696 – การมาของจ้าวเทวะ
ห้าศักดิ์สิทธิ์หนีไปต่อหน้าต่อตาพวกเขาจ้าวหนึ่งไม่พอใจ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
“พวกเรามันก็แค่เศษขยะจริงๆ!”
ซือหยูสร้างสถานการณ์อันสมบูรณ์แบบให้กับพวกเขาแต่พวกเขาก็ฆ่าห้าศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ ทุกคนที่นี่รู้สึกละอายใจอย่างมากและไม่กล้าจะเผชิญหน้ากับซือหยูได้อีก
…
ที่ปลายรอยแยกมิติของก้นบึ้งมังกรรอยแยกหลากสีสว่างจ้าขึ้น ถัดจากรอยแยกก็คือชายวัยกลางคนที่สวมผ้าคลุม เขาคือสี่ศักดิ์สิทธิ์!
“นายท่านข้าทำตามที่ท่านบอกแล้ว ข้าสะสมพลังชีวิตมากพอที่จะขยายรอยแยกจนจ้าวเทวะผ่านได้แล้ว”
สี่ศักดิ์ศิทธิ์ให้ความนับถือกับคนอีกฝั่งอย่างมาก
รอยแยกนี้คือจุดเชื่อมต่อระหว่างเฉินหลงกับจิวโจวสามปีมาแล้วที่มีเพียงเหล่าภูติที่ผ่านมาได้ นั่นเป็นเพราะเส้นทางนี้มิอาจผ่านได้โดยสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งเกินไป มันคล้ายกับกระโจมเทพสวรรค์ที่ไม่ให้คนที่มีพลังเหนือกว่าภูติเข้าไปได้
“เจ้าทำได้ดีเจ้ารวบรวมพลังชีวิตจากพวกคนอ่อนแอในจิวโจวมาขยายเส้นทางของสองโลก สามปีของพวกเราไม่ได้สูญเปล่า!”
แม้คนจากเฉินหลงจะสัมผัสพลังแปลกๆที่เก็บสะสมพลังวิญญาณของพวกเขาไปแต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจความหมายของมัน
“ของคุณที่ท่านเอื้อเฟื้อ”
สี่ศักดิ์สิทธิ์ตอบเบาๆ
“เอาล่ะขอบคุณที่เจ้าลำบาก ปล่อยที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของเหล่าจ้าวเทวะ เรื่องพวกแนวหน้าเจ้าก็รู้แล้ว ถ้าเราเดาไม่ผิด ทหารพวกนั้นมีพลังไม่น้อยไปกว่าหนึ่งในสิบของเรา พวกจ้าวเทวะก็เกินพอที่จะจัดการพวกมัน”
คำพูดอันน่าตกใจดังมาจากรอยแยก
จนถึงตอนนี้ทหารต่างโลกที่เข้ามาถึงเฉินหลงเป็นแค่ทหารแนวหน้า! กำลังที่แท้จริงยังมาไม่ถึงด้วยซ้ำ!
เห็นได้ชัดว่าทหารแนวหน้ามาที่นี่เพื่อดูลาดเลาของจักรพรรดิจิวโจวคนก่อน…
แม้ว่าทวีปเฉินหลงกำลังจะล่มสลายจักรพรรดิคนก่อนก็ไม่ปรากฏตัวออกมาสักครั้ง
“เพื่อความสำเร็จของราชาข้าข้าพร้อมทำทุกอย่าง…”
สี่ศักดิ์สิทธิ์พูดด้วยความนับถือ
ที่อีกฝั่งของรอยแยกเงียบไปผ่านไปชั่วเวลาหนึ่ง แสงจากรอยแยกสว่างจ้าขึ้น มันทำให้ก้นบึ้งมังกรอันมืดมิดสว่างไสว!
