ตอนที่ 29-2 คำอ้อนวอน

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

พวกเขาจ้องตากันโดยไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง ดวงอาทิตย์ที่กำลังเริ่มแผดเผาในฤดูร้อนนั้นลอยเลื่อนมาอยู่เหนือทั้งคู่ บีพาอันโต้ตอบกับรูแฮด้วยแววตาเช่นที่เคยเป็น พลางพูดออกมาว่า

 

 

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่พอใจที่ชายาของเราแต่งงานกับเรา และอยากให้นางแต่งงานกับเจ้าแทนใช่หรือไม่”

 

 

รูแฮสะดุ้งเฮือกและตัวสั่นเทา ราวกับว่าไม่ได้คาดคิดว่าบีพาอันจะพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาได้ถึงเพียงนี้

 

 

“และสาเหตุที่นางป่วยหนัก ก็เพราะว่านางรู้สึกแบบเดียวกันกับเจ้า…”

 

 

“องค์ชายาฮวางแทจามิได้รู้เรื่องด้วยขอรับ นางไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น มีแค่กระหม่อมที่รู้สึกไปเองฝ่ายเดียว!”

 

 

รูแฮขัดบีพาอันด้วยการตะโกนใส่เขา เป็นการกระทำที่หากในยามปกติ แม้แต่จะคิดก็ผิดแล้ว แต่ในตอนนี้นั้นรูแฮไม่รู้สึกเกรงกลัวบีพาอันอีกต่อไป ครั้งนี้บีพาอันเองก็ทำเพียงแค่มองไปที่รูแฮด้วยสายตาที่สงบและเย็นชา

 

 

“อืม แต่ที่เราเห็นหาได้เป็นเช่นนั้นไม่”

 

 

“ท่านพี่จะปลดพระชายาฮวางแทจาเช่นนั้นหรือขอรับ”

 

 

“รูแฮคิดว่าเราจะจัดการเช่นไร”

 

 

“ขอทรงปล่อยพระชายาไว้เถิด ลงโทษกระหม่อมเพียงคนเดียวเถิด พระชายามองแต่ท่านเพียงคนเดียว มีเพียงกระหม่อมฝ่ายเดียวที่มีใจให้พระชายา พระชายาทรงไม่เคยมีใจเสน่หากระหม่อมเลยสักครั้ง”

 

 

เสียงของรูแฮเริ่มแห้งเหือดลง

 

 

“รูแฮ เจ้ากำลังท้าทายเราโดยไม่ยำเกรงหรือ”

 

 

“กระหม่อมคิดเรื่องนี้มานานแล้ว และได้ตัดสินใจไปแล้ว”

 

 

“อ้อ เราเข้าใจแล้ว เจ้ากำลังจะเขี่ยชายาของตัวเองทิ้งนี่เอง ใช่หรือไม่”

 

 

คำถามกะทันหันของบีพาอันทำให้ดวงตาของรูแฮเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ แม้ว่าเขาจะรู้สึกผิดกับยอมินชายาของตนอยู่บ้าง ทว่าเขาก็ไม่เคยนึกถึงใบหน้าของนางขึ้นมาเลย เมื่อบีพาอันพูดถึงปัญหาที่เขาไม่เคยคิดจริงจังมาก่อน รูแฮก็พูดอะไรไม่ออกและถึงกับคอตก

 

 

“เจ้ามายุ่งเรื่องของเราได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าเองก็ไม่รู้จักดูแลชายาของตนให้ดี เรามองรูแฮคนนี้ผิดไปแน่แล้ว”

 

 

น้ำเสียงอันเยือกเย็นของบีพาอันกดทับรูแฮอย่างหนักหน่วง

 

 

“ได้โปรดโอบกอดพระชายาไว้ด้วยเถิดขอรับ”

 

 

เสียงพูดที่เค้นออกมาของรูแฮนั้นแห้งเหือด เขารู้สึกเกลียดบีพาอันที่ทำให้ตนต้องพูดซ้ำคำเดิมที่เคยพูดออกไปแล้ว

 

 

“เราไม่โอบกอดหญิงคนไหนทั้งนั้น”

