ภาคที่ 25 ผู้ปกครอง ตอนที่ 25 จากไป

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 25 จากไป โดย Ink Stone_Fantasy

วิชาลับผู้ท่องชั้นที่ยี่สิบทำให้การหลบหลีกในอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเดิมทีก็ร้ายกาจอย่างยิ่งอยู่แล้วสามารถไปถึงข้างกายศัตรูได้อย่างไร้สุ้มเสียง บวกกับการบดบังของฟ้าดินโลกเทียมก็ร้ายกาจยิ่งขึ้น อย่างน้อย ‘ร้อยกัณฐ์คำรน’ ก็มิอาจตรวจพบได้จริงๆ

หอกยาวสีเงินเล่มหนึ่งพลันปรากฏขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า แล้วแทงไปยังตาข้างเดียวบนศีรษะหนึ่งของร้อยกัณฐ์คำรน หอกยาวราวกับเงาอันเลือนรางที่ทั้งรวดเร็วและเฉียบพลันนัก! แต่ในฐานะที่ ‘ร้อยกัณฐ์คำรน’ อยู่ในระดับขั้นเทพอากาศ ศีรษะจึงขยับไหวไปตามสัญชาตญาณ หอกซึ่งเดิมทีแทงตรงไปที่ตาข้างเดียวนั้นแทงลงบนใบหน้าของเขาแทน

ผิวหนังของมันแข็งแกร่งทนทานยิ่งนักและมีลวดลายเล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วนตามธรรมชาติ ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเหมือนหอกนั้นแทงเข้าสู่ความว่างเปล่า ทั้งยังมีพละกำลังอันสับสนอลหม่านชนิดแล้วชนิดเล่าคอยเหนี่ยวนำ

“ฟึ่บ” ใบหน้าของมันถูกแทงเข้าไปเล็กน้อย นับว่าทำให้ผิวหนังแตก จากนั้นก็ถอนหอกยาวออกมา โลหิตสีดำปลิวว่อน

“แฮ่…”ร้อยกัณฐ์คำรนร้องคำรามอย่างบ้าคลั่งยิ่งขึ้น ปากใหญ่ดุจแอ่งโลหิตบนของศีรษะนับร้อยต่างก็พ่นหมอกพิษออกมา หมอกพิษผสานรวมกับบริเวณอันดำมืดโดยรอบแล้วกัดกร่อนทำลายล้างทุกสิ่งอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ร่างแปรซึ่งจำแลงอยู่ไกลออกไปนั้นต้านทานไม่ไหวจนละลายหายไปทันที พละกำลังของบริเวณนี้ยังรุกรานเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียมอีกด้วย

“แม้จากเทพแท้ไปเทพอากาศจะเป็นการก้าวข้ามระดับขั้นใหญ่ แต่วิชาลับผู้ท่องของข้าเป็นชั้นที่ยี่สิบ พละกำลังของข้าเพียงพอจะคุกคามชีวิตของเทพอากาศแล้ว แม้หอกแรกจะเพียงเพื่อตรวจดูพลังของมัน มิได้ใช้ท่าไม้ตายก็ตามที แต่ต่อให้ใช้ท่าไม้ตาย อย่างมากก็แค่ทำให้มันบาดเจ็บได้เท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งอยู่ภายในฟ้าดินโลกเทียมมองร้อยกัณฐ์คำรนแล้วอดลอบส่ายหน้ามิได้ “รายงานนั้นมิใช่เรื่องลวงเลย แม้ร้อยกัณฐ์คำรนผู้นี้จะโง่เง่า แต่จะสังหารก็ต้องล่อลวงมัน มันพ่นหมอกพิษออกมามากขึ้น ทำให้พลังของมันลดลง…เมื่อครู่มีหวังจะสังหารศีรษะทั้งหมดของมันได้แล้ว”

วิธีสังหารร้อยกัณฐ์คำรน ก็คือต้องทำลายศีรษะทั้งหมดเสีย!

