บทที่ 1886+1887

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1886 เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ 2

นี่สมควรเป็นหน้าที่ของบุพการีเช่นพวกเขาสองคนมิใช่หรือ?!

บางทีพวกเขาสามีภรรยาตกทุกข์ได้ยากกันมาเนิ่นนานไม่ง่ายเลยกว่าจะได้กลับมาอยู่ร่วมกันเช่นปัจจุบัน จึงไม่อยากให้เนี่ยนโม่ตัวน้อยไปเป็นก้างขว้างคอกระมัง?

และไม่มีเวลามาอบรบสั่งสอนบุตรชาย ดังนั้นจึงอยากให้เธอทำหน้าที่แทนสินะ?

ไม่ใช่มั้ง? เสินจิ่วหลี่ไม่รู้เลยว่าเธอเป็นใคร ก็กล้าส่งบุตรชายให้เธอหรือ? ไม่กลัวว่าเธอจะลักตัวเล็กไปขายหรือไง?

กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าวงจรความคิดของมหาเทพผู้นี้คาดเดาได้ยาก จึงคร้านจะคิดต่อแล้ว

หันหลับไปมองเรือนนอนของเสินเนี่ยนโม่ ไม่คิดจะไปทำให้เขาตกใจแล้ว ใช้วิชาเคลื่อนย้ายจากไปเลย

….

กู้ซีจิ่วฝัน

ความฝันนี้พิสดารนัก เธอฝันว่าตนไปยังสถานที่ที่ดูสลัวเลือนรางยิ่งนักแห่งหนึ่ง

ไอเมฆารอบข้างไหวระรอกปานสายรุ้ง ท่ามกลางไอเมฆามีพระราชวังหลังหนึ่งล่องลอยอยู่

พระราชวังหลังนั้นเป็นสีม่วงสุกสว่าง วูบไหวอยู่ท่ามกลางเมฆา ท้องนภาเหนือพระราชวังเต็มไปด้วยหมู่ดาว

กู้ซีจิ่วยืนอยู่หน้าพระราชวังแห่งนั้น เงยหน้ามองนภาดาษดารา เธอเพิ่งเห็นฟากฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวเช่นนี้เป็นครั้งแรก!

ว่ากันจริงคือ นภาดาษดาราที่อยู่เบื้องหน้าเสมือนเธอโดยสารยานอวกาศอยู่ ลอยออกจากโลก ได้เห็นดวงดาวเหล่านั้น…

รูปทรงของดาวแต่ละไม่เหมือนกันเลย สีสันก็แตกต่าง ซ้ำพวกมันยังโคจรด้วยเร็วสูงอีกด้วย ล่องลอยไปมาบนท้องนภา…ดูน่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง

กู้ซีจิ่วมองอยู่ครู่หนึ่งก็รู้เวียนหัว เบื้องหน้าพร่าเลือน ส่ายโงนเงน เกือบจะล้มคว่ำลงไปแล้ว

เธอรีบก้มหน้าลง ไม่กล้ามองอีก

ในใจยังคงฉงนอยู่บ้าง ที่โลกเบื้องล่างเธอศึกษาผังโหราศาสตร์มาแล้ว ถามตัวดูแล้วก็ถือว่าเชี่ยวชาญในด้านนี้

แต่เธอรู้สึกว่าดวงดาวเหล่านั้นที่เธอเคยเห็นมาทั้งหมดเมื่อเทียบกับดวงดาวของที่นี่แล้ว ราวฟ้ากับเหว

หากบอกว่าผังดวงดาวที่เธอเห็นคือสุริยะจักรวาล เช่นนั้นผังดาวของที่นี่ก็คือจักรวาลทั้งผืน…

ที่นี่คือที่ไหน?

เธอมาทำอะไรที่นี่?

ข้อสงสัยวาบเข้ามาในหัวใจเธอ สายตาพลันร่อนลงที่หลังคาพระราชวัง ตรงนั้นไม่รู้ว่ามีคนผู้หนึ่งนอนเอนกายอยู่ตั้งแต่ตอนไหน สวมเสื้อคลุมสีม่วงสุกสว่างปานเมฆหมอก เรือนผมสีดำแผ่นสยายอยู่ด้านหลังเขา มีแถบแพรสีแดงเพลิงแทรกวับๆ แวบๆ อยู่ในเรือนผม

เบื้องหน้าเขามีกระดานหมากรุกกระดานหนึ่งตั้งอยู่ ในกระดานมีตัวหมากกระจัดกระจายอยู่ ทว่ามิใช่สีขาวดำ แต่คล้ายกับดวงดาวที่ย่อส่วนลง แถมยังมีจำนวนมากมายยิ่งกว่าตัวหมากเสียอีก…

ตัวหมากในกระดานเหล่านั้นคล้ายจะถูกกฎเกณฑ์อันใดควบคุมไว้ เคลื่อนที่ไปมาอยู่ในกระดานหมากรุก ว่องไวปานเหินบิน

