อสู้กันเองจะต้องถูกลงโทษ…”

 

ซือหยูพูด

 

ทุกคนเข้าใจแล้วว่าทำไมซือหยูถึงตัดสินใจเช่นนั้นเมื่อได้รับคำอธิบายเพราะทวีปเฉินหลงเสียหายอย่างหนักและทนแบกรับความสูญเสียไม่ได้อีกแล้ว พวกเขารู้สึกว่าหลังจากที่รวบรวมทวีปเหนือ ต่อไปจะเป็นตะวันตก ตะวันออก และทางใต้ พวกเขาจะรวบรวมมันเป็นปึกแผ่นภายใต้พันธมิตรผู้คุมสวรรค์

 

ถ้าทำเช่นนี้พันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะรวบรวมทั้งทวีปเป็นผืนเดียวกัน! เพียงแค่คิดก็ทำให้สมาชิกพันธมิตรในขณะนี้มั่นใจอย่างมากและดูถูกแม้กระทั่งอาณาจักรทมิฬ

 

“กองทัพควรจะอยู่ที่คณะวิหคเพลิงและจัดการสำนักย่อยๆแต่พวกเจ้าห้ามสังหารใครทั้งนั้น ส่วนหน่วยกวาดล้างจะมากับข้า”

 

ซือหยูสั่งการออกไปเขาทิ้งกองทัพเอาไว้เพื่อปกป้องคณะวิหคเพลิง

 

“ลาท่านเจ้าพันธมิตร”

 

ทัพทหารกล่าวลาซือหยูด้วยความนับถือเมื่อเขานำหน่วยกวาดล้างออกไป

 

เฟิงเซี่ยนจ้องมองซือหยูด้วยสายตาว่างเปล่าความรู้สึกประหลาดฉาบแววตาสดใสนั้น ซือหยูในตอนนี้มีอำนาจอันยิ่งใหญ่ เขากลายเป็นแม่ทัพของวีรบุรุษมากมาย เขามิใช่เด็กหนุ่มที่บุกเข้ามาในคณะวิหคเพลิงอย่างบ้าบิ่นเพียงเพื่อสตรีคนเดียวอีกแล้ว

 

นางคิดย้อนกลับไปในค่ำคืนที่ใช้เวลาร่วมกับเขาความโศกเศร้าครั้งนั้นได้จางหายไปราวกับหมอกควันแทนที่ด้วยความภาคภูมิใจ แม้นางจะไม่ได้มีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับเขา นางก็จะเก็บความทรงจำนี้ไว้ในหัวใจ

 

ผ่านไปหลายชั่วยามซือหยูเดินทางมาเกินพันลี้จนถึงพันธมิตรร้อยดินแดน เขามองผ่านเมืองด้วยเนตรวิญญาณและพบว่ามันเต็มไปด้วยคนของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ ทุกคนได้ไล่ฆ่าทัพต่างโลกที่ยังเหลืออยู่จนสิ้นซาก ดูเหมือนว่าเจ้าตำหนักฉีจะยึดพันธมิตรร้อยดินแดนกลับคืนมาได้แล้ว

 

“ท่านเจ้าพันธมิตรเราควรไปเรียกพวกนั้นมาพบท่านหรือไม่?”

 

ลั่วซวงถาม

 

ซือหยูส่ายหน้า

 

“ไม่ต้องหรอกตอนนี้จะเป็นธุระส่วนตัวของข้า ไม่จำเป็นต้องให้ใครรู้”

 

ผ่านไปนานซือหยูถอนหายใจเมื่อยืนอยู่นอกสำนักหลิวเซี่ยน ที่นี่คือจุดเริ่มต้นการผจญภัยในเฉินหลงของเขา

 

สำนักนี้มีศัตรูของเขาอยู่มากมายแต่ก็มีอีกหลายคนที่เคยช่วยเหลือเขาอย่างผู้เฒ่าหน้าตาอัปลักษณ์ที่มีหัวใจอบอุ่น สตรีผู้เย็นชาซึ่งมีจิตใจดี และองค์หญิงหยุนหยานที่เขาติดหนี้อยู่มากนัก แต่ครั้งนี้ อดีตได้จางหายราวกับหมอกควันที่ถูกพัดพาไปตามกาลเวลา

 

เมื่อซือหยูเข้าไปที่สำนักเขาพบว่ามันมิได้เจริญรุ่งเรืองดั่งในอดีต มีคนอยู่ที่นี่น้อยมาก ทั้งตำหนักและโถงต่างๆดูแทบจะว่างเปล่าและไม่มีเสียงรบกวนดั่งแต่ก่อน

 

“ที่นี่ยังคงเดิม…แต่ผู้คนเปลี่ยนไปจนข้าจำไม่ได้…”

 

ซือหยูยืนมือไพล่หลังอยู่หน้าสำนัก

 

แคร้ง!

