“ไม่ใช่สิ เขาคนนั้นคือฝ่าบาทต่างหาก” 

 

 

เพราะรูแฮคือฮวางเซจา แม่นมเอียงคอหลังจากฟังเสียงพูดอันรวยรินของกโยซึล 

 

 

“ทรงไม่ได้พบฝ่าพระบาทหรือเพคะ” 

 

 

“เราบอกว่าเขาคือฝ่าบาทอย่างไรล่ะ เขาคือฝ่าบาท” 

 

 

“หม่อมฉันไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นเพคะ” 

 

 

แม่นมหยุดพูดหลังจากที่พยายามจะบอกว่าบีพาอันมาตามหานาง กโยซึลยังมีไข้ทำให้นางยังไม่มีสติและเอาแต่พูดถึงฮวางเซจา 

 

 

ทรงไม่ได้เจอกับฝ่าพระบาทหรอกหรือ หรือว่าอาการป่วยไข้นี้จะเกิดขึ้นเพราะฝ่าบาทกัน 

 

 

แม่นมคิดไตร่ตรองอยู่เพียงในใจ นางจัดระเบียบความคิดได้ว่ายังไม่จำเป็นจะต้องพูดเรื่องบีพาอันให้กโยซึลที่ยังคุมสติไม่ได้ฟังในตอนนี้ กโยซึลบ่นพึมพำครู่หนึ่ง จากนั้นก็ผล็อยหลับไปด้วยพิษไข้ 

 

 

“ฝ่าบาท…ยู ยูอึลจิน” 

 

 

ธารน้ำตาอันบางเบาไหลจากหางตาของกโยซึล มันไหลอาบจนผมใต้หูของนางเปียกชื้น  

 

 

“นี่คือพิษแห่งความร้อนรุ่มหรอกหรือเพคะ โถ่ถัง พระชายาผู้น่าสงสาร” 

 

 

แน่นอนว่ากโยซึลไม่ได้ถูกบีพาอันตำหนิมา เพราะนางไม่ได้พบเขาในวันนั้น แล้วเหตุใดนางถึงต้องมาทรมานด้วยอาการไข้เช่นนี้กัน แม่นมเช็ดตัวให้กโยซึลราวกับว่าเคยชินไปเสียแล้ว ราวกับว่าแม่นมคาดหวังว่าการเช็ดนี้จะช่วยขจัดความเจ็บปวดในหัวใจของกโยซึลไปได้ 

 

 

“เพียงแค่พบเจอเขาเหตุใดถึงได้ตรอมตรมถึงเพียงนี้กันเพคะ เขาฝังพิษไข้เข้ามาในหัวใจของพระชายาได้ถึงขนาดนี้เลยหรือเพคะ ทรงให้เขาทำให้บุปผาแห่งความร้อนรุ่มเบ่งบานขึ้นมาได้อย่างไรกันเพคะ โถ่ พระชายา” 

 

 

ทรงเป็นพระชายาแห่งองค์ฮวางแทจานะเพคะ 

 

 

คำพูดต่อท้ายนี้นั้น แม่นมไม่ได้พูดออกไป นางกลืนคำต่อท้ายนั้นลงไป แม่นมกล่าวโทษบีพาอันผู้เ**้ยมโหดอย่างไร้ที่สิ้นสุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากเพียงแต่เขาเป็นชายที่อบอุ่นกว่านี้สักน้อย หากเขา 

 

 

สนใจกโยซึลมากขึ้นเพียงนิด กโยซึลก็คงจะไม่ต้องไปรู้สึกผูกพันกับชายที่ไม่ควรรู้สึกผูกพันด้วย แล้วก็คงจะไม่ต้องเจ็บปวดใจถึงเพียงนี้ 

 

 

 

 

 

ในคืนหนึ่งซึ่งผ่านมาเป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วที่กโยซึลล้มป่วยอยู่บนเตียงเช่นนี้ ร่างกายของนางยังคงร้อนผ่าวจากพิษไข้ บรรดาข้ารับใช้ที่เฝ้าอยู่เคียงข้างเพื่อคอยเช็ดตัวให้กโยซึลทั้งวันทั้งคืนตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมานั้น ก็พากันนอนขดตัวเป็นกุ้งจากความเหนื่อยล้า บ้างก็นอนพิงที่ข้างเตียง บ้างก็นอนพิงประตู  

 

 

ในคืนที่เงียบสงัดนั้นเอง เงาหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา เขาเลื่อนเปิดประตูตำหนักด้วยตนเอง จากนั้นก็เข้ามายังห้องบรรทมชั้นใน เขาเข้ามายังจุดหมายโดยไม่ลังเลหรือละล้าละลังเลยไม่แต่น้อย ราวกับว่าคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี เงาทอดยาวและมืดสนิทนั้นได้เข้ามาหากโยซึลด้วยย่างก้าวที่เบาหวิว แม่นมที่ยังหลับไม่ลึกรู้สึกได้ว่ามีคนมาเยือน นางจึงลืมตาขึ้น ทันทีที่แม่นมลืมตา ตาของนางก็ไปสบเข้ากับดวงตาของเจ้าของเงาดำนั้น 

 

 

“ชู้ว” 

 

 

เขาวางนิ้วเรียวยาวลงบนริมฝีปากของตัวเอง แม่นมที่ตกใจพยายามกลืนน้ำลาย เอามือปิดปากตัวเองไว้ และพยักหน้าให้เขา เขาปล่อยมือตัวเองลงพลางพูดด้วยเสียงเบาว่า 

 