คนผู้นั้นตะแคงข้างให้กู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วจึงมองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเจน มองเห็นเพียงนิ้วมือเขาที่เคลื่อนย้ายตัวหมากเหล่านั้นบ้างเป็นครั้งคราว…

แสงจากตัวหมากที่ราวกับดวงดาวในกระดานหมากรุกเหล่านั้น ขับเน้นให้ปลายนิ้วของเขาดูขาวผ่องปานหยก นิ้วนางของเขาสวมแหวนที่ส่องประกายพร่างพราววงหนึ่งเอาไว้ เมื่อเขาขยับโยกย้ายตัวหมากเล่านั้น ประกายแสงบนแหวนก็จะวูบไหวตามด้วย มองแล้วทำให้คนตาพร่านัก

กู้ซีจิ่วมองดูคนผู้นั้นคิ้วขมวดนิดๆ หัวใจเต้นกระหน่ำขึ้นมาอย่างรุนแรง

ในความทรงจำของเธอ เธอเพิ่งเคยพบคนผู้นั้นเป็นครั้งแรกชัดๆ กลับมีความรู้สึกราวกับว่าเคยรู้จักกันมาก่อน ถึงขั้นที่ในทรวงมีความปวดร้าวที่คุ้นเคยเอ่อล้นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด…

เขาเป็นใคร? เป็นใครกัน?

“เอ่อ ขออภัย ขอรบกวนสักครู่เถิด” เธอส่งเสียงทักทายคนผู้นั้น

แต่คนผู้นั้นยังคงนอนตะแคงอยู่ตรงนั้น ไม่มีทีท่าว่าจะหันมามองเธอสักแวบเลย

“นี่ ขอถามหน่อยเถิดว่าที่นี่คือที่ไหน? ท่านผู้สูงศักดิ์คือผู้ใด?”

คนผู้นั้นยังคงไม่เอ่ยตอบ ราวกับไม่ได้ยินเลย

เขามองไม่เห็นเธอไม่ได้ยินเสียงงั้นหรือ?

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กู้ซีจิ่วประสบสถานการณ์เช่นนี้ในความฝัน

จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็อยากจะอ้อมไปอยู่ด้านหน้าเขายิ่งนัก อยากเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา!

——————————————————————————-

บทที่ 1887 เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ 3

ในเมื่อเขาไม่ตอบรับ ถ้างั้นเธอกระโดดไปอยู่ตรงหน้าเขาเสียเลยก็ได้!

เธอเหินร่างขึ้นมา คิดจะเหาะทะยานไปที่หลังคาตำหนักนั้น

เธอคำนวณระยะทางได้แม่นยำเสมอมา เธอนึกว่าหนนี้จะสามารถไปปรากฏเบื้องหน้าของคนผู้นั้นได้โดยตรงเลย คาดเคลื่อนไม่เกินห้าเซนติเมตร

กลับคาดไม่ถึงเลยว่าเธอเหาะทะยานไปแล้ว ทว่ายามที่ร่อนลง ไม่น่าเชื่อว่ายังคงอยู่ที่เดิม ไม่ขยับไปไหนเลยสักชุ่น

เธอตะลึงงัน ทดลองเหินทะยานไปซ้ายขวาหน้าหลังดูจนสิ้นแล้ว ผลคือยามที่เหินทะยานขึ้นเห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าข้ามผ่านศาลาพลับพลาใต้เท้าไปแล้ว แต่ยามที่ร่อนลงสู่พื้นกลับยังอยู่ที่เดิม

เจอผีกั้นกำแพงเข้าเสียแล้วหรือ?

ไม่สิ สิ่งที่เธอประสบนี้ร้ายกาจว่าผีกั้นกำแพงเป็นหมื่นเท่า!

ผีกั้นกำแพงจะร้ายกาจสักเพียงใดเธอสะบัดมือส่งๆ ก็ทำลายได้แล้ว แต่สิ่งกลับทำไม่ได้ เธอลองใช้เคล็ดคาถาหลากหลายชนิดแล้ว ล้วนไม่สามารถก้าวพ้นไปจากที่เดิมได้เลย

เธอเงยหน้ามองคนบนหลังคาผู้นั้น อยู่ใกล้กันยิ่งนักชัดๆ กลับคล้ายว่าถูกกั้นให้ห่างกันด้วยขอบฟ้า

ในเมื่อเข้าไปหาไม่ได้ เธอก็ไม่ฝืนดึงดันอีก ยืนมองอยู่ตรงนั้นเสียเลย

เธอมองอยู่พักหนึ่งก็มองเส้นสนกลในจุดหนึ่งออกแล้ว เธอพบว่าวิถีโคจรของตัวหมากในกระดานเหล่านั้นเหมือนดวงดาวที่อยู่ฟากฟ้าเหล่านั้นทุกประการ!

ยามที่คนผู้นั้นขยับมือโยกย้าย ดวงดาวบนฟากฟ้าก็ราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นผลักให้ขยับ เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย…

คนผู้นี้ควบคุมดวงดาวบนฟากฟ้าได้งั้นหรือ?!

