ตอนที่ 547 อย่าดิ้น แค่กอดนิดเดียว

กับดักรักในรอยแค้น

เธอคิดว่าระยะหลังนี้เขามักจะปรากฏตัวอย่างลึกลับเสมอ และมักจะตามหลอกหลอนเธออย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนจนเธอรู้สึกปวดหัว 

 

 

           สะบัดหัว ข่มความรู้สึกเหนื่อยหน่ายไว้ในใจ ช่างเถอะ ก็แค่กินข้าวมื้อเดียว กลัวอะไร 

 

 

           นอกหน้าต่าง อากาศกำลังดี แสงอาทิตย์สาดส่องพื้นโลก สามลมพัดแผ่วเบา ทำให้ผ้าม่านในออฟฟิศของฉู่เจียเสวียนพริ้วไหวบางๆ 

 

 

           เที่ยงครึ่ง ที่ร้านอาหารเก๋อหลิน 

 

 

           ฉู่เจียเสวียนปรากฏตัวที่ร้านอาหารตรงเวลา มองเห็นเงาที่คุ้นเคยมาแต่ไกล เม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก้าวเท้าเดินเข้าไป ท่าทีสง่างามและสูงส่งนั้นดึงดูดสายตานับไม่ถ้วน 

 

 

           “ประธานเผย” เมื่อเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างเผยหนานเจวี๋ย ฉู่เจียเสวียนเอ่ยอย่างมีมารยาท 

 

 

           มองสีหน้าที่เย็นชาของเผยหนานเจวี๋ยด้วยแววตาเยือกเย็น 

 

 

           เขาเงยหน้าขึ้นมองฉู่เจียเสวียน ริมฝีปากของเขายกยิ้มเล็กน้อย ความยินดีวูบผ่านส่วนลึกในแววตา “นั่งสิ” 

 

 

           ลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้ให้ฉู่เจียเสวียนนั่ง ฉู่เจียเสวียนก็ไม่เกรงใจ พยักหน้าให้เผยหนานเจวี๋ย จากนั้นก็นั่งลงอย่างสง่างาม 

 

 

           ผลักเมนูให้ฉู่เจียเสวียน “ดูสิว่าคุณอยากกินอะไร” 

 

 

           “วันนี้ทำไมประธานเผยอารมณ์ดีจังเลย เลี้ยงข้าวฉันด้วย?” ฉู่เจียเสวียนหยิบเมนูขึ้นมา พลิกดูรายการอาหารด้านใน 

 

 

           “เชิญคุณกินข้าวต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ” เผยหนานเจวี๋ยถามกลับ แววตาเปื้อนยิ้ม 

 

 

           บรรยากาศภายในร้านเงียบสงบมาก มีเพลงเปิดคลอเบาๆ 

 

 

           สายตาของแต่ละคนหยุดอยู่ที่เผยหนานเจวี๋ยกับฉู่เจียเสวียน เวลาที่สองคนอยู่ด้วยกัน มันช่างน่าทึ่งจนผู้คนไม่สามารถละสายตาได้ ชายหล่อสาวสวย ช่างเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบจริงๆ 

 

 

           เดิมทีบรรยากาศของทั้งสองค่อนข้างกลมกลืนกันดี แต่กลับถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ ฉู่เจียเสวียมองดูสายเรียกเข้า คิดไม่ถึงว่าจะเป็นกงจวิ้นฉือ 

 

 

           “เบาะแสที่คุณให้ผม ตอนนี้ผมหาเจอแล้ว” เสียงที่อบอุ่นของกงจวิ้นฉือดังขึ้น เพียงแต่น้ำเสียงนั้นมีความอ่อนล้าเล็กน้อย 

 

 

           “ใช่เธอหรือเปล่า” 

 

 

           “ใช่ เจียเสวียน ครั้งนี้คุณทำได้ดีมาก ในที่สุดก็หาหนอนบ่อนไส้เจอ ไม่งั้นขืนปล่อยต่อไป บริษัทกงของพวกเราก็จะล้มแน่” น้ำเสียงของกงจวิ้นฉือเผยความยินดี ในที่สุดเขาก็โล่งใจได้แล้ว 

 

 

           “มั่นใจแล้วก็ดี ฉันยังนึกว่าเบาะแสของฉันพลาดซะอีก” 

 

 

           “จะเป็นไปได้ยังไง ผมเชื่อในความสามารถของคุณมาโดยตลอด” 

 

 

           “ฉันกะว่าจะกลับไปช่วยที่ร้านชุดแต่งงาน ตอนนี้บริษัทกงก็หมดเรื่องแล้ว และมีประธานหยางอยู่ด้วย” ฉู่เจียเสวียนทำให้งานที่ร้านชุดแต่งงานล่าช้านานเกินไปแล้ว 

 

 