ถ้ารอยแยกเปิดออกเต็มทีเมื่อไหร่ทวีปเฉินหลงจะเข้าสู่ยุคมืด เสียงสดใสดังสะท้อนเข้ามา
“อ้อเป็นอย่างนี้นี่เอง…”
สี่ศักดิ์สิทธิ์หันไปมองความมืดเขาเห็นชายหนุ่มร่างผอมเดินออกมาอย่างเรียบเฉย
เขามีหน้าตาหล่อเหลาไม่ธรรมดาดวงตานั้นราวกับมีจักรวาลอยู่ภายใน
เขาสวมชุดที่ดูธรรมดาและไม่ได้เปรอะเปื้อนกับฝุ่นหรือเศษดินผมสีเงินของเขาถูกรวบไว้ที่ด้านหลัง
เมื่อสายลมพัดผ่านชุดขาวได้โบกสะบัดไปพร้อมกับเส้นผมสีเงิน มันช่างแตกต่างกับความมืดมิดของที่นี่ เขาดูเหมือนกับภูติผู้ยิ่งใหญ่ที่เพิ่งจะมาถึง
สี่ศักดิ์สิทธิ์เบิกตากว้าง
“เจ้าได้ยินอะไร?”
ซือหยูเดินมือไพล่หลังเข้ามาเขายิ้มที่มุมปาก
“ไม่ว่าเรื่องที่ควรได้ยินหรือเรื่องทีไม่ควรได้ยิน ข้าได้ยินมันทั้งหมดนั่นแหละ ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ได้มาสายไปนะ”
ถ้าซือหยูไม่ได้ยินเองก็คงยากจะเชื่อว่ากองทัพที่เฉินหลงได้ต่อสู้ด้วยนั้นเป็นเพียงทหารแนวหน้าส่วนเหล่าจ้าวเทวะที่เป็นกำลังที่แข็งแกร่งจริงๆนั้นยังไม่ปรากฏตัวด้วยซ้ำ
จ้าวเทวะ…ภาพของลู่จือยี่ปรากฏในใจซือหยูเขาตัวสั่นเมื่อคิดถึงความเยือกเย็นในสายตานาง เขาจะต้องไม่ปล่อยให้จ้าวเทวะมาถึงที่นี่ มิเช่นนั้นเฉินหลงจะต้องถูกทำลายอย่างแน่นอน!
“เจ้ามองแผนข้าออกตั้งแต่แรกเลยรึ?”
สี่ศักดิ์สิทธิ์หนักใจเล็กน้อย
“อย่ามามัวเสียเวลาอยู่เลยรอยแยกมันเริ่มขยายแล้ว ไม่มีใครหยุดมันได้อีกแล้ว”
ซือหยูเหลือบมองรอยแยกมิติและยิ้มออกมา
“จะใช่งั้นรึ?ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมเจ้าต้องแอบกลับมาคอยดูมันด้วยเล่า? ข้าว่าขั้นตอนที่มันขยายก็คงเป็นตอนที่มันอ่อนแอที่สุดมากกว่า”
สี่ศักดิ์สิทธิ์มีพลังมากพอที่จะสังหารพวกเขาทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัยแต่เขาก็เลือกที่จะกลับมาเพื่อปกป้องที่นี่ด้วยความระวังตัว นั่นแสดงถึงสภาวะที่อ่อนแอที่สุดของรอยแยกมิติที่แม้แต่ผู้บ่มเพาะพลังระดับต่ำก็ทำลายได้
“เจ้าค่อยพูดตอนที่เข้าใกล้มันได้เถอะ!”
สี่ศักดิ์สิทธิ์ปล่อยจิตสังหารออกมา
ซือหยูฉีกยิ้มกว้างขึ้นเขาเดาถูกเผง
ซ่า
เสียงถูกส่งผ่านมายังม่านแสงของรอยแยกมิติ
“นี่เจ้าเขาเป็นใครกัน?”
คนที่พูดมาคราวก่อนโพล่งออกมา
“นายท่านเขาคือผู้นำของทวีปนี้ เขาเป็นคนที่ล้างบางทัพทมิฬ เขายังฆ่าผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือไปแล้วด้วย”
สี่ศักดิ์สิทธิ์ตอบด้วยความนับถือ
“โอ้ฆ่ามันเดี๋ยวนี้ อย่าให้มันมาขวางแผนของเรา ข้าจะส่งสามศักดิ์สิทธิ์ไป…”
สี่ศักดิ์สิทธิ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ข้าคนเดียวก็เอาอยู่!”
“จ้าวหนึ่งของฝั่งเจ้ารับสามกระบวนท่าของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำอยากรู้นักว่าเจ้ากล้าดียังไงถึงจะมาสู้กับข้า!”
