ตอนที่ 690

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.690 – ทายาทสหายเก่า

 

สถานะของซือหยูในตอนนี้ทำให้จางยู่เฟยลืมหายใจเมื่อคิดถึงเขาจางยู่เฟยกับฉีหงซื่อเชื่อว่าพวกนางคงงจะไม่มีแม้กระทั่งสิทธิ์ที่จะได้พูดคุยกับคนที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้

 

พวกนางคงจะถูกหัวเราะเยาะหากไปบอกผู้คนว่าพวกนางคือสหายของซือหยูจางยู่เฟยตัดสินใจปล่อยอดีตให้ผ่านไปเมื่อคิดเช่นนี้ เขาปล่อยให้เด็กชายทดสอบต่อไป

 

เมื่อการทดสอบเริ่มขึ้นเด็กชายหกขวบดูเยือกเย็นและหนักแน่น ดวงตาของเขาเปล่งประกาย ท่าทางของเขาดูมั่นใจและเฉลียวฉลาดเกินอายุ เด็กชายยืนแยกตัวจากเหล่าผู้คน

 

ท่าทางสง่างามที่เขาแสดงออกมานั้นมาจากคนในวังเขาดูไม่เหมือนกับสามัญชนแม้แต่น้อย

 

“เข้ามา…”

 

เด็กชายหกขวบพูดอย่างเยือกเย็น

 

ชายหนุ่มผู้เป็นศัตรูของเขานั้นอายุสิบหกปีชายหนุ่มคนนี้เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อบนร่าง เขาดูแข็งแกร่งมาก

 

“ถึงเจ้าจะยังเด็กเจ้าก็ดูแข็งแกร่งมากสินะ”

 

แม้ว่าชายหนุ่มจะพูดชมเขาก็หัวเราะยั่วยุ

 

เขาก้าวเข้าไปจู่โจมเด็กชายอย่างรวดเร็วเขาเร็วอย่างกับลิง!

 

ไม่กี่อึดใจเขาพุ่งมาข้างหน้าได้ไกลและกำลังจะโจมตีเด็กชาย จากฐานพลังของเด็กชาย เขาน่าจะป้องกันได้ยาก

 

แต่น่าประหลาดใจที่เด็กชายหกขวบเพียงแตะปลายเท้าเบาๆกับพื้นด้วยฐานพลังของเขาที่ยังอยู่ในขั้นผู้ฝึกตน เขาสามารถกระโดดได้สูงมาก

 

ผู้เฒ่าเริ่มพูดคุยกันในนั้นคือจางยู่เฟยที่ตาลุกวาว

 

“นั่นมันการเคลื่อนไหวของราชันย์ศักดิ์สิทธิ์!วิชาตัวเบาของเด็กคนนี้ไม่ธรรมดาเลย”

 

เด็กชายสง่างามราวกับหงส์เขากระโดดขึ้นกลางอากาศและหลบชายหนุ่มได้อย่างไม่ยากเย็น

 

เวลาเดียวกันยังมีแสงทมิฬปล่อยออกมาจากดวงตาของเขาชายหนุ่มที่ตอบสนองไม่ทันถูกวิชานั้นซัดเข้าใส่ เขาตะโกนด้วยความเจ็บปวดแม้จะดูเหมือนว่าร่างกายของเขาไม่เป็นอะไร

 

“โจมตีวิญญาณรึ?”

 

จางยู่เฟยประหลาดใจอีกครั้ง

 

ฉีหงซื่อกลับครุ่นคิดหลังจากผ่านไปนาน เขาถามอย่างจริงจัง

 

“ศิษย์น้องจางเจ้าไม่คิดว่าวิชาตัวเบาของเด็กคนนี้ดูคุ้นๆบ้างรึ?”

 

คุ้นรึ?จางยู่เฟยหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง นางมองดูวิชาบ่มเพาะของเด็กชายและพยายามคิดถึงส่วนลึกที่สุดของความทรงจำ

 

จู่ๆก็มีชายคนหนึ่งปรากฏในใจนางพูดด้วยความลังเล

 

“ข้าจำได้ว่าซือหยูใช้วิชาเดียวกันตอนที่เขาเป็นผู้ฝึกตนเขาใช้วิชานั้นตอนเข้าคัดเลือก ดูเหมือนว่าวิชาของเขาจะมาจากแหล่งเดียวกัน…”

 

ฉีหงซื่อพยักหน้าแต่ไม่นานเขาก็ส่ายหน้า

 

“ไม่ใช่แหล่งเดียวกันหรอกแต่เป็นวิชาเดียวกันเลยล่ะ นี่คือวิชาเงาลอยล่องที่มาจากเกาะเฉินยี่ มันคือวิชาจากตระกูลกษัตริย์”

 

“หรือเขาจะเป็นญาติกับซือหยู?”

