บทที่ 1888+1889

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1888 เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ 4

“มิผิด!”

ชายชุดดำโง่งมไปแล้ว “แต่ว่า…แต่ว่าห้าพันปีท่านเจ้าถึงจะลงไปสักหนมิใช่หรือขอรับ? ครั้งนี้เพิ่งกลับมาได้ยังไม่ถึงปีเลย…เหตุใดจะลงไปอีกแล้วล่ะขอรับ? เกรงว่าร่างกายท่านจะทนรับความเหนื่อยล้าเช่นนี้ไม่ไหวเอานะขอรับ…”

คนชุดม่วงเหม่อมองไปที่ดาวดวงหนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไป ผ่านไปพักหนึ่งจึงถอนหายใจเบาๆ “นานพอแล้ว…ที่นี่หนึ่งวันโลกเบื้องล่างหนึ่งปี…”

คนชุดดำเหมือนอยากกล่าวอันใดแต่ก็ไม่กล่าวออกมา คนชุดม่วงมองเขาแวบหนึ่ง “มีอันใดก็พูดออกมาตรงๆ!”

คนชุดดำตัดสินเอ่ยไปว่า “ท่านเจ้าขอรับ ตามกฎเกณฑ์ลิขิตสวรรค์ ห้าพันปีท่านลงสู่โลกเบื้องล่างหนึ่งหน แต่ตอนนี้ท่านกลับมายังไม่ถึงหนึ่งปีเลย หากลงไปยังโลกเบื้องล่างอีกครั้งเกรงว่าไม่อาจใช้ร่างเดิมที่โลกเบื้องล่างได้แล้ว…”

คนชุดม่วงพยักหน้านิดๆ “รู้แล้ว เปิ่นจุนไม่อาจปิดผนึกพลังยุทธ์พื้นฐาน ลบความทรงจำแล้วใช้ร่างเดิมที่โลกเบื้องล่างได้อีกแล้ว จะต้องจุติใหม่…”

คนชุดดำรู้สึกไม่ยอมรับอยู่บ้าง “ท่านเจ้า ด้วยฐานะนี้ของท่าน ไม่ว่าจะไปจุติที่ใดล้วนไม่สมเกียรติของท่านทั้งสิ้นนะขอรับ…ไม่เช่นนั้น ปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ลิขิตสวรรค์ดีไหมขอรับ?”

คนชุดม่วงส่ายหน้า “ไม่ต้อง ลิขิตสวรรค์ส่งผลต่อทุกสรรพสิ่ง  การปรับปรุงแก้ไขต้องศึกษาพิจารณามากมายหลายด้าน ถึงแม้เปิ่นจุนจะเป็นผู้บัญญัติกฎเกณฑ์แห่งลิขิตสวรรค์ แต่ก็ต้องเคารพกฎเช่นกัน ไม่อาจเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน แล้วปรับแก้กฎเกณฑ์ลิขิตสวรรค์ใหม่ได้…เปิ่นจุนยังไม่เคยจุติมาก่อน ลองสักครั้งก็ไม่เสียหายอะไร”

“แต่…แต่หากว่าท่านเจ้าลงไปจุติดังว่า ก็ไม่อาจนำพลังยุทธ์ติดกายไปด้วยได้ และไม่มีความทรงจำเหมือนกัน ไม่แตกต่างจากเด็กน้อยธรรมดา ประกอบกับการลงสู่โลกเบื้องล่างของท่านหนนี้ขัดต่อวิถีสวรรค์ เกรงว่าชะตาชีวิตจะประสบเคราะห์กรรม วัยเด็กเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม…”

คนชุดดำเอ่ยถึงข้อเสียของการลงไปหนนี้ คิดจะโน้มน้าวคนชุดม่วงให้ล้มเลิกความคิดนี้เสีย “ท่านเจ้าขอรับ มิสู้ท่านรออีกสักพันปีแล้วค่อยลงไปอีกครั้งจะดีกว่า ถึงแม้อีกพันปีให้หลังท่านก็ยังไม่สมควรลงไป แต่ก็ยังดีกว่าจุติใหม่…”

คนชุดม่วงสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง “ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่ต้องพูดมากอีก”

คนชุดดำจึงไม่กล้าโน้มน้าวแล้ว เพียงเอ่ยถามประโยคหนึ่ง “ท่านเจ้าขอรับ ชะตาชีวิตหลังจุติของท่านต้องจัดแจงไว้ในผังชะตาหรือไม่?”

คนชุดม่วงเงยหน้ายิ้มแวบหนึ่ง “ไม่ต้อง เปิ่นจุนชมชอบอิสระเสรี ไม่จำเป็นต้องจัดผังชะตาให้เปิ่นจุน หลังจากเปิ่นจุนจุติแล้วก็ปล่อยให้ดำเนินไปตามธรรมชาติเถิด”

“ขอรับ!”

