“เจ้าจิ้งจอกน้อย ข้าอนุญาตให้เจ้าพูดเรื่องนึง ข้าขอถามหน่อย…. ในห้องโถงนี้ใครมีอนาคตที่ดีที่สุด?”

 

เฉินเฉินถามด้วยสีหน้าผิดหวัง

 

“เจ้า”

 

อสูรจิ้งจอกลดเสียงของมันแล้วตอบกลับ ในตอนที่มันพูดออกมา มือที่จับคอมันอยู่ก็คลายลงเล็กน้อย

 

“เจ้ามีสายตาที่เฉียบแหลมดีนี่ เจ้าอาจจะเป็นอสูร แต่ก็ซื่อสัตย์อยู่นะ”

 

เฉินเฉินคลายมือออกอย่างเต็มที่ รอยยิ้มของเขาสดใส

 

หลังจากนั้นซักพัก จางจีก็เดินขึ้นมาพร้อมกับกาน้ำที่ดูหรูหรา และพนักงานบริการของหอลมใบไม้ผลิเองก็เริ่มเสิร์ฟอาหาร

 

ชุดอาหารราคาสองพันตำลึงนั้นโดดเด่นจริงๆ จางจีตกตะลึงเมื่อได้เห็นความงดงามของทุกจานอาหาร

 

แม้กระทั่งเฉินเฉินก็ยังรู้สึกทึ่งอยู่ในใจ

 

เขาไม่เคยเห็นชุดอาหารระดับนี้มาก่อน แม้กระทั่งในชีวิตก่อนของเขา

 

อำนาจซื้อสำหรับสองพันตำลึงเงินในโลกนี้มันระดับเดียวกับหลายล้านในชีวิตก่อนของเขาเลย

 

เขาคงจะตัวสั่นถ้าเขาได้เห็นชุดอาหารราคาหลักล้านในชีวิตก่อนของเขา

 

 

เวลาล่วงเลยไปได้ซักพักแล้ว พวกที่คอยประจบก็เกือบจะแยกย้ายไปหมดแล้ว และพวกเขาก็เริ่มรับประทานอาหารของตัวเอง ท่านหญิงมู่หลงเองก็มีสีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้น

 

ณ ตอนนี้ ชั้นล่างของหอลมใบไม้ผลิเริ่มวุ่นวายขึ้นมา เฉินเฉินมองไปแล้วเห็นว่ามีเวทีขนาดยักษ์ถูกจัดเอาไว้ที่ด้านล่าง มีสัตว์จำพวกเสือ หมีที่ถูกจับยัดเอาไว้ในกรงเริ่มถูกทยอยนำขึ้นไปบนเวที

 

“มีละครสัตว์ด้วยหรอ?”

 

ดวงตาของเฉินเฉินเปล่งประกายขึ้นและเขาก็ดูสนใจ

 

พูดตามตรง ในโลกฝึกตนนี้มันมีกิจกรรมบันเทิงน้อยมาก ในหมู่บ้านหิน เขาทำได้แค่เล่นกับดิน ความบันเทิงขั้นสูงอย่างละครสัตว์นั้นเป็นเรื่องแปลกหูแปลกตาสำหรับเด็กในหมู่บ้านหิน

 

เมื่อเห็นคนในเมืองสายลมสีครามตรงมาที่นี่ พวกคุณหนูในห้องโถงก็ไปรวมตัวกันที่ราวบันไดแล้วพูดเกี่ยวกับพวกเขา

 

“นายหญิง เห็นลูกหมาที่ชายคนนั้นอุ้มอยู่ไหมคะ? มันน่ารักมากเลย”

 

“ใช่ มันน่ารักจริงๆ แต่ข้าคิดว่ามันน่าจะใช่หมานะ มันดูเหมือนจิ้งจอกมากกว่า”

 

ที่อีกด้านนึง ท่านหญิงมู่หลงกับสาวใช้ของเธอที่กำลังถูกประจบได้มองมาทางเฉินเฉิน ในเวลาเดียวกันนั้นเอง พวกเขาก็สังเกตเห็นอสูรจิ้งจอกในอ้อมแขนของเฉินเฉิน

 

“หืม ท่านหญิงมู่หลงคนนี้ฉลาดใช้ได้เลยนะเนี่ย”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ เฉินเฉินก็ชื่นชมในใจ จากคนมากมายที่เจอมานี้ ในที่สุดก็มีคนที่สามารถบอกได้ว่าตัวที่เขาอุ้มอยู่นั้นเป็นจิ้งจอกไม่ใช่สุนัข

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือพนักงานบริการที่เคยคุยกับเขาก่อนหน้านี้รีบเข้าไปแก้ความเข้าใจผิดให้พวกเธออย่างรวดเร็ว

 

“ท่านหญิงมู่หลง นั่นก็ยังไม่ถูกซะทีเดียวหรอกครับ ที่แขกท่านนั้นกำลังอุ้มอยู่ก็คือสุนัขศักดิ์สิทธิ์อักกราอิสโร มันเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างมากเลยครับ!”