 

จางยู่เฟยถามด้วยความลังเล

 

ฉีหงซื่อส่ายหน้า

 

“ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้นซือหยูออกจากเกาะเฉินยี่ตอนอายุสิบสี่ เด็กคนนี้ยังไม่เกิดเลย”

 

จางยู่เฟยหน้าแดงเล็กน้อยด้วยความอายนางรู้สึกบางอย่างที่ชัดเจนเมื่อแอบมองฉีหงซื่อ นางสงสัยว่าฉีหงซื่ออาจจะจงใจถามนางในเรื่องนี้

 

หรือว่าฉีหงซื่อจะรู้เรื่องค่ำคืนที่จางยู่เฟยเคยใช้ร่วมกับซือหยูในตอนนั้น?

 

“กระโดดขึ้นสูงและใช้วิชาโจมตีวิญญาณรึ?เจ้าหนู พอได้แล้ว!”

 

ชายหนุ่มตะโกนด้วยความโกรธ

 

เขาเบื่อการถูกจู่โจมอยู่ฝ่ายเดียวแล้ว!เขาอัดพลังไปที่ขาขวาและเตะด้วยพลังวิญยาณ

 

ความเร็วของขาเขานั้นสร้างวายุลมที่ทำให้เด็กชายตกใจเด็กชายถูกวายุลมนั้นซัดใส่ขณะที่ลอยกลางอากาศ มันทำให้เขาร่วงลงสู่พื้นในหลังจากนั้น ผลประลองถูกตัดสินใจทันที

 

“ดูเหมือนว่าเขาจะเด็กเกินไปนะ…”

 

จางยู่เฟยส่ายหน้าเบาๆด้วยความผิดหวัง

 

“ถ้าเขาบ่มเพาะอีกสองปีบางทีเขาอาจจะผ่านการทดสอบ แต่ตอนนี้มันยังยากเกินไปสำหรับเขา”

 

ฉีหงซื่อถอนหายใจ

 

“คนแพ้ต้องกลับไปหลังจากสามวัน พวกเจ้าแต่ละคนจะถูกส่งกลับ พวกเจ้าค่อยมาทดสอบอีกครั้งหลังจากสามปี”

 

เด็กชายผู้พ่ายแพ้เสียใจเมื่อทุกคนเลิกหวังกับเขาเขายืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน แววตาของเขาไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้

 

ฉีหงซื่อขมวดคิ้วเบาๆ

 

“พาตัวเขาไป”

 

แม้ว่าเขาจะสงสารเด็กชายแต่นี่เป็นการคัดเลือกอย่างเป็นทางการ ดังนั้นจึงไม่เหมาะสมที่เขาจะมีมาตรฐานที่สองกับใคร

 

มีคนรับคำสั่งพาเด็กชายออกจากลานประลองในทันทีเด็กชายพยายามที่จะลืมตา นั่นก็เพราะมีน้ำตาไหลออกมา เขากลัวว่าน้ำตาจะไหลออกมาเมื่อหลับตา

 

ความอัปยศจากความพ่ายแพ้ทำให้เขาไม่กล้าเงยหน้าและเดินออกจากเหล่าผู้คนอย่างเงียบเชียบแต่จู่ๆเขาก็เห็นเท้าคู่หนึ่งปรากฏในสายตา

 

เขาเงยหน้ามองและเห็นชายหนุ่มผู้หน้าตาหล่อเหลาที่มีเส้นผมสีเงินยืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มผู้นี้ยิ้มให้เขาและย่อเข่าถาม

 

“พ่อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?เขาแข็งแรงดีใช่หรือไม่?”

 

เด็กชายตัวแข็งทื่อก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปอีกเพื่อจ้องมองซือหยูด้วยความสงสัยแม้ว่าเขาจะเด็กมาก เขาก็ตื่นตัวและฉลาดหลักแหลม

 

เด็กชายตอบอย่างใจเย็น

 

“ท่านพ่อสบายดีข้าขอถาม…ใต้เท้า…ท่านเป็นใครกัน?”