สี่ศักดิ์สิทธิ์ยกมือขึ้นช้าๆเขาฟันมือออกไป
“แสงเทพล้างวิญญาณ!”
เมื่อเขาพูดโล่สีทองได้ปรากฏจากกลางฝ่ามือ โล่นั้นขยายจนมีขนาดใหญ่
โล่ที่พุ่งเข้ามานั้นทำลายทุกสิ่งในเส้นทางทุกอย่างที่สัมผัสกับมันกลายเป็นฝุ่นผงในทันที
“ทุกคนที่ระดับต่ำกว่าข้าต้องตายปกติข้าจะใช้มันสังหารคนแบบกลุ่ม แต่ข้าใช้มันเพื่อไม่ให้เจ้าเข้าใกล้รอยแยกมิติได้”
สี่ศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างหนักแน่น
เขารู้ว่าซือหยูไม่มีทางเลือกนอกจากถอยกลับแต่เขาก็ต้องตกใจที่ซือหยูไม่ได้ถอย เขายังหยิบหุ่นเชิดเล็กๆออกมาอีกด้วย
หุ่นเชิดเปล่งแสงมันมีรูปร่างคล้ายสุนัข สี่ศักดิ์สิทธิ์ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร เขางุนงงไปชั่วขณะ
แต่ทันใดนั้นคนจากรอยแยกก็ตะโกนด้วยความตกใจ
“นี่เจ้ารีบถอยออกมา! นั่นมันหุ่นเชิดกลไกระดับภูติขั้นกลาง!”
ในเสียงนั้นมีความตกใจความแปลกใจ และความกังวล เขายังพูดต่อไป
“เจ้าเจอกับคนที่น่ากลัวเข้าแล้วถ้าข้าจำไม่ผิด มีแค่หยูฉิวฮั่นเท่านั้นที่สร้างหุ่นเชิดแบบนี้ได้ คนจากเฉินหลงที่มีสิ่งนี้คือชายหนุ่มที่เคยไปกระโจมเทพสวรรค์ เขาเคยฆ่าจ้าวเทวะที่ไปที่นั่นด้วย!”
ตู้ม
สายฟ้าลั่นในใจของเขาสี่ศักดิ์สิทธิ์ชักสีหน้า ข่าวเรื่องซือหยูมิใช่ความลับในจิวโจว แต่สี่ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เคยเห็นพลังของเขากับตา
และเมื่อสี่ศักดิ์สิทธิ์รวบรวมข้อมูลเข้าด้วยกันใบหน้าเขาก็ขาวซีดราวกับผี เขาหัวใจเต้นระรัว ราวกับว่าชายหนุ่มที่ดูอ่อนแอตรงหน้าเขานั้นน่ากลัวกว่าสิ่งใด
ซือหยูโยนหุ่นเชิดสุนัขตัวน้อยไปที่พื้นดวงตาของหุ่นเชิดที่ว่างเปล่าเปล่งแสงสีเลือดออกมา ดูเหมือนมันจะมีพลังที่ดุร้ายซ่อนอยู่ภายใน
ซือหยูมองดูใกล้ๆและพบว่ามันคือวิญญาณสัตว์อสูรมันคือหุ่นเชิดที่มีสัตว์อสูรอยู่ภายใน
โฮก
เสียงคำรามดังก้องสุนัขตัวน้อยเปล่งลำแสงสีเลือดออกจากดวงตาปะทะกับโล่ที่ขยายขนาดมาใกล้ซือหยู
แกร๊ก
โล่แสงของเขาแตกออกสี่ศักดิ์สิทธิ์เจ็บปวดอย่างมาก โลหิตพุ่งออกมาจากปากของเขา
เขาเบิกตากว้างเมื่อมองหุ่นเชิดสุนัขที่ขนาดเท่าฝ่ามือเขากลัวมันมาก
“ฆ่ามัน…”
ซือหยูพูดโดยไม่หันไปมอง
ซือหยูก้าวไปยังรอยแยกมิติ
“หึหึพวกเจ้าควรจะขออนุญาตข้าก่อนจะมาที่เฉินหลง!”
ในที่สุดเขาก็จะผนึกที่นี่ได้เพียงแค่คิดก็ทำให้น้ำตาแห่งความยินดีไหลออกมาแล้ว