นี่นับว่าค่อนข้างง่ายแล้ว เทพอากาศที่แข็งแกร่งบางท่าน เช่น ‘จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต’ เชี่ยวชาญระบบ ‘ทิพย์’ ซึ่งค้นคว้าหมื่นสรรพสิ่ง ล้วนปรับเปลี่ยนร่างกายของตนให้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นร่างอมตะ ความสามารถในการรักษาชีวิตก็แข็งแกร่งกว่าร้อยกัณฐ์คำรนมากนัก

……

โลกดำมืดไปหมด พิษแผ่กำจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง

ร้อยกัณฐ์คำรนลอยคว้าล่องอยู่กลางอากาศ รยางค์จำนวนนับไม่ถ้วนแผ่คลุมไปทั่วทุกบริเวณ ศีรษะนับร้อยของมันกวาดไปรอบทิศ แต่กลับมิได้พ่นพิษออกมาอีกต่อไป

ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นแล้ว

ทว่าร่างกายของเขาเลือนราง เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นจากบริเวณดำมืดของโลกภายนอก แรงกดดันนี้เพียงพอจะสั่นสะเทือนให้พวกผู้ครองชิงและผู้ปกครองนรกโลกันตร์ถึงตายได้! เพราะถึงอย่างไรร่างกายของพวกผู้ครองชิงก็อ่อนแอกว่าวิชาลับผู้ท่องชั้นที่สิบเอ็ดอยู่บ้าง

“เจ้ามีลูกไม้แค่นี้ก็คิดจะสังหารข้าอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะฮ่าฮ่า ทันใดนั้นรอบกายก็พลันมีระลอกคลื่นสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น

ระลอกคลื่นสีแดงโลหิตแผ่กำจายออกไปทั่วทุกทิศทุกทาง ระลอกคลื่นแต่ละสายราวกับเส้นด้ายเส้นหนึ่ง เส้นระลอกคลื่นสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนสานทับกันไปมาราวกับเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วโจมตีไปทั่วทุกทิศทุกทาง

บริเวณการเข่นฆ่า!

‘วิถีเข่นฆ่า’ และ ‘วิถีระลอกคลื่น’ บรรลุถึงขั้นผู้ปกครองตั้งนานแล้ว ทั้งยังรับรู้ศาสตร์ลับตาข่ายสวรรค์ไร้เงาขั้นอลวน และนำวิธีการใช้ระลอกคลื่นบางอย่างหลอมรวมเข้าไปในบริเวณการเข่นฆ่า ทำให้อานุภาพของ ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ปะทุสูงขึ้นอย่างพรวดพราดเลยทีเดียว

แม้บริเวณการเข่นฆ่ากำลังพยายามโจมตีอยู่ แต่ภายใต้การกดดันของบริเวณดำมืดก็ยังคงกระจัดกระจายกัน

“อากาศ!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงยังควบคุมพละกำลังของอากาศ อานุภาพการควบคุมอากาศชั้นที่ยี่สิบก็น่าหวาดหวั่นมากเช่นเดียวกัน

“ตู้ม!!!” พละกำลังของอากาศผสานรวมกับบริเวณการเข่นฆ่าอย่างสมบูรณ์แบบ โจมตีและกดดันไปรอบทิศ

“ตู้มๆๆ…” บริเวณระลอกคลื่นสีแดงโลหิตพยายามโจมตีไปทั่วทุกทิศทุกทาง ส่วนบริเวณดำมืดกลับกดดันอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ขอบเขตของบริเวณการเข่นฆ่าทำได้เพียงคงไว้ที่ร้อยกว่าลี้เท่านั้น มิอาจขยายออกไปได้อีก

“คิดไม่ถึงว่าบริเวณการเข่นฆ่าผสานรวมกับพละกำลังของอากาศ เมื่อบริเวณปะทะกัน ข้าก็ยังคงตกเป็นรองอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ถึงอย่างไรความแตกต่างของผู้ปกครองและเทพอากาศก็มากมายเกินไปอยู่ดี”