 

“ข้าเรอะ?หึหึ…เจ้าเรียกข้าว่าลุงเถอะ”

 

ซือหยูหัวเราะเบาๆ

 

เด็กชายกระพริบตาพลางสงสัย…ถ้าเช่นนั้นพี่ชายคนนี้ก็เป็นสหายรุ่นราวเดียวกับท่านพ่อรึ?

 

แต่เด็กชายยังคงระวังตัวเขายังคงเงียบและไม่กล้าจะบอกเรื่องสภาพร่างกายของพ่อ

 

ซือหยูหัวเราะและพยายามถามคำถามอื่นแต่จู่ๆก็มีอีกสองคนเดินเข้ามา

 

“กล้าดียังไง?เจ้าเป็นใครกัน? เจ้าบุกรุกเข้ามาที่สำนักหลิวเซี่ยนเรอะ?”

 

หนึ่งในสองคนนั้นถามทั้งสองตกใจเมื่อได้เห็นชายหนุ่มที่ไม่คุ้นหน้า

 

ซือหยูยืนขึ้นและมองชายทั้งสอง

 

“เจ้าสองคนมาใหม่สินะ?”

 

“โอหัง!เราถามเจ้าอยู่! นี่เป็นงานคัดเลือกของสำนักหลิวเซี่ยน เจ้าบุกรุกเข้ามาำทไมกัน? ใครส่งเจ้ามา?”

 

ชายทั้งสองยังคงถามด้วยความไม่เป็นมิตร

 

เป็นธรรมดาที่สำนักอื่นจะพยายามหาข้อมูลเรื่องการคัดเลือกศิษย์ของสำนักหลิวเซี่ยนชายสองคนเข้าใจว่าซือหยูแอบมาหาข้อมูล

 

แต่ซือหยูกลับเผยตัวให้ทุกคนเห็นต่อหน้าต่อตา!นี่เป็นเรื่องใหม่สำหรับพวกเขา เพราะพวกที่มาหาข้อมูลมักจะมาอย่างลับๆ

 

เสียงเอะอะเริ่มทำให้ผู้คนสนใจฉีหงซื่อรอคนต่อไปที่จะมาทดสอบ แต่เมื่อเขาหันไปมองจุดที่ซือหยูยืนอยู่…เขาก็ตัวแข็งทื่อในทันที ราวกับว่าเขาถูกสายฟ้าฟาดใส่!

 

จางยู่เฟยรู้สึกแปลกๆนางมองตามฉีหงซื่อ นางเบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งที่เคยเห็นในอดีต แม้จะผ่านไปหลายปี แต่รูปลักษณ์ของชายหนุ่มที่ทั้งคู่เห็นก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ราวกับว่าเขาอายุเท่าเดิมมาโดยตลอด!

 

“ซะ…ซือหยู…”

 

จางยู่เฟยเอ่ยนามของเขาโดยไม่รู้ตัว

 

นางไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าซือหยูผู้ที่เป็นเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะมาที่สำนักหลิวเซี่ยน!

 

“โอหัง!กล้าดียังไงถึงเรียกท่านเจ้าพันธมิตรด้วยนาม?”

 

ลั่วซวงตะโกนเสียงทุ้มต่ำแรงกดดันของภูติของเขาทำให้ทุกคนใจเต้นแรง

 

จางยู่เฟยกับฉีหงซื่อตกตะลึงทั้งคู่ยืนตัวสั่นต่อหน้าซือหยู

 

“ไปคุยที่อื่นกันเถอะ”

 

ทั้งคู่ตกตะลึงที่ก่อนที่ทั้งคู่จะยืนขึ้นพวกเขาได้ยินเสียงและฝ่ามือที่แตะบ่าของทั้งคู่อย่างแผ่วเบา เจ้าของฝ่ามือนี้ก็คือซือหยู!

 

พวกเขาอยู่ห่างกันเป็นลี้เมื่อครู่ก่อนแต่ซือหยูก็ปรากฏตัวมาที่หน้าพวกเขาในพริบตาเดียว! ความทรงพลังเช่นนี้ทำให้ทั้งคู่หัวใจแทบหยุดเต้น

 

ไม่นานก็มีสายฟ้าปรากฏเหนือศีรษะของทั้งคู่ เมื่อพวกนางลืมตาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ที่เงียบและไร้ผู้คน

 

“ย้ายมิติ!”