           ช่วงนี้เธอทำงานที่บริษัทกงตลอดเวลา ไม่เคยกลับไปที่ร้านชุดแต่งงานเลย กิจการเป็นอย่างไรบ้างเธอก็ไม่รู้ แม้เธอจะรู้ว่าถังถังจะจัดการงานที่ร้านชุดแต่งงานเป็นอย่างดีแน่นอน แต่ว่าถึงอย่างไรเธอก็เป็นหนึ่งในเจ้าของร้าน และต้องทำในสิ่งที่ควรทำ 

 

 

           “คุณจะไม่กลับมาที่บริษัทกงแล้วเหรอ” กงจวิ้นฉือเอ่ยปากด้วยความประหลาดใจ คิ้วขมวดกัน 

 

 

           “ถ้าฉันมีเวลาฉันจะกลับไปดู ฉันอยากใช้ตั้งใจกับร้านชุดแต่งงานสักหน่อย” 

 

 

           “ก็ได้ ร้านชุดแต่งงานคุณทางนั้นก็ต้องมีคนดูแล อีกอย่าง…” กงจวิ้นฉือพูด พอพูดถึงประโยคสุดท้ายก็หยุด 

 

 

           เขาจะพูดเรื่องนี้กับฉู่เจียเสวียนอย่างไรดี ก่อนหน้านี้เขาส่งคุณย่าไปรักษาตัวที่ต่างประเทศเนื่องด้วยอาการของโรคหัวใจ ตอนนี้คุณย่าของเขากลับมาแล้ว กลับมาครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะต่อต้านฉู่เจียเสวียนหรือเปล่า แม้จะบอกว่าคุณย่าเห็นด้วยที่เขาคบกับฉู่เจียเสวียนแล้ว แต่ว่าเธอรบเร้าให้พวกเขาสองคนแต่งงานกันมาเป็นเวลานาน แต่พวกเขาไม่ยอมแต่งมาโดยตลอด ตอนนี้คุณย่าของเขาจึงมีอคติกับฉู่เจียเสวียนเล็กน้อย 

 

 

           กลับไปครั้งนี้ เขากลัวว่าคุณย่าจะต่อต้านฉู่เจียเสวียน 

 

 

           คุณย่าเขาไม่ได้ชอบฉู่เจียเสวียนตั้งแต่แรก ต่อมาอุตส่าห์รู้สึกดีขึ้นมาแล้ว อุตส่าห์เห็นด้วยแล้ว แต่ว่าพวกเขาทั้งสองไม่ยอมรับปากเรื่องแต่งงาน จึงเริ่มมีอคติกับฉู่เจียเสวียนอีกครั้ง เขากังวลว่าคุณย่าจะทำให้ฉู่เจียเสวียนลำบากใจ 

 

 

           “จวิ้นฉือ เป็นอะไรไป มีอะไรคุณก็พูดมาเถอะ” พูดกันอยู่ดีๆ ทำไมเงียบไปซะล่ะ อีกอย่างอะไรเหรอ เขามีเรื่องอะไรจะคุยกับเธอหรือเปล่า 

 

 

           “คุณย่าผมกลับมาแล้ว ถึงตอนนั้นเขาอาจจะอยากเจอคุณ” อย่างไรเสียก็บอกเธอดีกว่า ให้เธอได้เตรียมใจ 

 

 

           “คุณย่ากลับมาแล้วเหรอ” ฉู่เจียเสวียนพูดด้วยความประหลาดใจ ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกในตอนนี้อย่างไรดี ควรจะดีใจหรือว่าควรจะตื่นเต้น เธอไม่ได้เจอคุณย่าของกงจวิ้นฉือนานแล้ว 

 

 

           จำได้ว่าคุณย่าของกงจวิ้นฉือบอกให้พวกเขาแต่งงานโดยเร็วที่สุด แต่พวกเขาไม่เคยรับปากเธอเลย เธอโกรธจนแทบหัวใจวายแล้ว 

 

 

           “ใช่” กงจวิ้นฉือพยักหน้า 

 

 

           ฉู่เจียเสวียนรู้สึกปวดหัวทันที ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับคุณย่าของเขาได้อย่างไร เธอกลัวจริงๆ ว่าเธอจะให้เธอแต่งงานกับกงจวิ้นฉือ 

 

 

           “ค่ะ ฉันรู้แล้ว ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันวางสายก่อน ฉันกำลังกินข้าวเที่ยง” 

 

 

           “ได้” 

 

 

           หลังจากวางหู ฉู่เจียเสวียนมองอาหารบนโต๊ะ จู่ๆ ก็ไม่มีความรู้สึกอยากอาหาร 

 

 

           เผยหนานเจวี๋ยเห็นว่าฉู่เจียเสวียนวางสายแล้วคิ้วขมวดกัน ก็เลิกคิ้วเล็กน้อย “กับข้าวไม่ถูกปากเหรอ” 

 

 

           ฉู่เจียเสวียนส่ายหน้า หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วลงมือกิน 

 

 