……

ชายชราผมขาวซึ่งยืนดูอยู่ด้านข้างก็ตกใจนัก ผู้ปกครองคนหนึ่งสามารถปะทะกับเทพอากาศในด้านบริเวณได้ แม้จะเป็นเทพอากาศที่ค่อนข้างอ่อนแอ แต่ก็ถือว่าเก่งกาจมากแล้ว

“ตายให้ข้าเสียเถอะ” ร้อยกัณฐ์คำรนแผดเสียงร้องออกมาเป็นภาษาที่ไม่รู้จัก แต่เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายทันที ร้อยกัณฐ์คำรนแผดเสียงร้องพลางพ่นหมอกพิษออกมาต่อไป อากาศอันดำมืดผสานรวมเข้ากับหมอกพิษ อานุภาพคล้ายจะกำลังแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งยังกัดกร่อนบริเวณการเข่นฆ่าของตงป๋อเสวี่ยอิงเสียงดัง ‘ฟึ่บๆๆ’ อย่างแปลกพิกล

“หมอกพิษสามารถกัดกร่อนบริเวณของข้าได้ด้วยอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบหวั่นเกรง

“วิธีการแค่นี้ สำหรับข้าแล้วไม่มีประโยชน์หรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงหัวเราะเสียงดัง เสียดแทงฝ่ายตรงข้าม

เมื่อร้อยกัณฐ์คำรนแปรเป็นเงารางถลาเข้ามาพร้อมกับรยางค์จำนวนมากที่เข้าโจมตีนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อาศัยฟ้าดินโลกเทียมและการเคลื่อนที่ในอากาศหลบหนีไป เขาท้าทายครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เพื่อทำให้ร้อยกัณฐ์คำรนแตะต้องเขามิได้ บางครั้งตงป๋อเสวี่ยอิงยังถึงขั้นสำแดงร่างแปรออกมาลอบโจมตีอีกด้วย! ทั้งยังใช้ลูกดอกลอบโจมตีด้วย! ร่างจริงก็ลอบโจมตีด้วยเช่นกัน!

ทว่าทุกครั้งที่ลอบโจมตี ก็สำแดงพลังออกมาเพียงส่วนเดียวเท่านั้น เพื่อป้องกันมิให้ร้อยกัณฐ์คำรนรู้ตัว

การลอบโจมตีเหล่านี้ก็พอจะทำให้ร้อยกัณฐ์คำรนผิวหนังแตกได้บ้างอย่างพอถูไถ แต่ก็เพียงพอให้ร้อยกัณฐ์คำรนเดือดดาลยิ่งขึ้นแล้ว ผู้ปกครองที่อ่อนแอผู้นี้หนีได้เก่งเช่นนี้ มันไล่สังหารศัตรูผู้นี้มิได้ จึงได้แต่พ่นหมอกพิษออกมามากยิ่งขึ้น หมายจะอาศัยบริเวณพันธนาการศัตรูเอาไว้

******

ชายชราผมขาวคอยดูอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา หลังจากเห็นร้อยกัณฐ์คำรนพ่นหมอกพิษออกมามากยิ่งขึ้นแล้วค่อยๆ อ่อนกำลังลงแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่ง เก็บซ่อนพลังที่แท้จริงมาโดยตลอดแล้วลอบโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าจนมั่นใจว่าจะสามารถสังหารได้ในที่สุดก็ปะทุออกมาแล้วสำแดงปรัชญาคลื่นลมออกมาโจมตี เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งขึ้นมากทีเดียว

เขาอาศัยการห้ำหั่นประชิดตัวอันน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งสังหารศีรษะหนึ่งของร้อยกัณฐ์คำรนได้สำเร็จ ร้อยกัณฐ์คำรนจึงได้ตกใจและรู้ตัว

ผู้ปกครองที่สมควรตายผู้นี้ เก็บซ่อนพลังเอาไว้หรือนี่!