คนชุดดำเงยหน้ามองนภาดาษดาว สองมือขยับเคลื่อนไหว จรดนิ้วทำมุทราที่พิสดารยิ่งนักอย่างหนึ่ง บนร่างมีแสงสีรุ้งผุดออกมาเป็นชั้นๆ…

และร่างกายของเขาก็หายห่างออกไปพร้อมกับแสงสีรุ้งเหล่านั้น จุติ ณ ดวงดาวที่อยู่ห่างไกลออกไปยิ่งนัก

คนชุดดำผู้นั้นทึ่มทื่ออยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ตบศีรษะหนึ่งที “แย่แล้ว ลืมถามไปเลยว่าท่านเจ้าจะไปจุติที่โลกใด…ซวยแล้ว! เมื่อท่านเจ้ากลับชาติไปจุติใหม่ จะไม่มีความสามารถและความทรงจำอยู่เลย หากว่าเกิดอันตรายขึ้น ก็ไม่อาจให้ความช่วยเหลือได้…”

กู้ซีจิ่วยืนอยู่ที่เดิม มองจนทึ่มทื่อไปแล้ว!

เสียงยามเอ่ยวาจาของคนชุดม่วงผู้นั้นสำหรับเธอแล้วช่างคุ้นหูยิ่งนัก ทำให้เธอใจสั่น

แต่บทสนทนาระหว่างเขากับลูกน้องของเขาต่างหากที่ทำให้เธอตะลึงที่สุด

เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์!

คนชุดม่วงผู้นั้นสมควรเป็นเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์!

เพียงน่าเสียดายที่ตนไม่ได้เห็นรูปโฉมของเขา มิเช่นนั้นคงตามหาได้สะดวกกว่าเดิม

เขาจุติใหม่หรือ?

แล้วจุติเป็นใครล่ะ?

เหตุการณ์นี้ตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว?

ข้อสงสัยนับไม่ถ้วนวนเวียนอยู่ในสมองกู้ซีจิ่วปานพายุหมุน ทว่าไม่อาจสะสางได้

เธอก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่อาจอดใจไว้ได้ ทันใดนั้นฉากเบื้องหน้าพลันสลายไปอย่างรวดเร็วปานเมฆหมอก…

มีเสียงหนึ่งร้องเรียกอยู่ข้างหูเธอ “ซีจิ่ว ซีจิ่ว ตื่นสิ! ตื่น!”

กู้ซีจิ่วลืมตาขึ้นทันที พบว่าตนยังอยู่ในห้องพักของโรงเตี๊ยม แต่หน้าเตียงของเธอกลับมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่

ชุดคลุมสีขาวซีด ดวงหน้าหล่อเหลา กายคนสูงโปร่งดั่งต้นอวี้ เป็นหลงซือเย่

————————————————————————-

บทที่ 1889 บังเอิญพบ

กู้ซีจิ่วงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง “ครูฝึกหลง ท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”

เมื่อหลงซือเย่เห็นเธอตื่นแล้ว ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “ข้าตามหาเจ้าทั้งวันเลย ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมานอนอุตุอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ หลับไปถึงสามวันเต็มๆ เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น เป็นอะไร? ฝันร้ายหรือ?”

กู้ซีจิ่วลุกขึ้นนั่ง นวดคลึงหว่างคิ้ว เธอฝันจริงๆ นั่นแหละ…

จะว่าไป เธอฝันถึงอะไรกันนะ?

เธอนวดจุดไท่หยางคิดอยู่พักหนึ่ง กลับนึกไม่ออกเลย

รู้สึกรางๆ เพียงว่าตนคล้ายจะฝันถึงเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์…

นี่ตนตามหาเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์จนเพี้ยนไปแล้วเหรอ?

ที่หลงซือเย่ตามหาเธอไม่ได้มีเรื่องอื่นใด ยามที่มหาเทพวิวาห์ เขาเป็นแม่ทัพเซียนที่ดูแลรักษาความปลอดภัย ได้เห็นการปรากฏตัวของกู้ซีจิ่ว หลังจากเธอจากไปเขาก็ค่อนข้างกังวลอยู่ตลอด ดังนั้นหลังจากเขาปฏิบัติหน้าที่เสร็จสิ้นแล้วจึงติดต่อหาเธอ ทว่าติดต่อไม่ได้เลย

ถึงได้เริ่มออกตามหา หาอยู่เนิ่นนานจนมาพบที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ แรกเริ่มเห็นเธอหลับสนิทจึงไม่กล้ารบกวน ต่อมาเห็นว่าเธอหลับไปหลายชั่วยามแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ค่อนข้างกังวล ถึงได้ปลุกเธอ ทว่าปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่นเลย…

กู้ซีจิ่วก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าการนอนหลับครั้งนี้ของตนจะหลับไปถึงสามวัน เธอหว่างคิ้วเบาๆ “คงเป็นเพราะหลายวันมานี้ไม่ได้พักผ่อนดีๆ เลย ถึงได้หลับเป็นตายอย่างหาได้ยากเช่นนี้”

หลงซือเย่มองสีหน้าเธอ เมื่อยืนยันแล้วว่าเธอไม่เป็นอะไรจริงๆ ถึงได้วางใจ

ยามนี้เป็นช่วงเย็นแล้ว หลงซือเย่จึงชวนเธอไปกินอาหารที่ภัตตาคารด้วยกันสักมื้อ ทั้งสองกินไปพลางคุยไปพลาง

