ตอนที่ 29-1 คำอ้อนวอน

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

ผู้ปกครองวังทั้งสี่มารวมตัวกัน ณ ที่แห่งเดียวกัน พวกเขากำลังออกมาจากห้องโถงใหญ่ของพระราชวังกลาง จักรพรรดิออฮยูลเจเรียกพวกเขามาสัปดาห์ละครั้งเพื่อหารือเกี่ยวกับกิจการบ้านเมือง ในขณะที่พวกเขาแต่ละคนกำลังเดินทางกลับนั้น บีพาอันก็ได้แวะไปเยี่ยมชมอุทยานดอกไม้ของของพระราชวังกลาง เขารู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังแอบตามเขามา

 

 

“แสดงตัวออกมาเสีย”

 

 

เขาพูดออกไปโดยไม่ได้แม้แต่หันไปมองเลยสักนิด เงาที่อยู่ห่างออกไปกำลังเดินเข้ามาหาบีพาอัน เขาคือรูแฮนั่นเอง

 

 

“มีเรื่องอันใด ฮวางเซจาอย่างเจ้าเหตุใดจึงมาแอบตามคนอื่นราวกับพวกไม่มีการงานทำเช่นนี้”

 

 

แม้บีพาอันจะพูดสบประมาทเขา ทว่ารูแฮก็ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าแต่อย่างใด เพราะเขาเคยชินกับวิธีการพูดแบบนี้ของบีพาอันแล้ว บีพาอันมักจะดูถูกคนที่อยู่ต่ำกว่าเขาว่าเป็นพวกต่ำต้อย รูแฮมายืนข้างบีพาอันแล้วพูดว่า

 

 

“กระหม่อมได้ยินว่าชายากำลังทรงพระประชวร”

 

 

“เราเพิ่งทราบว่าชายาของฮวางเซจาทรงประชวรอยู่”

 

 

รูแฮใช้คำว่า ‘ชายา’ เฉยๆ บีพาอันจึงเบี่ยงเบนให้เป็นการพูดถึงชายาฮวางเซจา รูแฮกัดริมฝีปากของตน หลังได้ฟังที่บีพาอันตอบกลับมาอย่างไม่แยแสเช่นนั้น

 

 

“กระหม่อมพูดถึงพระชายาฮวางแทจา กโยซึลขอรับ”

 

 

“ในพระราชวังที่เข้มงวดแห่งนี้ การเรียกผู้อื่นอย่างถูกตามยศถาบรรดาศักดิ์ เห็นจะเป็นที่ควรแก่สถานะของเจ้ามากกว่านะ รูแฮ”

 

 

“ท่านพี่ฮวางแทจา!”

 

 

ทันทีที่รูแฮขึ้นเสียง บีพาอันก็หันไปมองเขาหน้าตายราวกับกำลังสวมหน้ากาก แม้บีพาอันจะมีสีหน้าเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ก็ไม่ใช่สีหน้าที่อ่านไม่ออกถึงเพียงนี้ ราวกับว่าบีพาอันอยู่บนโลกอีกใบที่สูงส่งกว่าตน

 

 

“กล้าดีอย่างไรถึงได้มาขึ้นเสียงต่อหน้าฮวางแทจาเช่นนี้”

 

 

เสียงต่ำของบีพาอันดังขึ้นอย่างมีอำนาจ รูแฮตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับกำหมัดแน่น

 

 

“ขอประทานอภัยขอรับ กระหม่อมได้เสียมารยาทแล้ว”

 

 

“น้องของเราได้สำนึกผิดเช่นนี้ เราก็จะถือว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น”

 

 

“ท่านพี่ได้ทรงไปเยี่ยมพระชายาฮวางแทจาบ้างหรือไม่ขอรับ”

 

 

บีพาอันมองรูแฮอย่างนิ่งๆ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของเขาดูมืดมนจนไม่อาจหยั่งถึงความลึกได้ เกิดแสงวาบในความมืดมนราวกับทะเลลึกนั้น