 

ฉีหงซื่อตกใจมาก

 

พวกเขาหันกลับไปมองชายที่ยืนด้านหลังฉีหงซื่อมิอาจเทียบชายคนนี้กับซือหยูในอดีตได้เลย

 

“หวังว่าเจ้าสองคนจะสบายดีนะ…”

 

ซือหยูหันมาพูดด้วยรอยยิ้ม

 

ฉีหงซื่อไม่รู้จะพูดตอบอย่างไรจางยู่เฟยเองก็ได้แต่มองดวงตาของซือหยู ไม่นานนางก็ยิ้ม

 

“พวกข้าสบายดี”

 

ซือหยูหัวเราะเบาๆ

 

“สำนักหลิวเซี่ยนจะฟื้นฟูขึ้นมาแน่”

 

ทั้งสองหัวเราะอย่างขมขื่นสำนักหลิวเซี่ยนเสื่อมโทรมก็เพราะว่าซือหยูสังหารผู้เฒ่าไปครึ่งสำนักตอนที่เขาพยายามหนีจากสำนัก

 

“ข้าขอถามได้หรือไม่ทำไมข้าไม่เห็นเจ้าสำนักล่ะ?”

 

ซือหยูถาม

 

แววตาฉีหงซื่อหม่นหมอง

 

“เขาพยายามปกป้องพวกเราท้ายสุด เขาสละชีวิตเข้าสู้กับพวกต่างโลก”

 

เขาตายแล้วรึ?ซือหยูถอนหายใจ มีการเปลี่ยนแปลงมากมายในสามปีที่เขาไม่อยู่

 

“ข้าเสียใจด้วย…”

 

ซือหยูพูดด้วยความเศร้า

 

จางยู่เฟยดูจริงจังขึ้นมาแต่นางก็ไม่กล้าจะมองตาซือหยูตรงๆ

 

“ท่านเจ้าพันธมิตรซือมาทำอะไรที่สำนักหลิวเซี่ยนรึ?ท่านคงไม่ได้มารื้อฟื้นอดีตกับพวกเราแน่”

 

ซือหยูพยักหน้า

 

“ใช่แล้วข้าอยากจะถามถึงผู้เฒ่าหยูโหรวกับม่ออู๋ พวกเจ้าได้ข่าวเรื่องที่อยู่ของพวกนางหรือไม่?”

 

ตั้งแต่ที่เขาพาผู้เฒ่าหยูโหรวไปซ่อนตัวที่เกาะเฉินยี่เขาติดต่อกับนางไม่ได้อีกเลย และเมื่อเขาผ่านสำนักหลิวเซี่ยน เขาจึงตัดสินใจหยุดพักเพื่อถามเรื่องนาง

จางยู่เฟยส่ายหน้าเบาๆ

 

“ไม่เลย”

 

ฉีหงซื่อส่ายหน้าเช่นกันคำตอบของทั้งคู่ทำให้ซือหยูผิดหวัง

 

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไปแล้วดูแลตัวเองด้วย…”

 

ซือหยูพูดขณะยื่นมือไปยังท้องฟ้า

 

ในตอนนั้นเองภาพอันงดงามได้ถือกำเนิดขึ้น ภาพนี้ไม่ต่างจากภาพเขียน ซือหยูคว้ามันด้วยดัชนีทั้งห้า เมื่อแบมือออกก็มีสัญลักษณ์โปร่งใสที่เปล่งประกายอยู่ภายใน

ซือหยูดีดนิ้วให้ตราสัญลักษณ์ฝังไปที่หน้าผากของจางยู่เฟย

 

“มันคือฎีกาสวรรค์ของข้าถ้าเจ้ามีปัญหาในอนาคต เจ้าจะขอความช่วยเหลือจากพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ได้”

 

ซือหยูเตรียมจะเดินทางแต่เขาก็พูดต่อเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้

 

“เด็กชายคนนั้นเป็นทายาทของสหายเก่าของข้าที่เกาะเฉินยี่โปรดดูแลเขาแทนข้าด้วย”

 

เมื่อพูดจบซือหยูกระโดดขึ้นฟ้าและออกเดินทาง เขาพุ่งออกไปตามด้วยเงาภูติอีกสิบคนที่พุ่งขึ้นมาพร้อมกัน

 

จางยู่เฟยพูดไม่ออกนางสัมผัสหน้าผากด้วยรอยยิ้ม เขาไม่เคยลืมนางเลย

 

ฉีหงซื่อกลับยินดียิ่งกว่าสิ่งใดถ้าพวกเขามีของขวัญจากเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์เช่นนี้ ต่อไปก็จะไม่มีใครกล้ารังแกหรือดูหมิ่นสำนักหลิวเซี่ยนอีก!

