“ไหนเล่า” ออกัสจิบน้ำเบาๆ ตอนนี้เขาอยากฟังเรื่องของเธอไม่ว่าเรื่องเล็กหรือว่าเรื่องใหญ่ ถ้าเกี่ยวข้องกับเธอ เขาก็อยากจะได้ และเขาชอบที่จะฟังด้วย
เลอแปงก็รู้เช่นกันว่าเขาต้องการฟัง ดังนั้นเมื่อเขาได้รับการรักษาอย่างสมบูรณ์ในโรงพยาบาลแล้ว เขาจึงเริ่มเล่าสิ่งที่สองคนแม่ลูกทำทุกวันให้ฟังอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ตอนเช้ามาทักทาย จากนั้นก็พูดคุยกับเขาวันละครึ่งชั่วโมง อ่านข่าวให้ฟัง อ่านหนังสือพิมพ์ นั่งคุยด้วย และนวดให้ด้วย
ออกัสฟังอย่างละเอียด ไม่อยากพลาดเลยแม้แต่คำเดียว และเมื่อเขายิ่งฟัง เขาก็อยากเห็นการกระทำที่เริ่มใกล้ชิดของพวกเธอมากขึ้น จนทำให้ขนบนร่างกายเขาลุกขึ้นมากะทันหัน
เขาอยากเห็นเธอ อยากจะเห็นเธอมาก ความรู้สึกนี้ทำให้เขาแทบเป็นบ้า
เลอแปงรู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องของสุนันท์ไม่สามารถปิดเป็นความลับได้ แต่จะพูดในตอนนี้ได้ยังไง
เขาลังเล ลำบากใจ และสับสน
การแสดงออกเล็กๆเหล่านั้นไม่สามารถหลบสายตาของออกัสได้ เขามองเห็นได้อย่างชัดเจน “พูดมาเถอะมีอะไรลำบากใจ”
เลอแปงหลับตาเล่าเรื่องที่สุนันท์ทำทั้งหมดออกมาจนหมด เธอซื้อแอลกอฮอล์ เพื่อจะไปทำร้ายเชอร์รีน และให้การเท็จทำให้เชอร์รีนติดคุก จนทำให้เกิดสถานการณ์อย่างวันนี้
ออกัสไม่ได้พูดอะไรออกมา ใบหน้ารอเรานิ่งขนึมมาก เหมือนกับหมอกสีดำหนาทึบที่ไม่สามารถละลายได้ ในฐานะแม่ เธอทำอย่างนั้นได้ยังไง!
เขารู้ว่าเธอไม่ชอบเชอร์รีน และพอเขาไม่อยากให้เธอใช้วิธีของหยาดฝนทำกับเชอร์รีน เขาถึงได้เตือน
แต่คิดไม่ถึงว่าคำเตือนนั้นจะทำให้เธอขาดสติ และบ้าคลั่งมากขึ้น สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน
ขณะเดียวกัน เธอก็ทั้งโหดร้ายและบ้าคลั่ง ทำให้เขาไม่รู้สึกคุ้นเคยเลย
“แต่สุดท้ายเธอก็ยอมมอบตัว….” ตอนที่เลอแปงพูดถึงเรื่องนี้ ไม่ว่าน้ำเสียงหรืออารมณ์ต่างอยู่ในท่าทีสงบ “เธอรู้ความผิดของตัวเองแล้ว เธอจึงไปมอบตัว โดนตัดสินจำคุกสามปี ผมไปเยี่ยมเธอแล้ว เธอ….”
ออกัสนั่งฟังนิ่ง พลางขยับลูกกระเดือกกลืนน้ำลายไปด้วย แต่ความนิ่งของเขาทำให้ไม่มีใครรู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ผมว่านี่อาจจะไม่ใช่เรื่องร้ายสำหรับเธอ เธอบอกว่าอยู่ในคุกสบายดีมาก พอใจมาก เป็นความรู้สึกที่เธอไม่เคยได้รับมาก่อนตอนอยู่ที่คฤหาสน์ เธอบอกว่าอยู่ในนั้นเธอต้องพยายาม ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงของเธอ….”