 

เสียงคนต่อสู้กันดังขึ้นเขาค่อนข้างสับสน…

 

มีคนบุกเข้ามาที่สำนักหลิวเซี่ยนรึ?

 

เขารีบเดินตามเสียงไปไม่นานก็พบกับลานฝึกใหญ่ที่เต็มไปด้วยหนุ่มสาวที่กำลังแข่งขันกัน

 

เขาเห็นบางคนที่คุ้นหน้าแต่บางคนก็เป็นหน้าใหม่ เขาไม่เห็นเจ้าสำนักหลิวเซี่ยน เขากลับเป็นศิษย์อย่างฉีหงซื่อนั่งอยู่ในที่นั่งเจ้าสำนัก เขาน่าจะเป็นเจ้าสำนักคนใหม่

 

จางยู่เฟยผู้ที่เป็นหนึ่งในยอดฝีมือทั้งสิบของสำนักยืนอยู่ที่ด้านซ้ายสี่ปีที่ผ่านมา นางได้กลายเป็นผู้เฒ่าที่อายุน้อยที่สุดของสำนัก กาลเวลาที่ผ่านพ้นมิได้เปลี่ยนใบหน้างดงามของนางแม้แต่น้อย นางยังคงสง่างามน่าจดจำเหมือนอย่างเคย

 

ซือหยูเห็นคนอื่นอีกมากแม้ว่าเขาจะไม่รู้ชื่อ คนเหล่านี้ก็เคยเป็นศิษย์ร่วมสำนัก และเขาก็ตกใจกับความเปลี่ยนแปลงนี้มาก

 

“ไม่ต้องทดสอบขั้นต่อไปแล้วสินะ?”

 

หลังจากการต่อสู้จบลงจางยู่เฟยมองเด็กชายวัยหกขวบอย่างหมดหวัง เขาเป็นเด็กที่อายุน้อยที่สุดของที่นี่

 

ฉีหงซื่ออายุเกินสามสิบปีไปแล้วเขาได้เติบโตขึ้นอย่างมั่นคง

 

“ทดสอบเขาต่อไปเถอะหลังสงครามจบ ตระกูลที่เราควบคุมดูแลล้วนถูกกำจัดไม่ก็เข้าซ่อนตัวอยู่ จำนวนศิษย์ของเราเหลือน้อยเต็มทีแล้ว”

 

เขาพูดต่อ

 

“เด็กคนนี้เป็นอัจฉริยะจากเกาะเฉินยี่ว่ากันว่าเขาเกิดมามีพลังระดับสาม แม้จะอายุน้อยแต่ก็บ่มเพาะจนมีพลังขั้นหกแล้ว ถ้าเขาได้เป็นราชันย์ในสี่ปี เขาจะนับว่าเป็นศิษย์อีกคนที่ยอดเยี่ยมในสำนักเรา”

 

จางยู่เฟยยิ้มอย่างขมขื่นเมื่อฟังเขาสำนักหลิวเซี่ยนในตอนนี้ถูกบังคับให้หาศิษย์ที่มีพรสวรรค์แม้แต่ในดินแดนที่รกร้างอย่างเกาะเฉินยี่ และเด็กชายตรงหน้าพวกนางก็มาจากเกาะเฉินยี่

 

เมื่อคิดถึงเกาะเฉินยี่นางหยุดคิดถึงเด็กหนุ่มผมสีเงินผู้หนึ่งไม่ได้ เด็กหนุ่มคนนั้นได้กลายเป็นเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์และกลายเป็นบุคคลในตำนาน และพวกนางเพิ่งจะได้ข่าวที่สั่นคลอนไปทั้งทวีป ข่าวนั่นคือเรื่องที่ซือหยูหวาดล้างทัพใหญ่จากต่างโลกและช่วยทวีปเหนือเอาไว้ และคนของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ในตอนนี้ที่อยู่ใต้การนำของเขากำลังไล่ล่าชาวต่างโลกที่เหลือ!