 

 

เมื่อได้ยินน้ำเสียงเรียบเฉยของบีพาอัน รูแฮก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้าของบีพาอันสงบและไร้ซึ่งการแสดงออกถึงความรู้สึกใด

 

 

“เราจะไม่ปลดนาง เพราะนางจะเป็นประโยชน์ต่อเราในภายภาคหน้า”

 

 

คำพูดของบีพาอัน ทำให้รูแฮกัดริมฝีปากจนได้ลิ้มรสเลือดที่ไหลซึมออกมาระหว่างริมฝีปากตน

 

 

“ฝ่าพระบาทฮวางแทจาทรงทำให้กระหม่อมน่าสมเพชยิ่งนักขอรับ”

 

 

“เรามิได้มีเจตนาที่จะทำให้เจ้าเป็นทุกข์เลย รูแฮ”

 

 

รูแฮที่มีใบหน้าที่ดูนุ่มนวลและอ่อนโยนอยู่เสมอในตอนนี้โกรธจัด และตะโกนใส่บีพาอันว่า

 

 

“กระหม่อมจะไม่ทนนั่งดูอยู่เฉยๆ เป็นแน่ กระหม่อมจะไม่ปล่อยให้นางต้องอยู่ลำพังเช่นนั้น กระหม่อมได้มาถึงจุดที่ไม่สามารถปล่อยนางไว้เช่นนั้นได้อีกแล้ว เพราะตัวท่านเองได้ทอดทิ้งหัวใจอันอ่อนแอของนางไปเสียแล้ว”

 

 

“เราไม่รู้ว่านางที่รูแฮกำลังพูดถึงนั้นคือหญิงสาวคนใด”

 

 

“กระหม่อมจะไม่เรียกท่านว่าท่านพี่ หรือแม้แต่ท่านพี่ฮวางแทจาอีกต่อไป ฝ่าพระบาทฮวางแทจา”

 

 

รูแฮกำหมัดแน่น ตัวสั่นระริก เขาหันหลังและเดินออกไปจากอุทยาน บีพาอันเองก็หันหน้าไปมองดอกไม้ในอุทยานที่กำลังเริ่มมีสีสันมากขึ้นราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน แม้ไม่มีใครชม แต่กลีบดอกไม้สีเข้มอวดความเป็นตัวเองอย่างมาก เขาเอื้อมมือไปสัมผัสดอกไม้ที่งดงามที่สุดดอกหนึ่งจากนั้นก็ใช้มือบีบมัน เขาหยิบกลีบดอกไม้ที่ฉีกขาดแล้วนำมันมาใกล้ๆ ปากของตน กลีบดอกไม้นุ่มเฉียดผ่านริมฝีปาก กลิ่นหอมหวานเตะเข้าจมูก เขาโยนกลีบดอกไม้ลงบนพื้นและก้าวออกจากอุทยานไป

 

 

***

 

 

หลังจากก้าวเท้าออกมาจากอุทยานดอกไม้อย่างรวดเร็ว รูแฮก็ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังตำหนักของตน แต่ไปอีกทางหนึ่งซึ่งก็คือพระราชวังตะวันออก เมื่อเขาเดินผ่านหญิงข้ารับใช้ของวังตะวันออก พวกนางก็ลดศีรษะลงเพื่อทำความเคารพ หากเป็นในสถานการณ์ปกติ เขาก็คงยินดีที่จะตอบรับการทำความเคารพของพวกนางด้วยรอยยิ้ม แต่ในครั้งนี้เขาไม่ได้มองพวกนางเลย และยังคงตั้งใจเดินไปข้างหน้าต่อ เมื่อรูแฮมาถึงที่ตำหนักของกโยซึล เขาก็หยุดอยู่ที่บันไดหิน และถามเหล่าซังกุงที่เฝ้าอยู่หน้าประตูตำหนักว่า

 

 

“พระชายากโยซึลทรงอาการเป็นเช่นไรบ้าง”

 

 

“ไข้ของพระชายายังไม่ลดลงอย่างสมบูรณ์ แต่พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาแล้ว และส่งเสียงได้แล้วเมื่อสักครู่นี้เพคะ”