 

 

“เราไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องพูดบอกกับเจ้าในเรื่องไม่สลักสำคัญเช่นนี้เลย”

 

 

น้ำเสียงของบีพาอันนิ่งสงบดังเช่นปกติ รูแฮรู้สึกว่าตัวเองน่าอนาถยิ่งขึ้น ต้นไม้ที่ไม่กล้าปีน ผู้ที่ตนไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้อง การที่ตนเองมายืนอยู่ข้างเขาเช่นนี้ ก็ยังรู้สึกว่าเป็นการไม่ให้เกียรติ สรุปแล้วคนผู้นี้ยังเป็นมนุษย์ที่มีหัวใจที่เต้นอยู่หรือไม่ ด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนเลยบนใบหน้าขาวผ่อง น้ำเสียงราบเรียบและเย็นยะเยือกนั้น รูแฮไม่อาจเชื่อได้เลยว่าบีพาอันเป็นมนุษย์ปกติที่กินข้าว นอนหลับ และมีหัวใจที่เต้นอยู่ ตนสงสัยว่าเลือดของบีพาอันจะเย็นด้วยไหมหรือไม่ สงสัยว่าในชีวิตนี้จะมีสักครั้งไหมที่บีพาอันจะแสดงความรู้สึกตื่นเต้นใดออกมา สงสัยว่าหน้าขาวผ่องราวกับเป็นหน้ากากนั่นจะสามารถแตกออก และแสดงสีหน้าต่างๆ ออกมาได้หรือไม่

 

 

“ไม่ได้ทรงไปเยี่ยมนางบ้างเลยหรือขอรับ”

 

 

“ถ้าจะเอาแต่ถามอะไรที่ไม่น่าอภิรมย์เช่นนี้ ก็เชิญเจ้ากลับไปเสียเถอะ”

 

 

“ฝ่าพระบาทฮวางแทจา!”

 

 

เพียะ!

 

 

ในตอนนั้นเองบีพาอันใช้หลังมือของตนตบเข้าที่แก้มของรูแฮ รูแฮต้านแรงเพื่อหันหน้ากลับมา พลางมองหน้าของบีพาอัน

 

 

“ดูเหมือนตัวน้องเองจะไม่ได้สำนึกผิดจริงๆ เจ้าอยากให้พี่ลงโทษเช่นนั้นหรือ”

 

 

“อย่าทำเช่นนี้เลยขอรับ ท่านพี่มิทรงห่วงชายาบ้างเลยหรือขอรับ”

 

 

เมื่อบีพาอันกำลังจะตบเขาอีกครั้ง รูแฮยกมือขึ้นจับข้อมือของบีพาอันซึ่งกำลังเคลื่อนไปที่แก้มของตนเอาไว้ แต่บีพาอันนั้นก็หาได้มีสีหน้าแปลกใจไม่ เขาพูดด้วยสีหน้านิ่งเรียบ

 

 

“เราว่าเราบอกเจ้าชัดเจนแล้วนะว่าให้เรียกนางด้วยตำแหน่งที่ถูกต้อง ดูเหมือนว่าตัวน้องนั้นพออายุเกินยี่สิบแล้วความทรงจำจะแย่ลง”

 

 

“ท่านพี่ ท่านไม่คิดว่านางอยู่ในสภาพที่น่าสงสารหรือขอรับ ไม่คิดว่าหญิงที่มาจากแดนไกลผู้นั้นน่าสงสารเลยหรือ เหตุใดท่านถึงไม่แสดงความเห็นอกเห็นใจบ้างเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวตัวเล็กๆ ผู้นั้นต้องทุกข์ระทมอยู่กับความเศร้าใจจนล้มป่วย นางเป็นชายาเอกท่านมิใช่หรือ การกอดและปลอบนางนั้นมันยากเย็นถึงเพียงนั้นเลยหรือขอรับ”