ขณะนี้เอง รยางค์อันแน่นขนัดของมันก็เริ่มป้องกันอย่างสุดชีวิต มันทุ่มเทอย่างสุดกำลังแล้ว ทว่าการหลบหลีกของตงป๋อเสวี่ยอิงร้ายกาจเกินไป แม้การสังหารศีรษะจะยากลำบากยิ่งขึ้น แต่หากใช้เวลามากหน่อยก็พอจะสามารถทำสำเร็จได้ เขาลอบโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วสังหารไปทีละศีรษะๆ หลังจากศีรษะทั้งร้อยถูกสังหารจนหมดและร่างของร้อยกัณฐ์คำรนร่วงลงจากกลางฟากฟ้าแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

ศึกครั้งนี้ดำเนินต่อเนื่องกันเป็นเวลาถึงสองวัน เวลาเก้าส่วนหมดไปกับการสังหารทีละศีรษะ เพราะแต่ละศีรษะนั้นต้องใช้เวลานานมากจึงจะสามารถกำจัดได้

“เจ้าชนะแล้ว” ชายชราผมขาวมองตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มๆ “ทว่าเจ้าควรจะเข้าใจเอาไว้ว่า หากมิใช่เพราะนายท่านสั่งเจ้าหุ่นเชิดร้อยกัณฐ์คำรนนี้ไว้ก่อนแล้วว่าต้องพยายามสังหารเจ้าอย่างสุดกำลัง หากเป็นการต่อสู้ตามปกติแล้วล่ะก็ เจ้าจะล่อลวงมันให้พ่นหมอกพิษออกมามากมายเช่นนี้ก็จะยากยิ่งกว่านี้ อีกทั้งเมื่อมันพบว่าท่าไม่ดีแล้ว เกรงว่าก็คงจะพยายามหนีอย่างสุดกำลังไปตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว มิตินี้มีขอบเขตเล็กเกินไป มันจึงหลบไม่พ้น”

“ข้าเข้าใจขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

เพราะว่านี่คือการทดสอบ

ดังนั้นร้อยกัณฐ์คำรน หุ่นเชิดตัวนั้นจึงได้รับคำสั่งมาก่อนแล้ว ว่าให้พยายามสังหารผู้ปกครองที่มาทดสอบอย่างสุดกำลัง ดังนั้นมันจึงถูกล่อลวงให้พ่นหมอกพิษออกมาได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น

“เคราะห์ดีที่ก่อนหน้านี้ก็มีรายงานมาแล้ว มิเช่นนั้นคงจะคว้าชัยได้ยากกว่านี้ และนี่ยังเป็นเทพอากาศที่ค่อนข้างอ่อนแออีกด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้จักตนเองดี “ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเทพอากาศท่านหนึ่ง ข้าสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ อย่างน้อยก็มีพลังพอจะสู้ข้ามขั้นได้แล้ว! คิดจะให้พลังบรรลุถึงระดับศิษย์อาภรณ์ทองของโลกทิพย์ทะเลสัตตดารานั้น ข้ายังต้องยกระดับขึ้นไปอีก”

ตนบำเพ็ญระบบผู้ท่องอากาศไปควบคู่กัน ก็ยังผ่านการทดสอบได้อย่างฉิวเฉียดปานนี้ จะดูแคลนผู้บำเพ็ญคนอื่นมิได้เลยเชียว

******

ณ กระท่อมฟางหลังกลาง

“นั่นคือสถานที่ซึ่งท่านบรรพชนเคยอาศัยอยู่มานานแสนนาน และเป็นสถานที่ที่มีแต่ระดับผู้ปกครองซึ่งผ่านการทดสอบเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปได้” ชายชราผมขาวเอ่ย

“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงผลักประตูไม้แล้วเดินเข้าไป

เขาอยู่ภายในนานสองนานจึงออกมาได้ เมื่อออกมา บนกายก็ยังคงสวมอาภรณ์ทองอยู่ นัยน์ตาแฝงแววผิดหวังเล็กน้อย

