ตอนที่ 1099 ตกใจจนหมดสติไป
“ก็แค่เงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำไมคุณชายเซียวถึงเป็นเช่นนี้ไปได้” ซูหลีมองเซียวรุ่ยที่ไม่มีสติด้วยสายตาเยียบเย็น นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
นางกำลังพูดเหน็บแนมอยู่
คนสกุลเซียวทุกคนไม่สามารถไปสู่จุดสูงสุดได้ เซียวรุ่นคนนี้เจตนาอยากให้นางเกิดความลำบากใจ ทว่าแม้แต่ความกล้าที่จะหยิบเงินไม่กี่หมื่นชั่งออกมาก็ไม่มี
มิหนำซ้ำยังตกใจจนหมดสติไปอีก
ช่างน่าขันนัก!
ซูหลีไม่มีทางเชื่อว่า สกุลที่ใช้ชีวิตกินอยู่อย่างหรูหราฟุ่มเฟือยอย่างสกุลเซียวจะไม่มีแม้แต่เงินไม่กี่หมื่นชั่ง
พูดแล้วก็คือ เซียวรุ่ยไม่มีความใจกล้ามากพอ คนที่ไม่มีความใจกล้าเช่นนี้ มิน่าก่อนหน้านี้นางถึงได้ไม่รู้จัก
“พี่เซียวหมดสติไปแล้ว ไยใต้เท้าซูต้องใช้วาจาทำร้ายผู้อื่นเช่นนี้ ในขณะที่ตนยังมีเรื่องที่คลุมเครืออยู่ พูดถึงก็ไม่เคยได้ยินเรื่องความเชี่ยวชาญด้านการค้าของสกุลซู ใต้เท้าซูเพิ่งมาเป็นขุนนางได้มินาน ทว่ากลับสามารถมาควักเงินให้หอโคมเขียวตั้งหมื่นชั่ง!”
“ใต้เท้าซูช่างมีทรัพย์สินมากมายโดยแท้!” ในขณะที่อยู่ในความวุ่นวาย บุรุษที่อยู่ข้างกายเซียวรุ่ยมาโดยตลอดพลันส่งเสียงเอ่ยขึ้น
คนคนนี้หากไม่เอ่ยอะไรก็จบเรื่องแล้ว ทันทีที่เขาเอ่ยขึ้น คำพูดล้วนเป็นคำพูดที่กระทบกระทั่งซูหลี
อีกทั้งในเนื้อความล้วนแฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง ประการหนึ่งต้องการสื่อว่าสกุลซูไม่มีทรัพย์สินอะไร ประการสองคือเอ่ยว่าซูหลีเป็นขุนนางได้ไม่นาน จะสามารถหยิบเงินจากที่ใดมาให้แม่นางยอดดอกเหมยคนหนึ่งได้…ในคำพูดนั้นแฝงด้วยความนัยบางอย่างที่มิสามารถอธิบายออกมาได้
“ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ยังได้ยินเขาลือกันว่า ใต้เท้าซูราชเลขากรมขุนนางรับเงินที่ไม่สมควรจะได้รับ เวลานี้ถึง…” หลังจากที่คนคนนั้นเอ่ยจบ ก็ได้ยินเสียงอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
ในคำพูดเพียงสองสามคำนี้ล้วนนำเรื่องที่ซูหลีใช้เงินอย่างทิ้งขว้างวันนี้มาเชื่อมโยงกับเรื่องในอดีตของซูไท่ ทั้งยังพูดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ดูเหมือนพวกเขาเห็นเรื่องการคดโกงของซูไท่ จนแม้กระทั่งเงินขอซูหลีก็ยังสกปรกก็มิปาน
เป็นคำพูดที่ไม่รื่นหูอย่างยิ่งยวด
รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าพลันจางลงเรื่อยๆ คนทั้งสองคนที่พูดออกมากนี้ล้วนเข้ามาพร้อมกับเซียวรุ่ย แค่คิดก็พอจะรู้ว่าทั้งสองคนเป็นสหายของเซียวรุ่ย
ในราชสำนัก สกุลเซียวนั้นมีพันธมิตรอยู่บ้าง ไม่แน่สองคนนี้ก็คงเป็นคนในสกุลพันธมิตรของสกุลเซียวเช่นกัน
ครั้นเห็นเซียวรุ่ยที่ถูกซูหลีทำให้โมโหจนกลายเป็นเช่นนี้ ทั้งทำให้เขาขายหน้าครั้งใหญ่ พวกเขาจึงเริ่มขุ่นเคืองจนต้องออกหน้าเข้าช่วยเหลือ
ซูหลีแสยะยิ้มเล็กน้อย คนเหล่านี้รู้เรื่องของนางยังไม่มากพอ อย่าว่าแต่คนตรงหน้าเลย แม้ท่านผู้เฒ่าของพวกเขามาที่นี้ นางก็มิเคยหวั่นเกรงมาก่อน!
