“นายหญิง ข้าแค่รู้สึกรังเกียจพวกที่ตั้งใจจะมาเกาะแกะพวกเราแต่ไม่มีแม้แต่คำขอบคุณเท่านั้นเองค่ะ”
เมื่อสาวใช้เห็นว่าผู้คนเริ่มมองเธอใหม่ก็ได้รับความมั่นใจมาในทันที
“นี่เจ้า!”
จางจีรู้สึกโมโหในทันที สาวใช้คนนี้จะต่อว่าเขายังไงก็ได้ แต่ไม่ใช่กับพี่ชายของเขาแบบนี้
แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่เขาจะได้เถียง ก็ถูกเฉินเฉินห้ามเอาไว้
“จางจี จะเถียงกับสาวใช้ไปทำไม? ทำแบบนั้นเจ้าจะทำให้ตัวเองดูไม่ดีนะ”
ความมั่นใจของสาวใช้ที่พึ่งพุ่งพล่านขึ้นมาได้หดกลับไปในทันทีด้วยคำพูดของเฉินเฉิน แต่เธอก็ไม่สามารถเถียงกลับไปได้เลย
ถึงยังไง เธอก็ยังไม่ใช่ผู้ฝึกตนของสำนักเทียนหยุนอย่างเป็นทางการ และเป็นสาวใช้จริงๆ
“นี่เจ้า….เจ้าเลิกคิดที่จะไปสำนักเทียนหยุนจะดีกว่านะ ไม่อย่างนั้นเตรียมเจอความโหดร้ายจากข้าได้เลย!”
สาวใช้พูดอย่างโกรธเคือง
ในขณะนั้นสมองของเธอได้นึกภาพการทรมานต่างๆนาๆ
เฉินเฉินไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับเธอ เขาแค่ยิ้มกลับไปเฉยๆ โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
…
ครู่ต่อมา ฝูงชนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนในห้องของพวกเขา ในขณะที่เฉินเฉินกับจางจียังคงรับประทานอาหารต่อไปอย่างช้าๆ
ในครั้งนี้ มีคุณชายรูปหล่อคนนึงเดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วโน้มน้าวอย่างเงียบๆ “น้องชาย ท่านไม่ควรพูดอะไรออกมาโดยที่ยังไม่คิดแบบนั้นจะดีกว่านะครับ ข้าคิดว่าการตามท่านหญิงมู่หลงไปในวันพรุ่งนี้ มันจะเป็นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด”
คิ้วของเฉินเฉินเลิกขึ้นในตอนที่เห็นคุณชายผู้นี้ นี่มันคือคุณชายที่ระบบยืนยันว่าเป็นคนที่หล่อที่สุด
“น้องชาย เจ้าอาจจะไม่รู้ว่าลัทธิมารของรัฐโจวได้ส่งสายลับเข้ามาในรัฐจี่แล้ว พวกมันเลือกที่จะตัดทรัพยากรของเซียน รวมทั้งจำนวนคนที่จะสมัครเป็นเซียนของสำนักเทียนหยุน พวกมันทำเพื่อจะได้ไม่สร้างปัญหากับพวกมันต่อไปในอนาคต”
“บางครั้ง ถ้าพวกมันเจอคนที่มีคุณสมบัติดีๆเข้า พวกมันเล่นถึงขั้นลักพาตัวกลับไปกับพวกมันด้วยเลยนะ”
“ถ้าไม่ใช่เพราะความกลัวที่เกิดขึ้นกับพวกเราแล้ว พวกเราจะพยายามเอาใจท่านหญิงมู่หลงขนาดนั้นไปทำไมกัน?”