 

“ช่างมีพรสวรรค์อะไรอย่างนี้!”

 

เฉินเฉินพึมพำ เขาเกือบจะลืมชื่อที่เขาคิดขึ้นมาเมื่อก่อนหน้านี้ไปแล้ว แต่พนักงานคนนี้กลับจำมันได้ทุกคำจริงๆ

 

ก่อนที่เขาจะหยุดพึมพำ พวกผู้ชายก็ตรงมาหาเขาเหมือนกับฉลามที่ได้กลิ่นเลือด

 

“ท่านครับ ข้าขอซื้อสุนัขของท่าน 1,000 ตำลึง! เพื่อนำไปให้ท่านหญิงมู่หลง!”

 

“ข้าให้ 2,000 ตำลึงเลย!”

 

“สี่พันตำลึง!”

 

“หมื่นตำลึง!”

 

ในขณะที่พวกผู้ชายกำลังเปิดประมูลกันอยู่นั้น สาวใช้ของท่านหญิงมู่หลงก็อดเย้ยหยันกับภาพนี้ไม่ได้ และเผยรอยยิ้มที่มีเลศนัยออกมา

 

นายหญิงของเธอคือความภาคภูมิใจของสวรรค์ ชายหนุ่มทุกคนในห้องโถงต่างก็คอยมาห้อมล้อมนายหญิงของเธอ ยกเว้นคนกลุ่มนี้ที่ดูไม่แยแสอะไร ซึ่งมันทำให้เธอหงุดหงิดจริงๆ

 

ตอนนี้ คนกลุ่มนี้น่าจะตระหนักได้ถึงเสน่ห์ของนายหญิงของเธอแล้วใช่ไหม!?

 

 

ปัง!

 

ในตอนนั้นเอง เฉินเฉินก็ทุบโต๊ะอย่างรุนแรงแล้วลุกขึ้น เขาจ้องมองทุกคน “มาเปิดประมูลกันต่อหน้าข้าแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน? ข้าดูเหมือนคนที่ต้องการเงินขนาดนั้นเลยรึไง?”

 

ทุกคนพากันเงียบกริบ

 

มันใช้เวลาพักใหญ่ๆกว่าจะมีคนเอ่ยปากพูดขึ้นมา “ท่านครับ ในเมื่อท่านไม่ได้ต้องการเงิน ทำไมท่านไม่มอบสุนัขตัวนี้ให้ท่านหญิงมู่หลงซะหล่ะครับ?”

 

“ทำไมข้าต้องยกสัตว์เลี้ยงของข้าให้ด้วย?” ใบหน้าของเฉินเฉินเต็มไปด้วยความสงสัย

 

ทุกคนถึงกับพูดไม่ออกหลังจากได้ยินประโยคนี้

 

พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจท่านหญิงมู่หลงและไม่ได้ผลเลย ซึ่งเด็กคนนี้มีวิธีอย่างเห็นได้ชัด แต่เขากลับไม่สามารถแยกจากกับสุนัขได้

 

การเปรียบเทียบนี้มันน่าหงุดหงิดเป็นอย่างมาก

 

แต่ถึงยังไง ที่นี่มันก็ไม่ใช่ดินแดนของพวกเขา เมื่อเห็นว่าเฉินเฉินไม่เต็มใจ พวกคุณชายก็ไม่อยากบังคับเช่นกัน ไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจจะสร้างความประทับใจที่ไม่ดีต่อหน้าท่านหญิงมู่หลงได้ และมันก็คงจะไม่คุ้มเลยสักนิด

 

ในขณะที่ทุกคนกำลังจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อล้างความอับอาย ตำรวจในชุดเครื่องแบบคนนึงก็รีบวิ่งขึ้นมาชั้นบนอย่างกระทันหัน

 

“เรียนทุกท่าน มีข่าวมาจากฝ่ายป้องกันเมืองว่า เจ้าชายเจ็ดองค์ที่มุ่งหน้าไปยังรัฐจี่เมือสองวันก่อนพร้อมกับกลุ่มคน 200 คน ได้หายไปโดยไม่ทราบสาเหตุในตอนที่เดินทางผ่านเนินเขาวัวทมิฬครับ

 

ถ้าท่านใดอยากไปที่รัฐจี่  ข้าแนะนำให้เลือกใช้เส้นทางอื่นจะดีที่สุด และชวนนักเดินทางคนอื่นไปด้วยจะดีกว่าครับ”

 

ในทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ทุกคนก็มองหน้ากัน ไม่มีใครอยากดูละครสัตว์อีกแล้ว พวกเขาทุกคนเริ่มกังวลเหมือนกับมดที่อยู่บนกระทะร้อนๆแทน

 

กลุ่มคน 200 คนหายตัวไป… นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?