           “คืนนี้ผมจะบินไปอเมริกาแล้ว ผมไม่อยู่หลายวัน คุณต้องดูแลตัวเองให้ดี” มองฉู่เจียเสวียน เผยหนานเจวี๋ยกล่าวด้วยความรักลึกซึ้ง 

 

 

           “อ่อ เดินทางปลอดภัย” ฉู่เจียเสวียนพูดอย่างมีมารยาท ที่แท้เขาเชิญเธอมากินข้าวเพราะว่าจะออกนอกประเทศแล้ว 

 

 

           ในใจรู้สึกอึดอัดอย่างประหลาด พูดไม่ออกว่าทำไมจู่ๆ ถึงมีความรู้สึกแบบนี้ อาจเป็นเพราะคุณยาของกงจวิ้นฉือใกล้จะกลับมาแล้วล่ะมั้ง 

 

 

           มองดูฉู่เจียเสวียนที่มีท่าทีเย็นชาและห่างเหิน เผยหนานเจวี๋ยพ่ายแพ่ให้กับท่าทางของเธอแบบนี้จริงๆ 

 

 

           ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน เธอก็มักจะเย็นชากับเขาเช่นนี้เสมอ 

 

 

           เขารู้สึกว่าระยะห่างระหว่างเธอกับเขาดูเหมือนจะยิ่งไกลออกไปทุกที เฮ้อ ถอนหายใจในใจ ทันใดนั้นรู้สึกว่าอาหารนั้นไม่อร่อยอย่างยิ่ง 

 

 

           เห็นได้ชัดว่าฉู่เจียเสวียนอยู่ตรงหน้าเขา แต่เขารู้สึกว่าระยะห่างระหว่างพวกเขาเหมือนมีภูเขามากั้น ไม่ว่าคุณจะเอื้อมมือออกไปเท่าไรก็ไม่ถึง 

 

 

           หลังจากกินข้าว ทั้งสองคนก็ยืนอยู่หน้าประตูร้านอาหารเก๋อหลิน 

 

 

           ดวงอาทิตย์ส่องสว่างอยู่ด้านนอก และส่องกำลังประกายอยู่บนตัวทั้งสองคน ให้ความรู้สึกสงบอย่างมาก ผู้ชายมีสีหน้าเย็นชา ส่วนผู้หญิงมีใบหน้าเปื้อนยิ้ม 

 

 

           ฉู่เจียเสวียนหมุนตัวมาหาเผยหนานเจวี๋ย ก่อนที่เธอจะเอ่ยปาก เผยหนานเจวี๋ยยื่นมือดึงฉู่เจียเสวียนเข้ามากอด “เจียเสวียน ดูแลตัวเองให้ดี” 

 

 

           “เผยหนานเจวี๋ย ปล่อยฉันนะ!” คิดไม่ถึงว่าเผยหนานเจวี๋ยจะกอดเธอกะทันหัน เธอตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็ผลักเขา 

 

 

           “อย่าดิ้น แค่กอดนิดเดียว นิดเดียว” เผยหนานเจวี๋ยกอดเธอแน่นไม่หยุด 

 

 

           เขาไปต่างประเทศครั้งนี้ ก็ต้องจากเธอไปอีกหลายวัน 

 

 

           ฉู่เจียเสวียนได้ยินน้ำเสียงที่สิ้นหวังของเผยหนานเจวี๋ย รู้สึกปวดใจเล็กน้อยและลืมที่จะดิ้นรน จนกระทั่งเผยหนานเจวี๋ยคลายกอด มองเธออย่างลึกซึ้ง ไม่รอเธอตอบก็หันหลังจากไป 

 

 

           ทุกครั้งเขาจะเป็นฝ่ายมองดูเธอจากไป ครั้งนี้ก็ให้เธอมองดูเขาบ้างเถอะ 

 

 

           ฉู่เจียเสวียนยืนอยู่ที่เดิม มองดูเงาที่สูงตรงของเผยหนานเจวี๋ยที่ไกลออกไปเรื่อยๆ บอกไม่ได้ว่าในใจรู้สึกอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นแววตาก่อนจะจากไปของเขาหมายถึงอะไรกันแน่ 

 

 

           เธอไม่ต้องการไปค้นหาความจริง ยิ่งไม่ต้องการจะสนใจ หันหลังกลับ ขึ้นรถแล้วจากไป 

 

 

           กลางคืนคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบๆ แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว 

 

 

           บนเครื่องบิน เผยหนานเจวี๋ยเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เมฆที่อยู่นอกหน้าต่างดูเหมือนว่าสามารถเอื้อมถึงได้ ก็เหมือนกับฉู่เจียเสวียน ที่เดิมทีนึกว่าเพียงเอื้อมก็สามารถคว้าเอาไว้ได้ แต่ว่าระหว่างพวกเขากลับมีแม่น้ำขวางกั้น ไม่ว่าเขาจะเอื้อมสุดแขนแค่ไหนก็ไม่สามารถโอบกอดเธอได้