 

 

รูแฮพูดออกมาด้วยความทุกข์ระทม เขาได้พูดสิ่งที่เขาไม่อยากพูดออกมาในที่สุด คำที่ว่านางคือพระชายาเอกของคนผู้นี้ คำที่ว่าให้คนผู้นี้กอดนาง คือคำที่ตนไม่เคยอยากจะพูดกับบีพาอันเลย แต่มันก็ช่วยไม่ได้เพราะบีพาอันที่เหมือนถูกสร้างขึ้นมาจากก้อนน้ำแข็งนั้น ช่างเย็นชาเสียเหลือเกิน ถ้าบีพาอันยอมรับฟังคำพูดของตน และโอบกอดกโยซึลบ้าง นางก็คงจะรู้สึกอบอุ่นแม้เพียงครู่ ตราบใดที่อาจจะช่วยให้นางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาได้บ้าง รูแฮก็ต้องการทำทุกอย่างที่ทำได้ เขาตั้งปณิธานแล้วว่าจะยอมแม้ต้องตัดกระดูกของตัวเองก็ตาม

 

 

แม้รูแฮจะใช้ความตั้งใจพูดออกไปถึงขนาดนั้น แต่บีพาอันก็ยังคงตอบกลับอย่างไม่แยแสและไร้หัวใจเช่นเคย เขาตอบกลับมาด้วยถ้อยคำที่ราวกับว่าเขาได้บรรลุถึงความสุขสงบในชีวิตไปแล้ว

 

 

“นางที่รูแฮพูดถึงนั้น เราไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด แต่ชายาเอกของเรานั้นเป็นถึงพระชายาฮวางแทจา รูแฮเองควรจะเรียกนางว่าพระชายาถึงจะถูกต้อง”

 

 

รูแฮปล่อยข้อมือของบีพาอันที่ตนได้คว้าเอาไว้ก่อนหน้านี้ลง ส่วนบีพาอันเองก็เก็บมือกลับไปราวกับว่าทำเพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองตบแก้มของรูแฮได้อีก รูแฮแสร้งทำเป็นหัวเราะออกมา เพราะเขารู้สึกแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเขานั้น เป็นคนที่เกินเยียวยาเสียจริง

 

 

“ทราบด้วยเกล้าขอรับ ท่านพี่ ไม่สิ…ข้าลืมไปเองชั่วขณะว่าองค์ฮวางแทจาเป็นคนเช่นไร”

 

 

“เรายินดียิ่งที่ตัวเจ้าตระหนักขึ้นมาได้”

 

 

บีพาอันตอบด้วยน้ำเสียงโทนต่ำที่ราบเรียบ

 

 

“น่าเสียดายจริงๆ นะขอรับ ที่พระชายากโยซึลได้เป็นพระชายาของท่าน เหตุใดพระชายาจึงต้องสมรสกับท่าน ไม่ใช่กับคนอื่น”

 

 

รูแฮจ้องมองไปที่บีพาอัน ด้วยคำถามหยาบคาย บีพาอันลูบกรามของเขาและพูดว่า

 

 

“รูแฮ เจ้ามีอะไรแอบแฝงในคำพูดนั้นนี่เอง”

 

 

“ใช่ ท่านพูดถูก พอจะรู้หรือไม่ว่าคำพูดของกระหม่อมนั้นมีนัยยะใดซ่อนอยู่”

 

 

ดวงตาที่เดือดดาลของรูแฮสบเข้ากับแววตาเย็นชาของบีพาอัน เป็นการปะทะกันของสายตาที่สามารถเผาผลาญได้เสียทุกสิ่ง กับสายตาที่แช่แข็งได้ทุกอย่าง ความสุดขั้วทั้งสองด้านมาปะทะกันราวกับว่าเปลวไฟอันหนาวเหน็บกำลังจะปะทุออกมา