ตอนที่ 546 ความเอาแต่ใจของเขา

กับดักรักในรอยแค้น

เช้าวันหยุดสุดสัปดาห์

 

 

           ในเมือง A มีภูเขาหลายลูก แต่ละลูกล้วนมีเอกลักษณ์ที่แตกต่าง อีกทั้งยังมีเสน่ห์เป็นของตัวเอง

 

 

           ฉู่เจียเสวียนกับซูซานปีนเขากันตั้งแต่เช้า ในเวลานี้เธอทั้งสองคนปีนไปครึ่งลูกแล้ว ใบหน้าของพวกเธอต่างชุ่มไปด้วยเหงื่อ ฉู่เจียเสวียนสวมชุดกีฬาสีฟ้าอ่อน สวมหมวกอยู่บนศีรษะ ใบหน้าถูกแสงแดดสาดส่องจนเป็นสีแดง

 

 

           ในเวลานี้เธอทำมือเป็นรูปพัด พัดวีไม่หยุด อีกมือหนึ่งเท้าสะเอว ยืนหอบอยู่ที่เดิม

 

 

           สายตาของเธอจ้องมองเงาที่ห่างเธอไปเรื่อยๆ คนที่เดินอยู่ข้างหน้า ใส่ชุดออกกำลังกายสีขาว สวมหมวกหนึ่งใบบนศีรษะ สะพายเป้อยู่ด้านหลัง ข้างกระเป๋ามีขวดน้ำหนึ่งขวด

 

 

           “แม่คะ…” ฉู่เจียเสวียนมองดูเงาที่ยิ่งไกลออกไป ถอนหายใจลึก แล้วเดินตามไป ซูซานได้ยินเสียงเรียก หันกลับไปก็เห็นฉู่เจียเสวียนกำลังวิ่งมาหาเธอ บนใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม

 

 

           ฉู่เจียเสวียนวิ่งกระหืดกระหอบมาหาเธอ พร้อมได้ยินเสียงของเธอดังขึ้น “บอกลูกแล้วว่าให้หาเวลาออกกำลังกายหน่อย อย่าเอาแต่ทำงานทั้งวัน ลูกเห็นไหม ตอนนี้ปีนเขาแค่นิดเดียวลูกก็ปีนไม่ไหวแล้ว”

 

 

           “เฮ้อ…แม่คะ หนูยอมแพ้แล้ว สงสัยว่าคราวหน้าหนูต้องมากับแม่บ่อยๆ ออกมาปีนสักสองรอบถึงจะดี” ฉู่เจียเสวียนหอบอยู่สักพักจึงพูดขึ้น

 

 

           เธอคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าร่างกายเธอจะแย่ขนาดนี้ อยู่ที่ต่างประเทศสามปี เธอก็มักจะออกกำลังกายบ่อยๆ แต่ว่าหลังจากกลับมา เนื่องด้วยงานยุ่งเกินไปฉะนั้นเวลาออกกำลังกายของเธอจึงน้อยลง

 

 

           ดูแล้ว เธอยังคงต้องออกกำลังกายต่อไปถึงจะดี

 

 

           “ไปเถอะ พวกเราไปต่อกัน” ซูซานพูดจบ ก็ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าก่อน

 

 

           ทิวทัศน์บนภูเขาสวยงาม ลมโชยเอื่อย สายลมบนภูเขานั้นสดชื่นกว่าในเมืองมาก มีต้นไม้สีเขียวโดยรอบ ความกลมกลืนของธรรมชาติเป็นสิ่งที่พิเศษอย่างแท้จริง

 

 

           หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดทั้งสองคนก็ปีนจนถึงยอดเขา

 

 

           ที่จริงภูเขาลูกนี้ผ่านการปรับแต่งจากมนุษย์มาแล้ว มีรถที่สามารถพาไปถึงยอดเขาได้โดยตรง หรือเวลาจะลงเขาก็สามารถลงไปที่ตีนเขาได้โดยตรงเช่นกัน

 

 

           ที่ด้านบนของภูเขามีบ้านไม้ไผ่อยู่ ซึ่งให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ที่นี่เป็นโรงแรมสำหรับให้ผู้ที่ปีนภูเขามาพักผ่อนโดยเฉพาะ

 

 

           พื้นที่บ้านไม้ไผ่ไม่ใหญ่นัก มีเฟอร์นิเจอร์ครบ สภาพแวดล้อมนั้นหรูหรามาก ให้ความรู้สึกเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างไรอย่างนั้น ราวกับเป็นผู้สูงส่งที่มาจากนอกโลกที่ไม่ต้องสนใจสิ่งภายนอก