“คุณชายทั้งสองระวังคำพูดด้วย เรื่องของราชเลขากรมขุนนาง ศาลต้าหลี่ยังมิได้ตัดสิน ทั้งสองท่านล้วนเป็นบุตรของขุนนาง ไยถึงพูดจาส่งเดชไปเรื่อย” สกุลเซียวมีพันธมิตร ซูหลีมิใช่คนที่หัวเดียวกระเทียมลีบ
นางยังไม่ทันเอ่ย เซี่ยอวี่เสียนที่อยู่ด้านหลังพลันลุกขึ้นยืนและตำหนิทั้งสองคนด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
ดวงใจของซูหลีหวั่นไหวเล็กน้อย ชำเลืองมองเขามองมาทางตนด้วยความเป็นห่วง นางเพียงส่ายหน้าเบาๆ สื่อกับเขาว่าไม่ต้องกังวลใจ
“สุภาษิตนั้นกล่าวไว้ว่า หากไม่มีลมก็ไม่เกิดคลื่น เรื่องนี้หากมิใช่ความจริง ไยวันนี้ใต้เท้าซูถึงทำตัวหรูหราฟุ่มเฟือย ใช้เงินสามหมื่นชั่ง เพียงเพราะซื้อราตรีแรกของแม่นางยอดดอกเหมยคนหนึ่ง!” สองคนนั้นยังไม่รู้จักเอาตัวรอด เห็นเช่นนี้ยังแสดงท่าทีสำรวมเลยแม้แต่น้อง มิหนำซ้ำยังพูดโต้เถียงกับเซี่ยอวี่เสียน
ใบหน้าของซูหลีนิ่งเฉย จากนั้นพลันหมุนกายมองไปยังทุกคนอย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะบุรุษทั้งสองคนที่เอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมาแล้วเอ่ยเสียงเบา
“คุณชายทั้งสอง นี่เป็นเรื่องน่าขันนัก ข้านั้นมีเงินทองมากมาย อีกทั้งเงินนี้ต้องการจะใช้อย่างไรก็แล้วแต่ข้า ขอเพียงข้าเบิกบานใจ อย่าว่าแต่ซื้อแม่นางยอดดอกเหมยคนหนึ่งเลย แม้ข้าจะโยนเงินเล่นตามถนนก็เป็นเงินของข้า มิได้มีความเกี่ยวข้องกับพวกที่อิจฉาริษยาข้าเลยแม้แต่น้อย!”
สีหน้าของทั้งสองคนพลันเปลี่ยนไป
ตอนที่ 1100 ไล่ออกไป!
“ใต้เท้าซูพูดได้หนักแน่นมาก ทว่าไม่รู้ว่าเงินของใต้เท้าซูนี้มีที่มาชัดเจนหรือไม่” มีคนหนึ่งในสองคนนั้นแม้แต่ความเกรงใจก็ไม่อยากแสร้งทำต่อไปแล้ว
เมื่อเอ่ยก็สื่ออย่างตรงไปตรงมาว่า เงินของซูหลีเป็นเงินสกปรก
ทันทีที่ซูหลีได้ยินกลับหัวเราะออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เมื่อนางหัวเราะขึ้น ยิ่งทำให้นางดูงดงามอ่อนช้อย ทำให้คนที่มองมิอาจละสายตาไปได้ บุรุษทั้งสองทันทีที่เห็นอดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว
“คำพูดนี้ พวกเจ้าไม่ควรถามข้า ควรจะไปถามคุณชายเซียวเสียมากกว่า!” ซูหลีหุบยิ้มและเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“หมายความว่าอย่างไร” สองคนนั้นมองหน้ากัน ต่างไม่เข้าใจความหมายของซูหลี
“แม้แต่ท่านทั้งสองก็ยังไม่รู้หรือ” สีหน้าของซูหลีคล้ายกับประหลาดใจ จากนั้นผงกศีรษะและเอ่ยว่า
“ก็จริง อย่างไรสกุลกู่ก็เป็นญาติสายเลือดเดียวกันกับสกุลเซียว กระทำเรื่องขายหน้าเช่นนี้ออกมา มิหนำซ้ำยังต้องชดใช้เงินห้าแสนชั่งให้กับเปิ่นกวน ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ไม่คุ้มค่าที่จะป่าวประกาศในผู้อื่นรับรู้!”