“อืม….” เขาตอบรับเสียงเบา
“พี่ ไม่ว่ายังไง พี่ก็ไปเยี่ยมเธอหน่อยเถอะ ยังไงเธอก็เป็นแม่ผู้ให้กำเนิด อย่างน้อยครั้งนี้ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายมากมายอะไร ยังมีที่ว่างสำหรับการให้อภัยใช่ไหม”
ออกัสเปิดปากพูด “ฉันจะลองคิดดู เรื่องที่ฉันฟื้นขึ้นมาอย่าเพิ่งบอกพี่สะใภ้ แล้วก็อย่าเพิ่งให้หมอบอก ตอนนี้อย่าเพิ่งให้เธอรู้”
เขาไม่ได้บอกว่าจะไปหรือไม่ไปเยี่ยม เลอแปงแอบคิดในใจว่าถึงเขาจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แต่ไม่มีทางที่ในใจจะไม่มีปมอะไร แต่เขาก็พูดสิ่งดีๆแทนเธอไปหมดแล้ว ยังไงสิ่งที่เธอทำก็ร้ายแรงเกินไปจริงๆ
ถึงจะสงสัย แต่เลอแปงก็ไม่ได้ถามต่อ พูดเพียงว่า “นานแล้ว พี่ก็ควรจะตั้งสถานะให้พี่สะใภ้ได้แล้วนะ ไม่อย่างนั้นระวังจะโดนผู้ชายคนอื่นแย่งไป”
“มีเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากให้แกช่วย…”
ตอนเย็น เชอร์รีนอุ้มซารางกลับมาที่ห้อง ข้างนอกเริ่มฝนตกอีกแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมปีนี้ฝนในฤดูใบไม้ร่วงถึงตกบ่อยมาก
“ที่รัก ไปคุยเป็นเพื่อนแด๊ดดี้ก่อน หม่ามี๊จะไปซื้ออาหารเย็นมาให้”
เธอพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ซารางเดินไปข้างเตียง แด๊ดดี้ยังหลับอยู่ เธอเอื้อมมือเล็กไปลูบหน้าของแด๊ดดี้ จากนั้นก็ดูที่หลังมือ เมื่อเห็นว่าไม่ได้แดงแล้ว เธอก็ยกยิ้มขึ้นมา พร้อมพูดเสียงเบา “แด้ดดี๊หนูขอโทษนะคะ วันนี้หนูทำน้ำร้อนหกใส่หลังมือแด๊ดดี้”
“แล้วก็แด๊ดดี้ หลับนานแล้วนะไม่ยอมตื่นสักที หนูสูงขึ้นอีกแล้ว หม่ามี๊บอกว่าหนูสูงขึ้นสามเซนติเมตร แด๊ดดี้รีบมาจัดการหม่ามี๊เร็ว ช่วงนี้หม่ามี๊ขี้เกียจมาก! อาหารเช้าก็ไม่ยอมทำให้ดี เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว คุณครูบอกว่าหนูเป็นวัยเจริญเติบโต สารอาหารต้องครบ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปหนูไม่สูงจะทำยังไงล่ะ น่าเสียใจ….”
เธอกำมือเป็นกำปั้นท้าวคาง แล้วทอดถอนหายใจออกมา
ออกัสพยายามอย่างหนักที่จะไม่หัวเราะออกมา แต่มุมปากของเขาก็ยกยิ้มเยอะมาก แต่ซารางไม่เห็น
“วันนี้ครูเล่าเรื่องซือหม่ากวงทุบโอ่งให้ฟัง แต่หนูไม่ชอบซือหม่ากวง เขาแอบโง่ เด็กตกลงไปก็ต้องรีบโทรหาพ่อแม่เขาสิ ทำไมต้องทำลายข้าวของด้วย ครูให้หนูเรียนจากซือหม่ากวง หนูรู้สึกว่าหนูทำไม่ได้ หินหนักเกินไป ทำยังไงหนูก็ยกไม่ขึ้น ยังไงก็เรียนจากเขาไม่ได้ เห้อ ช่วงนี้ครูเริ่มไม่สมจริงแล้ว ซือหม่ากวงทุบโอ่งไม่ใช่เรื่องที่เด็กในวัยหนูต้องทำ….”