“สุดท้ายแล้วในโลกเช่นนี้ การห่วงชื่อเสียงของตัวเองมากกว่าชีวิต มันเป็นเรื่องที่อันตรายและไม่คุ้มค่ามากเลยนะ”
สีหน้าของคุณชายสุดหล่อเต็มไปด้วยความหดหู่ เหมือนกับว่าเจ็บปวดจากการกระทำผิด
“พี่ชาย ท่านเป็นคนดีนี่นา ขอบใจที่เตือนนะ!” เฉินเฉินตบไหล่ของคุณชายแล้วชื่นชมเขา
คนๆนี้เหมือนกับมู่หลงหยุนหลานเลย เขาเป็นคนที่มีหน้าตาดีและมีจิตใจดี
เฉินเฉินตัดสินใจที่จะยอมรับคนๆนี้เป็นเพื่อนหลังจากที่ไปถึงสำนักเทียนหยุนแล้ว
คนที่ถึงแม้จะหล่อกว่าเขาแต่ก็สมควรได้รับการปฏิบัติตัวกับเขาดีๆ
“น้องชายเจ้าก็ล้อเล่นเกินไป ข้าอาจจะไม่ใช่คนดีอะไรนักหรอก ข้าแค่ไม่อยากเห็นเจ้าเอาชีวิตไปทิ้งก็เท่านั้นเอง”
“จะให้ข้าเรียกพี่ชายว่ายังไงดี? ข้าชื่อเฉินเฉิน ข้าอยากจะขอดื่มกับท่านซักหน่อยหลังจากที่พวกเราไปถึงสำนักเทียนหยุนแล้วกันนะ”
“ข้าชื่อหลี่อู๋เว่ย จากรัฐเฟยหู่”
…
หลังจากที่หลี่อู๋เว่ยไปแล้ว จางจีก็มองเฉินเฉินด้วยความกังวลอย่างบอกไม่ถูก
“พี่ใหญ่ พวกเราไปเส้นทางหลักกับท่านหญิงมู่หลงหยุนหลานไม่ดีกว่าหรอครับ? พวกคนเหล่านั้นมาจากลัทธิมารเลยนะครับ พวกเราคงสู้ด้วยไม่ไหวหรอก”
เฉินเฉินส่ายหน้าเมื่อได้ฟังเช่นนี้
“ลัทธิมารจะเรียกนักสู้ที่มีความสามารถกลุ่มใหญ่มาจัดการกับเป้าหมายเล็กๆอย่างพวกเราไปทำไม? มันไม่คุ้มหรอก”
“คนที่โดดเด่นอย่างมู่หลงหยุนหลานต่างหากหล่ะ ที่จะกลายเป็นเป้าหมายหลักของพวกมัน เพราะฉะนั้นตามเธอไปนั่นแหล่ะเสี่ยงยิ่งกว่านี้อีก”
“และถ้าเกิดมีการต่อสู้ขึ้นจริงๆ เซียนของทางนั้นก็จะให้ความสำคัญกับการปกป้องมู่หลงหยุนหลานแน่ๆ พวกเขาจะสนใจคนอื่นไปทำไมกันละ?”
“พี่ใหญ่ ที่พี่พูดมานั้นสมเหตุสมผลจริงๆ ท่านมองเหตุการณ์ได้ขาดจริงๆ” ยิ่งจางจีครุ่นคิดกับคำพูดพวกนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเห็นด้วยมากขึ้นเท่านั้น
นี่คงจะเหมือนคำกล่าวที่ว่า ‘ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด’
แต่ในตอนนั้นเอง เฉินเฉินก็พูดขึ้นมาอีก
“ถ้าเกิดพวกเราดวงซวยเจอพวกลัทธิมารเข้าจริงๆและสู้กับพวกมันไม่ได้ พวกเราก็จะร้องขอความเมตตาในทันที หากบอกคุณสมบัติของพวกเราไป พวกนั้นก็ไม่น่าจะฆ่าพวกเราหรอก”
“คุณชายคนนั้นก็พูดเอาไว้ไม่ใช่หรอ? ลัทธิมารจะพาคนกลับไป กรณีที่เลวร้ายที่สุดพวกเราก็แค่ตามพวกนั้นกลับไปเท่านั้นเอง”
“ว่าไงนะครับ?” สมองของจางจียังตามไม่ทัน
เนื่องจากเขาจำได้ว่าลัทธิมารนั้นถูกห้ามอย่างเด็ดขาดในรัฐจี่
“การฝึกที่ได้ผลก็คือการฝึกที่ดีทั้งหมดนั่นแหล่ะ สำนักเทียนหยุนไม่เคยให้ความสำคัญกับพวกเรา ทำไมพวกเราต้องไปทุ่มเทให้กับพวกเขาด้วยหล่ะ? จางจี ข้าขอรับรองเลยว่า ตราบใดที่เจ้าตามข้ามา เจ้าจะไม่ล้มเหลวแน่นอน”
เฉินเฉินมั่นใจ ด้วยระบบที่เขามีแล้ว เขาจะสามารถฝึกฝนได้ทุกรูปแบบ และมันจะส่งผลลัพธ์ออกมาอย่างแน่้นอน
…
ในขณะเดียวกัน ที่หมู่บ้านใกล้กับถนนหลักสู่รัฐจี่ กลุ่มคนในชุดธรรมดากำลังพูดคุยกันในบ้านที่ทำจากอิฐ
“พวกเราได้ข้อมูลดีๆมาบ้างรึเปล่า? ใครคือคนถัดไปจากมู่หลงหยุนหลานกัน?”