 

 

           ที่จริงแล้ว ที่นี่เป็นเพียงสถานที่สำหรับคนรวย แม้บ้านไม้ไผ่จะเล็กแต่ราคากลับสูงมาก การเข้าพักที่นี่หนึ่งคืนแพงว่าการพักในโรงแรมห้าดาวเสียอีก

 

 

           เมื่อบ้านไม้ไผ่ปรากฏขึ้นตรงหน้าฉู่เจียเสวียน ความประหลาดใจวูบผ่านแววตา เธอไม่รู้มาก่อนเลยว่าที่เมือง A มีสถานที่แบบนี้อยู่ด้วย โรงแรมที่อยู่บนยอดเขา เธอเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

 

 

           อีกทั้งสภาพแวดล้อมที่เป็นเอกลักษณ์นั้น ทำให้เธอประหลาดใจจริงๆ

 

 

           “แม่คะ พวกเราเข้าไปพักเหนื่อยสักพักเถอะค่ะ หนูเพิ่งมาที่เขานี้เป็นครั้งแรก คิดไม่ถึงว่าจะเห็นโรงแรมบนยอดเขาแบบนี้ด้วย” ฉู่เจียเสวียนดึงซูซานเข้าไปในบ้านไม้ไผ่

 

 

           การตกแต่งภายในเป็นแบบย้อนยุค ให้ความรู้สึกย้อนกลับไปสมัยโบราณ

 

 

           การตกแต่งภายในนั้นเรียบง่ายมาก แต่ก็มีทุกอย่าง ขณะที่ฉู่เจียเสียนกำลังตกตะลึงอยู่นั้น ผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเธอ “คุณผู้หญิง ต้องการจะมาพักหรือว่ามาดื่มน้ำชาครับ”

 

 

           “ดื่มชาค่ะ” พูดจบ เธอเลือกนั่งในห้องนั่งเล่นหรูหราห้องหนึ่ง ซูซานนั่งลงตรงข้ามเธอ จุดนี้สามารถรับชมทิวทัศน์มุมกว้างทั้งหมดบนยอดเขาได้

 

 

           “แม่คะ ที่นี่เก๋มากเลย” ฉู่เจียเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมันสมองของนักธุรกิจในปัจจุบัน สร้างโรงแรมในสถานที่ที่มีประชากรเบาบางแบบนี้ เธอสงสัยจริงๆ ว่าจะทำเงินได้เหรอ

 

 

           ตำแหน่งที่เป็นอันตรายแบบนี้ ไม่กลัวพายุงั้นเหรอ

 

 

           ฉู่เจียเสวียนสำรวจการตกแต่งของบ้านไม้ไผ่อย่างละเอียด ความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตาไม่หยุดหย่อน

 

 

           “นั่นสิ” ซูซานยกถ้วยชาขึ้นแล้วจิบชาเบาๆ พบว่าชานี้มีรสชาติหวานจริงๆ

 

 

           ฉู่เจียเสวียนนั่งในห้องหรูหรานี้ เพลิดเพลินกับความสงบที่หาได้ยากกับซูซาน พูดคุยกับซูซานเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่น่าสนใจ

 

 

           หลังจากพักผ่อนจนพอใจแล้ว ฉู่เจียเสวียนกับซูซานนั่งรถลงจากเขาโดยตรง

 

 

           เนื่องจากปีนมาครั้งหนึ่งแล้ว ฉู่เจียเสวียนไม่คิดที่จะกลับไปอีก ปีนเขาครั้งนึงก็เหนื่อยเหลือเกิน ตอนที่ลงเขาแม้จะรู้สึกผ่อนคลาย แต่ว่าหากมีวีธีที่ผ่อนคลายกว่านี้ก็ต้องคว้าไว้ไม่ใช่หรือ

 

 

           ฉู่เจียเสวียนนั่งรถผ่านภูเขา มองดูทิวทัศน์ที่อยู่เบื้องล่าง

 

 

           แสงแดดกำลังดี สายลมบนภูเขาพัดอ่อนๆ พัดปลิวผมของฉู่เจียเสวียน เส้นผมเต้นระบำอยู่ในสายลม แสงสีทองสาดส่องบนใบหน้าและบนตัวของเธอ หน้าใสที่สะอาดสะอ้านสมบูรณ์แบบ ขาวผ่องราวกับหิมะ

 

 

           แม้ผ่านไปหลายปีแล้ว แต่วันเวลาช่างใจกว้างต่อฉู่เจียเสวียนเหลือเกิน ใบหน้านั้นสวยงามและละเอียดอ่อนกว่าเมื่อสามปีที่แล้ว ยิ่งเพิ่มความสวยงามของผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว

 

 

           รถลงเขาหยุดที่ลานจอดรถช้าๆ ฉู่เจียเสวียนกับซูซานลงมา แล้วเดินไปที่รถทันที

 

 

           วันนี้พวกเธอออกมาครึ่งค่อนวันแล้ว ขณะที่กลับถึงวิลล่าก็เป็นเวลาห้าโมงแล้ว

 

 

           หลังจากเข้าไปนั่งในรถ ไม่ช้ารถก็แล่นลงจากภูเขา

 

 

           ฉู่เจียเสวียนกับซูซานกลับมาถึงวิลล่าและเปลี่ยนรองเท้า ฉู่เจียเสวียนนั่งอยู่บนโซฟาไม่ขยับเขยื้อน ตอนนี้เธอรู้สึกว่าสองขานี้ไม่ใช่ของเธอเลย มันเมื่อยล้าสุดขีด

 

 

           เห็นท่าทางที่อ่อนล้าของฉู่เจียเสวียน ซูซานส่ายหน้า หันหลังเข้าห้องครัวไป หยิบผลไม้ออกมา

 

 

           สภาพจิตใจและความแข็งแกร่งทางร่างกายของซูซานนั้นดีกว่าฉู่เจียเสวียนมาก มองดูซูซานในตอนนี้ ในสมองของฉู่เจียเสวียนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงตอนที่เผยหนานเจวี๋ยบังคับให้เธอไม่หาหมอก่อนหน้านี้ คุณหมอเล่าการวินิจฉัยให้เธอฟัง “เครียดจากการทำงานมากเกินไป ถ้าผู้หญิงไม่ดูแลร่างกายให้ดี จะแก่เร็ว”

 

 

           “จะต้องออกกำลังกายเป็นประจำ ใส่ใจดูแลตัวเอง”

 

 

           “ไม่อย่างนั้นพอผู้หญิงอายุสี่ห้าสิแล้ว ถึงตอนนั้นแล้วคุณจะเสียใจ”

 

 

           หรือว่าตอนนี้เธอแก่แล้วงั้นเหรอ

 

 

           กำลังครุ่นคิดว่าระยะหลังนี้เธอไม่ได้ไปที่ฟิตเนสเลย ทุกคืนเอาแต่ทำงานที่บริษัทจนดึกดื่น…

 

 

           เฮ้อ จะมีวีธีไหนล่ะ ใครสั่งให้ชีวิตเธอลำบากล่ะ กงจวิ้นฉือก็ไม่อยู่ เธอก็ต้องช่วยเขาดูแลบริษัทอยู่แล้ว

 

 

           เวลาไหลผ่านไปอย่างเงียบ ๆ

 

 

           วันนี้ ฉู่เจียเสวียนเพิ่งจะมาถึงบริษัท กำลังจัดการกับเอกสาร เผยหนานเจวี๋ยก็โทรมาหาเธออีกแล้ว

 

 

           “ฮัลโหล ประธานเผยมีธุระอะไรหรือคะ” เธอเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาห่างเหิน

 

 

           เผยหนานเจวี๋ยได้ยินแล้วอดไม่ได้ที่จะฝืนยิ้ม “ใช่แล้ว เที่ยงนี้ไปกินข้าวกัน”

 

 

           “ไม่ว่าง”

 

 

           “ผมจะไปหาคุณที่บริษัทเดี๋ยวนี้” เผยหนานเจวี๋ยไม่แปลกใจเลยที่ฉู่เจียเสวียนจะตอบแบบนี้ ในเมื่อเธอไม่อยากกินข้าวกับเขา เขาก็จะไปหาเธอที่บริษัท

 

 

           “คุณ…” ฉู่เจียเสวียนโมโห มือที่ถือโทรศัพท์มือถือกำแน่น กัดฟัน “ที่ไหน”

 

 

           ริมฝีปากบางยกยิ้ม เผยหนานเจวี๋ยพูดอย่างภูมิใจ “ร้านอาหารเก๋อหลิน เที่ยงครึ่ง”

 

 

           พูดจบ ไม่รอให้ฉู่เจียเสวียนตอบก็วางหูไปก่อน

 

 

           เงยหน้าขึ้นมองเวลา สิบโมงครึ่งแล้ว ฉู่เจียเสวียนถอนหายใจแผ่วเบา เธอยิ่งรังเกียจความเอาแต่ใจของเผยหนานเจวี๋ยมากขึ้นทุกที