เธอยังคงนั้นบ่นอยู่ตรงนั้น และถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า มองแล้วช่างน่ารัก
เชอร์รีนซื้ออาหารเย็นขึ้นมา ซารางบอกว่าจะกินชาบู ดังนั้นเธอจึงซื้อมาด้วย
ด้วยความหิวซารางจึงกินไปเยอะมาก พร้อมตบพุงพูดว่าอร่อย จากนั้นก็หยิบแปรงสีฟัน ไปล้างหน้า และกลับมานั่งทำการบ้าน
เชอร์รีนมานั่งที่ที่ซารางหนังเมื่อสักครู่ ลูบขา และนวดขาให้เขา จากนั้นก็หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านให้เขาฟัง
“ไม่รู้ว่าคุณจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ นอนอย่างนี้ก็เหนื่อยไม่ใช่หรอคะ ฉะนั้นรีบตื่นขึ้นมาเถอะ…” เธอลูบหน้าผากเขาเบาๆ แล้วถอนหายใจออกมา
“คุณนอนไปก็ไม่มีประโยชน์ ฉันกับซารางรอคุณอยู่ คุณจะไม่ตื่นมาจริงๆ”
พูดจบเธอก็ลูบขาเบาๆ แล้วส่ายหัวพูดว่า “ถ้าคุณจะเอาแต่นอนอย่างนี้ ฉันจะพาซารางไปอยู่กับผู้ชายคนอื่นแล้ว”
ทันใดนั้นบรรยากาศก็เยือกเย็นลงทันที
“หม่ามี๊ หม่ามี๊ หนูทำการบ้านเสร็จแล้ว จะนอนๆ” ซารางรบเร้าอยู่ข้างหลัง
เธอตอบรับ ยืนขึ้นแล้วเอนตัวไปจูบปากเขาเบาๆ
“หม่ามี๊! หม่ามี๊เริ่มจะคุกคามแด๊ดดี้เยอะไปแล้ว! เอาแต่จูบทุกวัน ปากแด๊ดดี้จะเปื่อยหมดแล้ว!” ซารางเห็นจนชินแล้วจึงไม่แปลกใจ
เธอลืมตาขึ้น ขมวดคิ้ว ขยับริมฝีปากเล็กน้อย กำลังจะหันไปสอนเด็กน้อย เธอกลับรู้สึกว่าริมฝีปากของเธอลื่นขึ้น และกำลังมีลิ้นเปียกๆ ร้อนๆ กำลังจูบตอบกลับมา
สัมผัสนั้นเหมือนไฟฟ้าช็อตไปทั่วร่างกาย รูม่านตาของเธอขยายออก แล้วก็มลงไปมองด้วยความหวัง
เขายังคงหลับตา หายใจออกมาเบาๆ ในขณะที่ริมฝีปากยังแนบกันอยู่ เหมือนเขาไม่ได้ขยับเลย
ความผิดหวังเกิดขึ้นอย่างไม่อาจบรรยายได้ เธอลูบหน้าผากตัวเอง รู้สึกว่าช่วงนี้เธอเหนื่อยเกินไปแล้ว ถึงได้รู้สึกไปเองแบบนี้
เธอยืดตัวขึ้นเดินไปข้างเตียง และอุ้มซารางขึ้นมาพลางตบหลังเบาๆ ไม่นานเสียงหายใจอย่างสม่ำเสมอของทั้งสองคนก็ดังขึ้นในห้อง
เมื่อมั่นใจว่าทั้งสองคนหลับไปแล้ว ออกัสที่นอนอยู่บนเตียงก็ค่อยๆเปิดตา พยุ่งตัวขึ้น แล้วเหลือบสายตาไปมองทั้งสองคนด้วยความลึกซึ้ง
เพราะเขาตั้งใจจะเตรียมเซอร์ไพรส์ จึงไม่ได้ทำให้ทั้งสองคนตื่น ถึงจะอยากกอดทั้งสองคนแน่นแล้ว แต่เขาก็ต้องอดทนอีกหน่อย….
พระเจ้ารู้ดี ตอนที่ริมฝีปากของเธอสัมผัสกับปากของเขา เขาทนไม่ไหวแทบจะเผลอหลุดออกมา จึงทำให้เขาแอบเลียริมฝีปากเธอเล็กน้อย
เรื่องที่เธอทำให้เขาเมื่อได้ยินจากปากของเลอแปง กับการที่เขาสัมผัสมันเอง ความรู้สึกมันต่างกัน
เขาอยากสัมผัสความรู้สึกที่เธอทำเพื่อเขา สัมผัสความรักของเธอ และความลำบากในช่วงนี้….