“มีครับ เขาเป็นพ่อของหัวหน้าทหารในรัฐชางหมิงครับ อยู่ระดับพลังปราณขั้นที่ 9”
“พลังปราณขั้นที่ 9 หรอ ไม่เลวเลยนี่ พวกเราไม่ควรพลาดโอกาสดีๆแบบนี้ไปหรอก”
“ร่างกายของมู่หลงหยุนหลานถือกำเนิดจากพลังหยิน พวกเราควรพาเธอกลับไปให้ผู้คุมกฎ พวกเราอาจจะได้รางวัลเป็นน้ำอมฤตขั้นสร้างรากฐานก็ได้นะ”
“ร่างกายที่เกิดจากพลังหยินคืออะไรหรอครับ?” มีคนถามอย่างสงสัย
“คุณสมบัติของร่างกายที่เกิดมาจากพลังหยิน เขาเหล่านั้นจะเกิดมาเหมาะสมกับการฝึกวิชาและทฤษฎีหยินเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าวิชาหลักของสำนักเทียนหยุนคือพลังหยางแล้ว ข้าคิดว่ามู่หลงหยุนหลางคงมาพร้อมกับผู้อาวุโสที่พวกนั้นส่งมาแล้วหล่ะ”
“พวกที่มีคุณสมบัติพิเศษนี่น่าอิจฉาจังเลยนะ ดูพวกเราสิ พยายามจะทะลวงระดับทีไรก็ต้องเสี่ยงชีวิตทุกครั้งไป”
“ทำใจซะเถอะ บางสิ่งมันก็ได้มาแต่กำเนิด มีข่าวลือด้วยว่าผู้ก่อตั้งลัทธิอสูรทมิฬของเรา เล่าจื๊อ เกิดมาด้วยร่างผีทมิฬทำให้ฝึกฝนได้ง่ายเหมือนกับการกินดื่มอาหารทั่วไปเลยหล่ะ”
“จะมีใครน่าอิจฉาไปกว่านี้หล่ะนะ?”