 

คนพวกนี้เป็นคนมีฐานะทั้งหมด และถ้าพวกเขาทุกคนหายไปโดยไม่มีใครหนีรอดมาได้ ก็แสดงว่าในการจะเดินทางไปนั้นอย่างน้อยก็ต้องมีพลังมากกว่านั้นหลายเท่า

 

และมันก็ต้องมีการจัดระเบียบและดูแลความเรียบร้อยด้วย

 

“ต้องเป็นสายลับจากรัฐโจวที่แอบเข้ามาในรัฐจี่ของเราแน่เลย ไม่อย่างนั้นใครจะมีความแข็งแกร่งระดับนั้นได้หล่ะ?”

 

“ถ้ามีหนอนบ่อนไส้จากสำนักมารอยู่ที่นี่ ทำไมสำนักเทียนหยุนถึงไม่ส่งคนมาช่วย?”

 

ทุกคนพูดคุยกัน และยิ่งพวกเขาคิดถึงมัน พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันมีความเป็นไปได้

 

หลังจากนั้นซักพัก ทุกคนก็โบ้ยความผิดไปให้สำนักเทียนหยุน

 

“สำนักเทียนหยุนไม่สนใจพวกเราเลยสักนิด”

 

“ใครจะไปสนใจสำนักแบบนี้กัน? ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องไปเลย ข้าจะกลับบ้านแล้ว ลาก่อนทุกคน!”

 

 

เมื่อเห็นเพื่อนของพวกเขาออกไป คนอื่นๆก็พากันหวั่นวิตก แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังคงหันไปมองท่านหญิงมู่หลง

 

เมื่อเทียบกับพวกเขา ท่านหญิงมู่หลงคือศิษย์อัจฉริยะที่สำนักเทียนหยุนให้ความสนใจ และมีเซียนคอยตามมาคุ้มกันเธอด้วย ถ้าพวกเขาอยู่ใกล้กับเธอไว้หล่ะก็คงจะปลอดภัย

 

ก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจ ท่านหญิงมู่หลงก็พูดขึ้นมา

 

“ถ้าพวกเจ้ากลัวจะตามข้ามาด้วยก็ได้ในตอนที่เวลามาถึง สำนักเทียนหยุนจะไม่เพิกเฉยต่อความปลอดภัยของทุกคนอย่างแน่นอน”

 

ในตอนที่ทุกคนได้ยินสัญญาของท่านหญิงมู่หลง พวกเขาก็เกือบจะร้องไห้ออกมา พวกเขาเข้าไปขอบคุณเธอทีละคน จนแทบจะคุกเข่าคำนับอยู่แล้ว

 

แม้กระทั่งเฉินเฉินก็ยังมองเธอใหม่

 

จะว่าไปเธอก็เป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่นะ

 

“ทำไมเจ้าไม่มาขอบคุณท่านหญิงกัน? เจ้าจะไม่ไปที่สำนักเทียนหยุนรึไง?” สาวใช้ที่ติดตามท่านหญิงมู่หลงสังเกตเห็นว่าเฉินเฉินยังดูละครสัตว์ด้านล่าง สีหน้าของเธอจึงยิ่งดูรำคาญมากขึ้น

 

“หา? ข้ากับพี่ใหญ่จะไปที่สำนักเทียนหยุน แต่พวกเราจะใช้เส้นทางอื่น”

 

จางจีอธิบาย เฉินเฉินได้วางแผนการเดินทางไปรัฐจี่เอาไว้เรียบร้อยแล้ว นั่นก็คือพวกเขาจะเลือกเส้นทางที่มีคนน้อยๆ เพื่อที่จะหาสมบัติได้ง่ายขึ้น

 

ถ้าพวกเขาไปกับคนจำนวนมากขนาดนี้ พวกเขาก็คงจะไม่เจออะไรเลยในระหว่างทาง!

 

“เหอะ อย่าแอบตามมาทีหลังก็แล้วกัน!” สาวใช้เอามือเท้าเอว สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความรังเกียจ

 

“หวนน้อย หยุดพูดเถอะ ในอนาคตพวกเขาอาจจะได้เป็นเพื่อนร่วมสำนักของพวกเราก็ได้นะ”

 

ท่านหญิงมู่หลงห้ามเธอไม่ให้พูดต่อ

 

แต่คนที่อยู่รอบๆนั้นแสดงสีหน้าที่ต่างออกไป เพราะท่านหญิงพูดว่า ‘สำนักของพวกเรา’ มันก็หมายความว่าสาวใช้คนนี้เองก็จะเข้าสำนักเทียนหยุนใช่ไหม? หรือว่าเธอได้รับเหรียญของสำนักเทียนหยุนด้วย?

 

เมื่อคิดได้แบบนี้ สายตาของพวกเขาที่มีต่อสาวใช้ก็เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์

 

ในสำนักนั้น พื้นเพครอบครัวไม่ใช่สิ่งที่คู่ควรแก่การเอ่ยถึงเลย ถ้าพวกเขาทุกคนเข้าสำนักเทียนหยุนได้ สาวใช้ก็จะมีสถานะเดียวกันกับพวกเขา

 

แถมยังมีเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับท่านหญิงมู่หลงอีก สาวใช้คนนี้อาจจะมีอนาคตที่สดใสกว่าพวกเขาทุกคนก็ได้…