กู้ซีจิ่วกลั้นหายใจ ที่โลกเบื้องล่างเธอทำได้มองดาวคำนวณชะตา ทว่าไม่อาจเปลี่ยนแปลงวิถีโคจรใดๆ ของดวงดาวเหล่านั้นได้ แต่คนผู้นี้กลับควบคุมดวงดาวทั่วฟากฟ้าได้ด้วยการขยับตัวหมาก!

คนผู้นี้เป็นใครกันแน่?! ไม่น่าเชื่อว่าจะมีความสามารถเช่นนี้…

เธอพยายามเบิกตากว้าง ต้องการมองรูปโฉมของคนผู้นั้นให้ชัดๆ แต่คนผู้นั้นตะแคงกายอยู่ตลอด อย่างมากเธอก็ได้เห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาเท่านั้น…ซ้ำยังคล้ายว่ามีหมกหนาขวางกั้นอยู่ด้วย

สายตาเธอร่อนลงบนแหวนที่นิ้วเขา

ปฏิกิริยาแรกก็คือ นั่นคือเพชรสีใช่ไหม?!

เม็ดใหญ่เปล่งประกายยิ่ง!

ปฏิกิริยาที่สองก็คือ รูปทรงของแหวนวงนี้ค่อนข้างคุ้นตาอยู่บ้าง…ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าคนผู้นั้นเอนกายนอนอย่างเฉื่อยชายิ่ง แต่การเคลื่อนไหวกลับเสมือนธาราล่องลอยสายธารไหลริน มองเช่นนี้แล้วเจริญหูเจริญตานัก

ไม่ทราบเช่นกันว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ในที่สุดคนผู้นั้นก็ลุกขึ้นนั่ง ดีดนิ้วขึ้นไปบนฟ้าคราหนึ่ง กลางนภาเกิดแสงสว่างวาบ หินก้อนหนึ่งร่วงลงมา…

หินก้อนนั้นมีขนาดใหญ่ เหมือนขุนเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง ดำสนิททั้งก้อน ไม่มีเส้นสีแทรกซ้อนเลยสักสาย

กู้ซีจิ่วสะดุ้งโหยง นึกว่าหินก้อนนี้จะซัดลงบนศีรษะคนผู้นั้นเสียแล้ว!

กลับนึกไม่ถึงว่าในวินาทีที่หินก้อนนั้นกำลังจะตกใส่หลังคา ก็กลายร่างเป็นมนุษย์ จำแลงเป็นบุรุษชุดดำคนหนึ่ง คุกเข่าอยู่ตรงหน้าคนชุดม่วง “ท่านเจ้า มีเรื่องใดจะสั่งการหรือขอรับ?”

คนชุดม่วงผู้นั้นยืดกายอย่างเกียจคร้าน “ดาวชะตาเหล่านี้เปิ่นจุนจัดแจงเรียบร้อยแล้ว นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็อยู่พิทักษ์ที่นี่เถิด”

คนชุดดำผู้นั้นตะลึงไปครู่หนึ่ง เอ่ยโพล่งออกมา “รวดเร็วปานนี้เชียวหรือ?!”

คนชุดม่วงมองเขาอย่างเฉื่อยชา “เปิ่นจุนเคยชักช้าตั้งแต่เมื่อไหร่กันเล่า?”

คนชุดดำผู้นั้นก้มหน้า “เมื่อก่อนทุกครั้งที่ท่านเจ้ากลับมาล้วนต้องใช้เวลาจัดแจงวิถีดาราอยู่หลายร้อยปี หนนี้ยังไม่ถึงหนึ่งปีเลย…”

คนชุดม่วงผินหน้ามองเขาแวบหนึ่ง “รังเกียจที่เปิ่นจุนจัดการรวดเร็วไปหรือ?”

“มิกล้าขอรับ!” คนชุดดำหมอบราบอยู่บนพื้น

คนชุดม่วงพยักหน้าเล็กน้อย “ลุกขึ้นเถอะ”

คนชุดดำถึงได้ลุกขึ้น ค้อมกายเอ่ยกับคนชุดม่วง “ท่านเจ้ายุ่งง่วนอยู่นานปานนี้ ต้องการลงไปพักผ่อนสักหน่อยหรือไม่ขอรับ?”

“เปิ่นจุนต้องการลงไปจริงๆ นั่นแหละ การลงไปหนนี้คงจะยาวนานสักหน่อย พวกเจ้าทั้งหกสลับเวรยามกันเฝ้าดูให้ดีก็พอ” แขนเสื้อของชายชุดม่วงโบกสะบัดอยู่ในสายลม ราวกับพร้อมจะปลิวหายไปได้ทุกเมื่อ

คนชุดดำตะลึง “ความหมายของท่านเจ้าก็คือ? จะลงไปยังโลกเบื้อล่างหรือขอรับ?”

———————————————