 

“อย่าได้บอกใครว่าเรามาที่นี่” 

 

 

แม่นมพยักหน้าอีกครั้ง นางออกจากห้องไป เพื่อหลีกทางให้แขกเยี่ยมไข้ปริศนาผู้นั้น มีข้ารับใช้หญิงหลายคนอยู่ในห้อง แต่มีเพียงสองคนที่อยู่ใกล้เตียงนอน นั่นก็คือกโยซึลกับเขาคนนั้น เมื่อเหลือกันเพียงสองคน สายตาของเขาก็หันไปมองกโยซึล นางยังคงไม่ได้สติเนื่องจากพิษไข้ นางละเมอพึมพำด้วยความเจ็บปวด สภาพของนางนั้นน่าสงสารยิ่งนัก จนเขาที่เฝ้ามองดูอยู่นั้นถึงกับใจสลาย เขาขมวดคิ้วพลางแสดงความรู้สึกเจ็บปวดอันเรือนลางออกมา  

 

 

“ใยจึงเจ็บปวดได้ถึงเพียงนี้” 

 

 

น้ำเสียงของเขาฟังดูมืดมน ราวกับว่ากำลังถอนหายใจก็มิปาน เขาขมวดคิ้วมุ่นยิ่งขึ้น ระคนไปด้วยความรู้สึกเป็นห่วงกโยซึลกับความเจ็บปวดหัวใจ เขาค่อยๆ ยกมือขึ้น ใช้หลังมือของตนสัมผัสไปที่แก้มของ 

 

 

กโยซึล แม้นี่จะเป็นฤดูร้อน แต่ลมในยามค่ำคืนก็ช่างเย็นเหลือเกิน แต่ลมนั้นก็ยังเต็มไปด้วยพลังแห่งความอบอุ่น ซึ่งก็คือความอบอุ่นจากมืออันอ่อนนุ่มของเขานั่นเอง อุณหภูมิไข้จากกโยซึลที่สัมผัสปลายนิ้วของเขานั้นก็ร้อนมากเช่นกัน เขาชักมือออกราวกับว่าได้ถูกไข้ของกโยซึลแผดเผา เขาส่ายหัวไปมาราวกับกำลังปฏิเสธอะไรบางอย่าง เครื่องประดับที่ทำจากทองที่ห้อยอยู่บนเสื้อผ้าท่อนบนของเขานั้นแกว่งไปมาพร้อมเครื่องประดับเส้นยาว หยกและอัญมณีสีทองที่ติดอยู่ตรงปลายก็ปลิวไสวและกระทบเข้าหากัน เขาไม่สามารถละสายตาจากกโยซึลได้เลย 

 

 

“เราจะทำอย่างไรกับเจ้าดี” 

 

 

มือที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวค่อยๆ ยื่นไปหากโยซึลอย่างช้าๆ เป็นมือที่หนักอึ้ง หวาดกลัว 

 

 

กโยซึลที่กำลังหลับไหลอยู่ด้วยพิษไข้ ระคนไปกับความวิตกกังวล เนิบๆ ทีละน้อย ช้าๆ จนปลายนิ้วที่ขยับอย่างเนิบช้าเพราะความเศร้าสร้อยแตะที่ตัวกโยซึลอีกครั้ง ในตอนที่เขาแตะตัวนางนั้น ก็มีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของกโยซึล ไม่รู้ว่าน้ำตานั้นมาจากพิษไข้ หรือจากหัวใจกันแน่ และแล้วนางก็ … 

 

 

“…จิน” 

 

 

น้ำตาของกโยซึลไหลออกมาทันทีที่มือของเขาสัมผัสนาง และเสียงร้องเรียก ‘จิน’ ที่ยังไม่จบสมบูรณ์นั้น ทำให้เขาฝังน้ำตาไว้ในใจ แม้ว่าชื่อที่นางเรียกจะไม่ชัดเจน แต่เขาก็รู้ได้อย่างชัดเจนว่านางกำลังร้องเรียกใคร มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย และศีรษะที่ขยับไปมาเพราะความกังวลนั้นก็หยุดลง ดวงตาที่พร่ามัวของเขาสะท้อนความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างชัดเจน 

 

 

“เพียงพอแล้ว” 

 

 

คำพูดสั้นๆ นั้นไร้ซึ่งความสับสนใดอีก น้ำเสียงราบเรียบนิ่งสนิท เขาเช็ดน้ำตาให้นางด้วยท่าทางอ่อนโยน แล้วหันออกมา แม้จะหยุดชะงักครู่หนึ่งแต่ก็ไม่ได้หันกลับไปมอง เช่นเดียวกับที่เขาเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาก็ออกไปโดยไม่ลังเล เขาเลื่อนเปิดประตูและเดินจากไป หลังจากที่เขาออกไปแล้ว แม่นมก็กลับมาที่ห้องของกโยซึล 

 

 

“โถ่! นี่มันเรื่องอะไรกันเพคะ” 

 

 

แม่นมยังคงเอามือปิดปากของตนไว้ กะพริบตาปริบๆ พลางหันไปมองที่นั่งว่างข้างเตียงนอนที่ 

 

 

กโยซึลกำลังหลับใหล สลับกับการมองไปยังประตูตำหนักที่ปิดสนิท นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชายคนนั้นได้เคยมาที่นี่เมื่อไม่กี่นาทีก่อน เพราะความประหลาดใจที่เขามาหากโยซึล แม่นมจึงไม่อาจะละสายตาจากประตูได้เลยอยู่เป็นเวลานาน