จากถ้อยคำของหลงซือเย่ กู้ซีจิ่วจึงรู้ว่าฟ้าของแดนพ้นโศกผลัดเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์แล้ว ส่วนจักรพรรดิเซียนที่หายตัวไปกล่าวกันว่าดับสูญไปแล้ว ไม่พบเบาะแสร่องรอย ส่วนองค์รัชทายาทสิ้นชีพลงด้วยน้ำมือของจอมมารหนิงเสวี่ยโม่ในสงครามเทพมารเมื่อครั้งก่อน องค์ชายอวิ๋นเยียนหลีหายสาบสูญไปไม่ทราบเบาะแสอีกเลย ภพเซียนไม่อาจขาดผู้ปกครองได้แม้เพียงวันเดียว ดังนั้นด้วยการจัดการของจอมมารและมหาเทพ ขุนพลอันดับหนึ่งของภพเซียนเย่เทียนหลีผู้นั้นจึงได้เถลิงราชย์ขึ้นเป็นจักรพรรดิเซียน…

หลังจากเย่เทียนหลีขึ้นครองราชย์ก็ประกาศนิรโทษกรรมทั้งแผ่นดิน ปรับแก้พระราชบัญญัติ ราชบัญญัติข้อแรกที่ปรับแก้คือ ‘ผู้โบยบินไม่อาจเป็นขุนนางที่มียศสูงกว่าขั้นหกได้’ ให้สามารถเป็นได้

กล่าวอีกนัยคือ ขอเพียงมีความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นชาวเซียนดั้งเดิมหรือว่าผู้ที่ทะลวงขั้นโบยบินขึ้นมา ล้วนสามารถเป็นขุนนางตำแหน่งสูงได้

และเนื่องด้วยเหตุผลนี้ หลงซือเย่ผู้มีความสามารถจึงได้เลื่อนขึ้นไปอีกขั้น จากนายกองเป็นหัวหน้านายกองเป็นขุนนางขั้นห้าแล้ว

กู้ซีจิ่วมองหลงซือเย่อย่างค่อนข้างเหม่อลอยอยู่ชั่วขณะ หลงซือเย่ได้ปัจจุบันนี้ได้ถือเอาแดนพ้นโศกเป็นบ้านของเขาไปอย่างสมบูรณ์ เขาค่อยๆ บุกเบิกเส้นทางชีวิตของเขาไปทีละก้าวๆ จากข้ารับใช้ในตอนที่เพิ่งมาถึงบัดนี้ได้กลายเป็นขุนนางเซียนขั้นห้าแล้ว ชีวิตของเขาชัดเจนแน่วแน่

เขาลืมเลือนทุกอย่างในทวีปซิงเยวี่ยไปแล้ว การมาที่นี่เปรียบเสมือนการบุกเบิกเส้นทางชีวิตสายใหม่ของเขา…

การโบยบินขึ้นมาเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการกลับชาติเกิดใหม่กระมัง?

ทุกสิ่งในวันวานได้ตายจากไปในวันวานแล้ว ตัวเขาในตอนนี้ไม่ใช่เจ้าสำนักถามสวรรค์อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นหัวหน้ากองแห่งแดนพ้นโศก เป้าหมายของเขาคือการได้เป็นขุนพลเซียนอย่างแท้จริง…

หากว่าตนไม่ได้ขึ้นมาด้วยวิธีการนี้ แต่ดับขันธ์เช่นเดียวกับเทพศักดิ์สิทธิ์ของโลกเบื้องล่างอื่นๆ หลังจากขึ้นมาก็จะไม่มีความทรงจำเหมือนกัน เช่นนั้นก็มิใช่จะเห็นที่นี่เป็นบ้านเหมือนกันหรอกหรือ?

‘เทพศักดิ์สิทธิ์’ ผู้โบยบินขึ้นมาที่เธอเคยไปกราบคารวะเหล่านั้น ล้วนกลายเป็นซ่างเซียนทั้งสิ้น พวกเขาก็ไม่มีความทรงจำของโลกเบื้องล่างเช่นกัน ใช้ชีวิตอย่างสำราญยิ่งนัก

บางทีอาจมีแค่เธอคนเดียวที่ยังเห็นโลกเบื้องล่างแห่งนั้นเป็นบ้าน การมาที่ดินแดนเบื้องบนก็แค่มาทำภารกิจเท่านั้น…

และบางทีเธอก็คงไม่ได้ยึดเอาโลกเบื้องล่างเป็นบ้านไปเสียทั้งหมด เนื่องจากพอเธอลงไปยังโลกเบื้องลงแล้ว ความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างนั้นก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย ไม่ว่าจะเป็นดินแดนเบื้องบนหรือโลกเบื้องล่าง เธอล้วนมีความรู้สึกว่าชีวิตล่องลอยไร้ที่ยึดเหนี่ยวทั้งสิ้น

เธอค่อนข้างใจลอยอยู่บ้าง จวบจนหลงซือเย่คารวะสุราเธออีกครั้งเธอได้สติกลับมา

————————————–