 

ทั้งคู่ใจเย็นลงและรู้สึกว่างเปล่าในใจทั้งคู่จ้องมองซือหยูที่หายลับฟ้า ช่องว่างระหว่างพวกเขากับซือหยูได้กว้างใหญ่ขึ้นไปทุกที

 

ผ่านไปครึ่งชั่วยามพวกเขากลับมาในที่จัดงานคัดเลือก แต่พวกเขาก็เห็นเพียงว่าที่นี่ตกอยู่ในความยุ่งเหยิง!

 

“อะไรนะ?ชายคนเมื่อครู่คือเจ้าพันธมิตรซืองั้นเรอะ?”

 

บางคนอุถทานออกมา

 

เหล่าคนที่ผ่านการคัดเลือกตกใจอย่างหนักพวกเขาตะโกนพร้อมกัน

 

“พระเจ้าเขาดูเป็นแบบนั้นมาตลอดเลยรึ?”

 

“มันจบแล้วคืนนี้ข้านอนไม่หลับแน่ นั่นคือเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ที่ปกป้องทวีปของเรา! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าข้าจะได้เห็นเขาตัวเป็นๆ!”

 

สองคนที่ไม่เป็นมิตรต่อซือหยูใบหน้าบิดเบี้ยวทั้งคู่ราวกับเตรียมจะถูกตำหนิ

 

“เงียบซะการทดสอบจะดำเนินต่อไป…”

 

ฉีหงซื่อพูดอย่างมั่นคงแม้เขาจะดูจริงจัง แต่น้ำเสียงของเขาก็ดูอ่อนลง

 

“นอกจากนี้ข้ามีเรื่องอื่นที่ต้องประกาศ”

 

ฉีหงซื่อมองไปยังเด็กชาย

 

“เจ้าชื่ออะไร?”

 

เด็กชายตกใจกับความสนใจของเจ้าสำนักฉีหงซื่อกำลังถามเขา!

 

“ลี่จุน…”

 

ฉีหงซื่อยิ้ม

 

“เอาล่ะลี่จุน เจ้ายินดีจะเป็นศิษย์ของข้าหรือไม่?”

 

คำพูดของเขาทำให้ทั้งสำนักเงียบกริบการเป็นศิษย์ของเจ้าสำนักไม่ต่างกับการได้เป็นผู้สืบทอดสำนักหลิวเซี่ยนในอนาคต!

 

ลี่จุนยินดีเป็นอย่างมาก

 

“ขะ!ข้ายินดี!”

 

แต่เขาสงสัยว่าเหตุใดเขาถึงถูกเลือกให้กลายเป็นศิษย์ของเจ้าสำนัก…

 

หรือว่าเป็นเพราะพี่ชายผมสีเงินคนนั้น?

 

“ท่านเจ้าสำนักมันจะไม่เกินไปหน่อยรึ?”

 

ผู้เฒ่าคนหนึ่งพูดด้วยความกังวลใจ

 

ผู้เฒ่าคนอื่นพยักหน้าและขมวดคิ้วพร้อมกันพวกเขารู้สึกว่าการตัดสินใจของฉีหงซื่อนั้นแปลกประหลาด

 

ฉีหงซื่อตอบอย่างไร้อารมณ์

 

“ลี่จุนเป็นทายาทสหายเก่าของบุรุษผู่นั้นพวกเจ้าแน่ใจรึว่าจะต่อต้านการตัดสินใจนี้?”

 

อะไรนะ?ทายาทของสหายซือหยูงั้นรึ? เหล่าผู้เฒ่าเริ่มหันไปมองลู่จุน แววตาพวกเขาเริ่มอบอุ่นจบแทบจะเผาลู่จุนด้วยสายตาได้

 

คนที่เก่าแก่ในสำนักกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดีเพราะถ้าหากทายาทสหายเก่าของซือหยูได้เป็นเจ้าสำนัก ถึงตอนนั้น แม้แต่พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ก็ไม่กล้าจะมีปากเสียงกับสำนักหลิวเซี่ยน! ทุกคนเริ่มจินตนาการถึงความสงบสุขอีกหลายร้อยปีในอนาคตของสำนักหลิวเซี่ยน!