หลังจากที่พวกเขาคุยเล่นกัน พวกเขาก็เริ่มจัดวางกับดัก
เนื่องจากพวกเขาใช้เวลาวางแผนล่วงหน้าค่อนข้างมากในปฏิบัติการจับตัวมู่หลงหยุนหลาน พวกเขาจึงต้องเตรียมการเยอะ
พวกเขาได้ส่งคนบางส่วนไปอยู่ในกลุ่มของมู่หลงหยุนหลาน และให้คอยส่งข่าวมาหาพวกเขาตลอดเวลา
…
ไม่นานนัก วันใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น ที่จอดรถของหอลมใบไม้ผลิเริ่มเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เพราะพวกคุณชายและคุณหญิงทั้งหลายต่างก็เตรียมตัวขึ้นรถม้าหรือขี่ม้าของพวกเขา
ณ ตอนนี้ ความสนใจทั้งหมดไปอยู่ที่มู่หลงหยุนหลาน ที่กำลังขี่ม้าสีขาว
พวกเขาได้ตัดสินใจแล้วว่า ไม่ว่าพวกเขาจะดูน่าอับอายแค่ไหน พวกเขาก็จะตามไปอย่างใกล้ชิด
เฉินเฉินนั่งอยู่ในห้องนอนที่ชั้น 4 และหาวออกมาในขณะที่มองภาพข้างล่าง
“สุดท้ายเจ้าพวกนี้ก็แค่สำคัญตัวมากเกินไป หากพวกลัทธิมารมีแผนอะไร พวกมันก็คงจะไม่คิดแผนเพื่อคนพวกนี้หรอก”
“พวกนั้นก็แค่ไร้หัวคิดก็เลยเอาตัวออกจากต้นตอของปัญหาไม่ได้เท่านั้นเอง”
“จ้า เจ้าคนเก่งที่หนึ่ง เจ้าคนที่มีหัวคิดอยู่คนเดียว”
จิ้งจอกที่ถูกมัดส่งเสียงเหน็บแนมด้วยความไม่พอใจ
เพื่อให้นอนหลับได้อย่างสบายใจ เขามัดเธอเอาไว้ตลอดทั้งคืน จนถึงตอนนี้เธอยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่เลย
“ถ้าข้าเป็นแค่คนธรรมดา เจ้าจะถูกข้ามัดเอาไว้แบบนี้ไหมหล่ะ?”
เจ้าจิ้งจอกไม่สามารถเถียงได้ และทำอะไรไม่ได้นอกจากหลับตาลงด้วยความเกลียดชัง
ด้านล่าง ดูเหมือนว่ามู่หลงหยุนหลาน จะสังเกตเห็นเฉินเฉิน เธอเงยหน้าขึ้นมาถาม “คุณชาย มั่นใจนะว่าท่านจะไม่ไปกับพวกเรา?”
“ไม่ไปละ แล้วก็ระวังตัวให้ดีๆหล่ะ พวกเราค่อยไปเจอกันที่รัฐจี่ละกันนะ” เฉินเฉินพูดพร้อมกับโบกมือไปด้วย
เมื่อได้ยินเช่นนี้มู่หลงหยุนหลานก็ไม่พูดอะไรอีก สำหรับคนที่แค่บังเอิญผ่านมาเจอกัน แค่เตือนเขาด้วยความหวังดีก็ถือว่ามากพอแล้ว
ในระหว่างนั้น สาวใช้ก็ตกตะลึงกับความจริงที่ว่าเฉินเฉินไม่คิดจะตามพวกเขามาจริงๆเป็นอย่างมาก
ในมุมมองของเธอแล้ว นี่มันไม่ได้ต่างอะไรไปกับการฆ่าตัวตายชัดๆ
“ไปกันเถอะ”
มู่หลงหยุนหลานส่งสัญญาณแล้วเริ่มขี่ม้าตรงออกจากเมือง
พอเธอเคลื่อนไหวแล้ว รถม้าและเกวียนทั้งหมดที่จอดอยู่ก็เริ่มเคลื่อนไหว
เฉินเฉินทำได้แค่ชื่นชมฉากตระการตานี้จากด้านบนหอลมใบไม้ผลิ
แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด ในทันทีที่ฝั่งหอลมใบไม้ผลิเริ่มเคลื่อนไหว รถเกวียนจากโรงเตี๊ยมอื่นๆในเมืองก็เริ่มเคลื่อนไหวเหมือนกัน
ในทันทีที่ กระแสการจราจรของเกวียนนับร้อยเริ่มก่อตัวขึ้นในเมืองสายลมสีคราม มันชวนให้รู้สึกเหมือนกองทัพกำลังออกไปสำรวจเลย
ภาพนี้ยิ่งใหญ่กว่าขบวนแฟนคลับในชีวิตก่อนที่เฉินเฉินเคยเห็นมาด้วยซ้ำ