อดทนมาหนึ่งเดือน เธอต้องเหนื่อยเป็นอย่างมาก ทั้งเหงาและโดดเดี่ยว
เช้าวันถัดมา
เชอร์รีนให้ซารางพูดอรุณสวัสดิ์กับเขา แล้วเช็ดหน้าให้เขา จากนั้นก็พาซารางออกไปจากห้อง
เธอเพิ่งออกไปไม่นาน ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นมานั่ง ชุดสูทถูกเตรียมไว้แล้ว เป็นสูทสีดำ เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้ม และเน็คไทด์สีฟ้าขาว
ออกัสกดเบอร์พลางจิบน้ำอุ่น “เตรียมเสร็จแล้วใช่ไหม”
ปลายสายคือเลอแปง เขาหรี่ตายิ้ม พร้อมพูดแซว “พี่ใหญ่ ทำไมผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่โรแมนติกขนาดนี้ โรแมนติกจนขนลุก หึหึ พี่สะใภ้จะตื่นเต้นจนเป็นลมไปมั้ย”
“พูดมาก” ปากบางพูดออกมาสองคำ จากนั้นก็วางสายและยกยิ้ม
…..
บนถนนรถติด ดังนั้นตอนถึงจึงเกือบจะสายแล้ว เธอรีบจอดรถและวิ่งเข้าไปในโรงเรียนทันที
เธอสวมรองเท้าหนาหนาสามเซนติเมตร จึงวิ่งได้อย่างรวดเร็ว วิ่งไปพลางดูเวลาไป
ทันใดนั้นก็มีนักเรียนมาขวางทางเธอไว้ เด็กคนนั้นส่งยิ้มหวาน จากนั้นก็ส่งดอกกุหลาบให้เธอ “คุณครู”
เธอแปลกใจ เด็กตรงหน้าเธอไม่รู้จัก และไม่ใช่เด็กในห้องของเธอ “แน่ใจนะว่าให้ครู”
“แนใจค่ะ” นักเรียนส่งดอกกุหลาบสีแดงให้เธอ แล้วเดินจากไป
ไม่มีอะไรจะสามารถอธิบายความสับสนของเธอในตอนนี้ได้ เมื่อเดินไปอีกสองก้าว ก็เจอนักเรียนอีกกลุ่มหนึ่ง ในมือของพวกเขาถือดอกกุหลาบสีแดง และส่งให้เธอทั้งหมด
เธอยิ่งรู้สึกสงสัย และแปลกๆขึ้นเรื่อยๆ เธอขมวดคิ้วมุ่น ตึกในโรงเรียนมีเยอะมาก จำนวนนักเรียนมีนับไม่ถ้วน
ตั้งแต่เธอเดินเข้ามาในโรงเรียน ทันทีที่เธอเห็นนักเรียน ทุกคนก็ต่างส่งดอกกุหลาบสีแดงให้เธอ
ภายในระยะเวลาอันสั้น เธอก็มีดอกกุหลาบสีแดงจนเต็มอ้อมกอด แถมจำนวนดอกกุหลาบก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ เธอแปลกใจมาก สงสัยมา!
แม้แต่อาจารย์ที่ห้องพักครูก็ส่งดอกกุหลาบให้เธอพร้อมรอยยิ้ม
เรื่องนี้แปลกมากจนเธออดคิดมากไม่ได้ ใครส่งดอกกุหลาบให้เธอ คนรักของเธอก็มีแค่เขา!
นอกจากเขาแล้วจะมีใครได้อีก
แต่ตอนนี้เขายังนอนสลบอยู่ หรือเขาฟื้นขึ้นมาแล้ว
ในใจของเธอสับสน ระหว่างเดินไปห้องพักครูเธอก็เริ่มตกใจขึ้นเรื่อยๆ
ห้องพักครูอยู่มุมสุด ทางเดินเส้นนี้ยาวมาก ตั้งแต่เธอเดินเข้าตึกมาทุกก้าวก็จะมีเด็กผู้หญิงเด็กผู้ชายยืนอยู่ พวกเขาต่างถือดอกกุหลาบ ยิ้ม และยืนอย่างเป็นระเบียบ
เมื่อเธอเดินก้าวไปข้างหน้า เธอก็จะได้ดอกกุหลาบขึ้นมาอีกหนึ่งรอบ เมื่อเดินไปอีก ก็ได้มาอีก….
เมื่อเธอได้รับดอกกุหลาบดอกสุดท้าย น้ำเสียงแหบพร่าและทุ้มต่ำก็ดังขึ้น “ชอบไหม”
น้ำเสียงคุ้นเคยมาก ถึงจะกลายเป็นขี้เถ้า เธอก็ยังจำเสียงนี้ได้ เธอตกตะลึงราวกับรูปปั้น ทันทีที่เธอเงยหน้าขึ้น น้ำตาเม็ดโตก็ไหลออกมา ดอกกุหลาบในมือร่วงลงบนพื้นทันที