ข้อดีของศิษย์อาภรณ์ทองช่างมีมากมายโดยแท้! ทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตาเป็นอย่างมาก ศิษย์อาภรณ์ทองได้รับความสำคัญและการปกป้อง…ไม่แพ้ที่ผู้ท่องอากาศกู่ฉีให้ความสำคัญกับผู้สืบทอดเลย เพราะถึงอย่างไรผู้ท่องอากาศกู่ฉีก็คือจอมยุทธ์ผู้เดียวดายซึ่งไม่เข้าใจการสั่งสอนศิษย์นัก ส่วนวังทวีสูญนั้นรอบด้านมากกว่า

“น่าเสียดายที่ไม่มีสิ่งที่จะช่วยเหลือจิ้งชิวและอวี้เอ๋อร์ได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างด้วยเหตุนี้ อันที่จริงเมื่อคิดๆ ดูแล้วก็ถูกต้อง สิ่งที่วังทวีสูญมอบให้ศิษย์อาภรณ์ทองนั้นย่อมมีไว้ช่วยเหลือศิษย์อาภรณ์ทอง ไหนเลยจะช่วยให้เทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นคนหนึ่งหลุดพ้นได้เล่า

“ต้องการอาวุธเทพอากาศอะไร” ชายชราผมขาวถามยิ้มๆ

“หอกขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

“หอกมีเพียงสองเล่มเท่านั้น ข้าจะเอามาให้เจ้าเลือกก็แล้วกัน” ชายชราผมขาวเอ่ย

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

อาวุธเป็นของนอกกาย สิ่งที่สำคัญที่สุดโดยแท้จริงนั้น ตนได้มาจากภายในกระท่อมฟางเรียบร้อยแล้ว

……

ณ จวนจ้าวตงป๋อ ทะเลหมอกดำ

เรื่องที่เขาจากจักรวาลไปมีผู้ล่วงรู้น้อยยิ่งนัก แม้แต่สหายสนิทอย่างฉือชิวไป๋ ผู้เคารพหั่วเฉิง ศิษย์พี่ฮุ่ยหมิงและบรรพชนเพลิงชาด ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เพียงแค่แจ้งว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญต้องเดินทางไกล อีกนานมากจึงจะกลับมา” ส่วนจะไปที่ใดนั้น เขามิได้พูดถึงเลย

ทว่าเขาบอกภรรยาและลูกๆ เอาไว้

พวกเขาสี่คนพ่อแม่ลูกกำลังเดินอยู่ในจวนจ้าวตงป๋อด้วยกัน เกี่ยวกับเรื่องที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะจากจักรวาลไปนั้น ‘ตงป๋ออวี้’ บุตรชายเคยคัดค้านอย่างรุนแรง “ข้าสามารถหลุดพ้นเองได้! ท่านพ่อ ท่านไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตออกไปเสี่ยงหรอกนะขอรับ”

แม้แต่อวี๋จิ้งชิว ในตอนแรกเริ่มก็คัดค้านเช่นกัน “เสวี่ยอิง พวกเราครองคู่กันมานานแสนนาน ต่อให้ข้าต้องตายไปในท้ายที่สุด ข้าก็พอใจมากแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องทุ่มเทชีวิตเพื่อข้าอีกแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย

จิ้งชิวและอวี้เอ๋อร์สามารถเผชิญกับความตายได้อย่างเรียบเฉย แต่ไม่อยากให้เขาไปเสี่ยงอันตราย

เขาจะยอมปล่อยให้ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาได้อย่างไรกัน ไม่พยายามอะไรสักนิดเลยอย่างนั้นหรือ เขาทำไม่ได้หรอก!