 

ฉีหงซื่อกังจางยู่เฟงมองหน้ากันอย่างเป็นกังวล

 

หลังจากที่การทดสอบจบลงทั้งสองไปยังที่พำนักของผู้เฒ่า ในด้านที่ดูเรียบง่าย สตรีที่งดงาม เย็นชา และอ่อนโยนสองคนกำลังบ่มเพาะพลังอย่างเงียบเชียบ

 

“ท่านอาจารย์เจ้าพันธมิตรซือมาที่นี่ ท่านต้องสัมผัสถึงเขาได้แน่ ทำไมไม่ออกไปหาเขาเล่า?”

 

ฉีหงซื่อถามขณะที่ยืนอยู่หน้าประตูกับจางยู่เฟย

 

หยูโหรวกับม่ออู๋อยู่ในสำนักหลิวเซี่ยน!หยูโหรวลืมตาขึ้นช้าๆโดยไม่พูดอะไร

 

ม่ออู๋ลืมตาขึ้นช้าๆ

 

“ท่านอาจารย์ไม่เสียใจดี?ถ้าท่านไปตอนนี้ ท่านอาจจะตามทัน”

 

ใบหน้างดงามของหยูโหรวแสดงความเจ็บปวด

 

“เรามิได้ช่วยเขาในเวลาอันยากลำบากและเขาได้สร้างชื่อด้วยตัวเองมาแล้ว คงน่าละอายนักหากจะต้องพบกับเขา ส่วนเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าคิดถึงเขามาก ทำไมเจ้าไม่ออกไปเจอเขาเล่า?”

 

ม่ออู๋เงียบและขบริมฝีปากเบาๆนางคิดไม่ตก

 

ผ่านไปนานดวงตาของนางดูสดใสดั่งแก้ว

 

“ข้าไม่เคยได้รับโชคอันใดในการเลือกหนทางนี้ข้าเพียงแค่อยากติดตามท่านอาจารย์เท่านั้น”

 

หยูโหรวถอนหายใจอย่างแผ่วเบา

 

“ไม่ว่าจะอย่างไรอนาคตก็ยังมีโอกาส ข้าเชื่อว่าเราจะได้เจอกับเขาอีกครั้ง”

 

ที่เขตเซี่ยนหยูบนเกาะเฉินยี่ซือหยูยืนอยู่หน้าตำหนัก เขาดูยินดีเป็นอย่างมาก เคยมีเรื่องเกิดขึ้นที่นี่และถูกขัดขวางเมื่อหกปีก่อน วันนี้ เขาจะต้องทำสิ่งที่ไม่สำเร็จให้ได้!

 

เขาจะประวิงงานแต่งงานของเขากับเซี่ยนเอ๋อไม่ได้อีกแล้วซือหยูเดินเข้าสู่ตำหนักด้วยความคิดนี้

 

ด้านในตำหนักชายวัยกลางคนกำลังอ่านตำราอยู่ใต้แสงตะวัน เขาดูสงบสุขยิ่งนัก

ซือหยูมองเขาโดยไม่ทักให้รู้ตัวเมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ซือหยูจึงเดินออกมาอย่างเงียบเชียบ

 

“ท่านเจ้าพันธมิตรท่านไม่เข้าไปพบเขารึ?”

 

ลั่วซวงเห็นแววตาซือหยูและบอกได้เลยว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับชายวัยกลางคนผู้นี้

 

ซือหยูดูพอใจ

 

“ข้าได้เห็นเขาแล้วไม่จำเป็นที่ข้าต้องทำให้ท่านเป็นห่วง ข้าไปทั้งแบบนี้จะดีกว่า”

 

เขาพูดต่อ

 

“แต่ข้าจะไปคนเดียวเจ้าจงอยู่ที่นี่กับหน่วยกวาดล้าง ส่งจดหมายนี้ให้่เขา บอกเขาว่าวันที่ข้ากลับมาจะเป็นวันที่ข้าแต่งงานกับเซี่ยนเอ๋อ ข้าจะขอให้เขาดื่มน้ำชาหนึ่งถ้วยที่ข้ารินให้”

 

หลังจากที่ซือหยูสั่งเขายื่นจดหมายให้ลั่วซวง ลั่วซวงแปลกใจมาก

 

“แล้วนายท่านจะไปไหนรึ?”

 

ซือหยูมองไปยังมหาสมุทรอันห่างไกล

 

“ข้าจะไปช่วยสหายเก่าที่ก้นบึ้งมังกร”

 

ทันทีที่พูดจบ…ซือหยูหายลับขอบนภา