 

 

“โปรดไปแจ้งพระชายาว่ารูแฮมาเพื่อเยี่ยมไข้”

 

 

“ทราบด้วยเกล้าเพคะ ฝ่าบาทฮวางเซจา”

 

 

ซังกุงก้มศีรษะให้รูแฮ พลางแจ้งผ่านประตูตำหนัก คำพูดของซังกุงถูกส่งต่อไปยังนางกำนัลในตำหนักอีกด้านหนึ่งของประตู และยังคงถูกส่งต่อไปเรื่อยๆ จนไปถึง ซังกุงที่อยู่เบื้องหน้าประตูห้องบรรทม ซังกุงคนนั้นก็พูดกับห้องด้านในว่า

 

 

“พระชายาฮวางแทจาเพคะ ฝ่าบาทฮวางเซจา รูแฮ ทรงเสด็จมาเยี่ยมไข้พระชายา จะทรงดำเนินการเช่นไรเพคะ”

 

 

ในสถานการณ์ปกติซังกุงจะไม่ได้เพิ่มคำพูดสุดท้ายแบบข้างต้นต่อท้ายเข้าไป แต่ที่นางถามกโยซึลเกี่ยวกับเรื่องนี้นั้น เป็นเพราะว่าอาการของนางยังไม่ดีขึ้น เมื่อตอนมีแขกคนอื่นมาพบกโยซึลในตอนที่นางยังไม่ได้สติ แม่นมจะต้อนรับพวกเขาตามคำแนะนำของแพทย์หลวง แต่ตอนนี้กโยซึลต้องตัดสินใจว่าจะตอบรับการมาเยือนของรูแฮหรือไม่ เสียงของแม่นมดังออกมาจากห้องบรรทมชั้นในที่เงียบสงบ

 

 

“ขอแจ้งว่าวันนี้พระชายาไม่สะดวกให้เข้าเยี่ยม เพราะยังทรงรู้สึกไม่สบายพระวรกาย”

 

 

เมื่อได้ยินข้อความของกโยซึลจากซังกุงแล้ว รูแฮก็ถอนหายใจ อันที่จริงเขาคาดไว้แล้วว่านางจะต้องตอบกลับมาเช่นนี้ เพราะเขารู้ว่านางหลบเลี่ยงตนตั้งแต่ที่นางได้รับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของตน ว่าตนคือฮวางเซจาที่สวนของวังฝ่ายนอกครั้งนั้น จากนั้นมากโยซึลก็ไม่ไปปรากฏตัวที่สวนแห่งนั้นอีกเลย แม้จะเป็นที่ที่นางมาเดินเล่นประจำก็ตาม และเมื่อบังเอิญพบเขาที่นั่น นางก็ไม่ได้พยายามที่จะสบตากับเขาเสียด้วยซ้ำ เขามองไปที่บันไดหินซึ่งนำไปสู่ประตูตำหนักของกโยซึล และในที่สุดเขาก็เดินเข้าไป

 

 

“ฝ่า ฝ่าบาทฮวางเซจาเพคะ”

 

 

บรรดาซังกุงคาดหวังว่าเขาจะจากไปหลังถูกปฏิเสธ แต่เมื่อเขาพยายามขึ้นบันไดหินเพื่อมุ่งหน้าไปยังห้องบรรทมของกโยซึล พวกนางจึงร้องเรียกเขาด้วยความตกใจ อย่างไรก็ตามรูแฮไม่ได้ให้ความสนใจพวกนาง เขาถอดรองเท้าไว้บนบันไดหินเพื่อที่จะขึ้นไปยังระเบียงไม้

 

 

“ฝ่าบาทฮวางเซจา พระชายาฮวางแทจาทรงไม่อนุญาตให้เสด็จเข้าไปเพคะ!”

 

 

“ฝ่าบาทฮวางเซจา!”

 

 

เหล่าซังกุงเดินเข้ามาขวางรูแฮไว้ แต่ทว่าเขากลับเมินเฉยและตรงเข้าไปเปิดประตูตำหนักเพื่อเข้าไปยังห้องบรรทมชั้นในด้วยตัวเอง