ทันทีที่เอ่ยจบ สีหน้าของบุรุษทั้งสองพลันเปลี่ยนไป อยากจะพูดโต้แย้งซูหลี ทว่าก็อดกลั้นจนทั้งใบหน้าแดงก่ำ
“เช่นนี้เหมือนกับเงินที่หล่นลงมาจากฟ้า ยามปกติแล้วข้าจะใช้ตามอำเภอใจ เพราะอย่างไรก็ไม่ใช่เงินของข้า เงินที่ได้เปล่าๆมาก้อนใหญ่ขนาดนี้ จะไม่ให้ข้าใช้ได้อย่างไร”
ซูหลีไม่คิดที่จะปล่อยพวกเขาไป
ในตอนแรกทั้งสองคนต้องการออกหน้าให้กับเซียวรุ่ย ทว่าครั้นใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้ว กลับมิใช่อย่างที่คิด
ที่กล่าวมาทั้งหมดว่าเงินของสกุลซูไม่ใสสะอาด ต้องการนำเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับซูไท่มาเชื่อมโยงกับเรื่องที่นางใช้เงินฟุ่มเฟือยในวันนี้ เพื่อเป็นการเติมถ่านให้กับเรื่องของซูไท่?
ทว่าต้องดูกว่านางยินยอมหรือไม่ถึงจะถูก
“…เงินนี่ถึงแท้จะเป็นเงินที่คนอื่นชดใช้ให้แก่เจ้า เจ้าเป็นสตรีนางหนึ่งเข้าไปในสถานที่ประเภทนี้ ซ้ำยังใช้เงินให้สถานที่เช่นนี้ ช่าง…”
“ช่างอะไรรึ” ซูหลีไม่รอให้คนคนนั้นเอ่ยจบก็ขัดจังหวะเขาทันที และเอ่ยว่า
“ประพฤติผิดทำนองคลองธรรม?”
คนที่พูดประโยคเมื่อครู่ออกมาถึงกับสะอึกไป สีหน้าเต็มไปด้วยโทสะ แม้เขาจะเอ่ยตอบ ทว่าความหมายเช่นนั้นจริงๆ
“คำพูดของคุณชายท่านนี้ช่างน่าขันนัก ท่านมาที่หอโคมเขียวเพื่อใช้เงิน แต่กลับมาวุ่นวายว่าข้าจะใช้เงินที่นี่หรือไม่ ขอถามท่านสักหน่อยเถิดว่าท่านเป็นใครกัน เป็นผู้อาวุโสของซูหลีคนไหนหรือ หรือเป็นคนข้างพระวรกายฮ่องเต้กัน”
“ข้า…” คนคนนั้นเมื่อถูกต้องซูหลีตอบโต้ขนาดนี้ เวลานี้ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี
“เกรงว่าเจ้าจะไม่ใช่ใครทั้งนั้น ในเมื่อไม่ใช่ ยังกล้าอาศัยปากของเจ้าตำหนิขุนนางราชสำนัก ใครทำให้เจ้ามีความมั่นใจและใจกล้าขนาดนี้กัน”
“สุภาษิตนั้นกล่าวไว้ว่า สุนัขจับหนูทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตน! คุณชาย อย่างไรก็ควรจัดการตนเองให้ดีก็พอแล้ว”
“ซูหลี จะ เจ้า…” คนคนนั้นถูกซูหลีตอกกลับจนหน้าหงาย เขาชี้นิ้วที่ซูหลีแต่พูดอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่
“หวังหมัวมัว หอหร่วนเซียงมีคนประเภทใดก็สามารถเข้ามาได้หรือ” ในขณะที่สถานการณ์เป็นเช่นนี้ ฉินม่อโจวที่ไม่เอ่ยอะไรตั้งแต่ต้น พลันเอ่ยขึ้นอย่างฉับพลัน
ใบหน้าของเขาฉายแววเยียบเย็น ทันทีที่เอ่ยประโยคนี้ ทำเอาคนทั้งหอหร่วนเซียงสะดุ้งโหยง
หวังหมัวมัวที่อยู่ด้านข้างตั้งแต่ต้น ในที่สุดก็ดึงสติกลับมา นางเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม เมื่อทราบว่าท่านอ๋องไม่พอพระทัยแล้ว ทุกคนต่างพากันยืนหลบไปด้านข้าง นางจึงเดินไปหาทั้งสองคนอย่างไม่ลังเลใจแล้วเอ่ยว่า
“คุณชายทั้งสอง วันนี้…”
“พวกเราไปกันเถอะ! อย่างไรที่นี่ก็เป็นเพียงหอโคมเขียวเท่านั้น แต่กลับคิดว่าตนเป็นที่หนึ่งในเมืองหลวง!”