 อวี๋จิ้งชิวและตงป๋ออวี้ก็ล้วนรู้จักนิสัยของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอย่างดี พวกเขาพูดให้เปลี่ยนใจมิได้ ก็ทำได้เพียงยอมรับเท่านั้น ทำได้เพียงใช้วันคืนที่ได้อยู่ร่วมกันอย่างมีคุณค่าเท่านั้น

“ก่อนยุคจักรวาลนี้จะสิ้นสุดลง ข้าต้องกลับมาอย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ

อวี๋จิ้งชิว ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาต่างก็กังวล

ด้านนอกนั่นอันตรายยิ่งกว่า

“ข้าเป็นศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญ ไม่ตายง่ายๆ ถึงเพียงนั้นหรอกนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม เรื่องการมีอยู่ของวังทวีสูญ เขาก็ได้บอกบุตรภรรยาแล้ว ทว่าบอกให้พวกเขาเก็บเป็นความลับ ห้ามเผยแพร่ออกไปเป็นอันขาด

เอาล่ะ ควรไปได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว ยามนี้เงาร่างอีกสองสายก็ปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือร่างอีกสองร่างของเขา ร่างทั้งสามพลันผสานเป็นหนึ่งเดียว

หลังจากจักรวาลไปแล้ว เมื่อไม่มีจักรวาลคอยคุ้มครอง ก็จะได้พบการฝึกฝนต่างๆ จากกฎเกณฑ์ของทั้งจักรวาลอันสับสนอลหม่านต้องมีชีวิตครบสมบูรณ์จึงจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน ดังนั้นเหมือนกู่กานหลัวที่ถูกสังหารไป ก็คือตายไปจริงๆ ตอนแรกกู่กานหลัวจึงได้รู้สึกสิ้นหวังถึงเพียงนั้น

ฟิ้ว

เขาก้าวออกไปก้าวหนึ่งก็ไปถึงกลางฟากฟ้าเหนือจวนจ้าวตงป๋อ

อวี๋จิ้งชิว ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาต่างพากันเงยหน้ามองดู กลางอากาศก็มีเงาร่างปรากฏขึ้นมาอีกสายหนึ่ง ซึ่งก็คือจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตซึ่งรอคอยอยู่รอบๆ นานแล้ว

“เสวี่ยอิง ระวังตัวด้วย เรื่องภายในจักรวาลปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเถิด” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกล่าว เขารู้จักแผนที่เส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา และรู้ว่าทางสายนี้ทั้งไกลลิบและอันตราย ทว่ารู้มาว่าศิษย์ได้สำเร็จเป็นศิษย์อาภรณ์ทองแล้ว เขาก็มั่นใจในตัวศิษย์ขึ้นมาบ้าง

“พ่ะย่ะค่ะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงกวัดแกว่งหอก แล้ววาดออกมาเป็นรอยแยกสายหนึ่ง นอกรอยแยกก็คืออากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างใหญ่ไพศาลหาใดเทียม

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟันกลับมามองภรรยา บุตรชายและบุตรสาว สิ่งที่ทิ้งเอาไว้ได้เขาก็ทิ้งเอาไว้หมดแล้ว

“ข้าจะกลับมาแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ จากนั้นก็ยิ้มให้ครอบครัวครั้งแล้วครั้งเล่า

จากนั้น สวบ

เขาบินไปตามรอยแยกของผนังเยื่อจักรวาลโดยตรง ฉากนี้ทำให้จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตแตกตื่นเล็กน้อย “ร่างกายเข้าไปในอากาศอันสับสนอลหม่านโดยตรงเลยหรือ โดยทั่วไปต้องเป็นเทพอากาศเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้ ผู้ปกครองก็ทำได้ด้วยหรือ ศิษย์ข้าคนนี้ช่างมีโชคอย่างไม่ธรรมดาเลยทีเดียว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงบินเข้าไปท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างใหญ่นั้น แล้วผนังเยื่อจักรวาลก็ค่อยๆ สมานกัน

อวี๋จิ้งชิว ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาก็เงยหน้ามองดู นัยน์ตาของอวี๋จิ้งชิวก็มีหยาดน้ำตารื้นขึ้นมาแล้ว ในใจนางกลัวมาโดยตลอดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะไปแล้วไปลับ

“ข้าจะรอท่าน รอท่านกลับมา” อวี๋จิ้งชิวพึมพำ

(จบบทนี้)

…………………..……