บทที่ 545 เรื่องใหญ่ที่มีเสด็จอาเก้าอยู่เบื้องหลัง

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 545 เรื่องใหญ่ที่มีเสด็จอาเก้าอยู่เบื้องหลัง
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในตำหนัก ฮองเฮาก็เริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศไม่ชอบมาพากล ในขณะที่นางกำลังจะโน้มตัวคำนับ ฮ่องเต้ก็ได้หยิบหนังสือร้องเรียนขึ้นมาแล้วโยนไปตรงหน้าของฮองเฮา ฮองเฮาไม่กล้าหลบ หน้าผากนางจึงถูกหนังสือกระแทกใส่จนเขียว

“ฮ่องเต้ โปรดพระทัยเย็นก่อนนะเพคะ” ฮองเฮาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รู้แค่ว่าฮ่องเต้กำลังอารมณ์ร้อน ดูเหมือนว่านางจะมาผิดเวลา จึงนึกตำหนิขันทีอยู่ในใจที่ไม่แจ้งให้นางได้รู้ก่อน นางหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาแล้วคุกเข่าลงไป

“ใจเย็นอย่างนั้นหรือ? ฮองเฮาผู้แสนดีของข้า เจ้าจะให้ข้าใจเย็นได้อย่างไร” ฮ่องเต้ตาแดงก่ำ เห็นได้ชัดเจนว่าเขาโกรธมากแค่ไหน เขาโกรธจนไม่คิดจะกลบเกลื่อนความรู้สึก

“ฮ่องเต้ หม่อมฉันทำอะไรผิดหรือเพคะ ไยพระองค์จึงได้กริ้วถึงเพียงนี้” ฮองเฮาทำสีหน้าตัดพ้อ พลางคิดในใจว่าวันนี้เป็นวันซวยจริงๆ มาตอนไหนไม่มา ดันมาตอนฮ่องเต้กำลังโกรธ

“ทำอะไรผิดงั้นหรือ? เจ้ายังมีหน้ามาถามอีก เจ้าทำอะไรผิด ลองเปิดหนังสือร้องเรียนนั่นดูสิ ฮองเฮาผู้แสนดีของข้า ตระกูลพ่อตาผู้แสนดีของข้า!” เมื่อฮ่องเต้พูดจบก็หน้าดำหน้าแดง และดูเหมือนว่าจะหายใจไม่ทัน เขาจับที่วางแขนของเก้าอี้ไว้ พลางพยายามควบคุมการหายใจ

ขันทีคนสนิทรีบปรี่เข้ามาพัดให้ฮ่องเต้ “โปรดพระทัยเย็นก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ทรงถนอมพระวรกายด้วย”

ขุนนางคนอื่นๆที่เหลือก็พากันคุกเข่าแล้วเปล่งเสียงพร้อมเพรียงกันว่าให้ฮ่องเต้ระวังสุขภาพ

ฮองเฮาเปิดหนังสือดูด้วยความคับข้องใจ เมื่อนางได้อ่านแล้วก็ถึงกับหน้าซีด ยังไม่ทันที่นางจะอ่านจบ นางก็รีบก้มศีรษะไปโขกพื้น “โปรดพระทัยเย็นก่อนเถิดนะเพคะ ขอพระองค์ได้โปรดสอบสวนอย่างละเอียด ท่านพ่อและพี่ชายของหม่อมฉันไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้แน่ จะต้องมีคนให้ร้ายท่านพ่อและพี่ชายของหม่อมฉัน ขอพระองค์ได้โปรดทำการตรวจสอบให้แน่ชัดด้วยเพคะ”

เป็นไปตามที่เสด็จอาเก้าพูดไว้ไม่มีผิด ขนาดฮองเฮายังเอาตัวไม่รอด จะเอาเวลาที่ไหนมายุ่งเรื่องโรงเลี้ยงสัตว์หลวง จะเอาเวลาที่ไหนมาหาเรื่องเขาได้

“ให้ร้าย ข้าเองก็หวังว่าจะเป็นการให้ร้าย แต่แม่ทัพเหมิงที่เข้ามาตรวจราชการในเมืองไปเจอเรื่องนี้เข้ากับตา ข้าไม่ยักรู้เลยนะว่าท่านพ่อตาและพี่เขยของข้าจะกล้าหาญถึงเพียงนี้ ฮองเฮา พยานบุคคลและพยานวัตถุก็มีพร้อม แล้วผู้ใดจะมาให้ร้ายพวกเขาได้” ฮ่องเต้ทั้งโกรธทั้งผิดหวัง พ่อและพี่ชายของฮองเฮาได้ถือว่าเป็นเครือญาติของเขาแล้ว การที่พวกเขาทำเช่นนี้ ถือเป็นการตบหน้าเขาชัดๆ

“ฮ่องเต้เพคะ ท่านพ่อและพี่ชายของหม่อมฉันไม่เคยลักลอบทำการค้าเมล็ดธัญพืชและเหล็กดิบ พวกเขาไม่ทำเรื่องคอขาดบาดตายเช่นนี้หรอกเพคะ ขอพระองค์ทรงใคร่ครวญด้วยเถิด” ฮองเฮากล่าวในขณะที่นางยังคงโขกศีรษะไปเรื่อยๆ

หากถูกตราหน้าด้วยความผิดเช่นนี้เพียงครั้งเดียว คงไม่มีทางได้เงยหน้าอ้าปากตลอดไป

เพราะก่อนหน้านี้มีพ่อค้าบางกลุ่มทำการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ส่งผลให้ราคาเมล็ดธัญพืชสูงขึ้น ถึงแม้ว่าตงหลิงจะไม่มีปัญหาการขาดแคลนเมล็ดธัญพืชเหมือนอย่างที่ซีหลิงและหนานหลิง แต่เรื่องนี้ก็ทำให้ฮ่องเต้หันมาให้ความสำคัญกับเมล็ดธัญพืชมากขึ้น เขาประกาศต่อหน้าขุนนางว่า ห้ามมิให้ลักลอบทำการค้าเมล็ดธัญพืชโดยเด็ดขาด

แต่หลังจากนั้น เรื่องการห้ามลักลอบค้าขายเมล็ดธัญพืชก็ยังห้ามไม่ได้แบบเต็มร้อย เมล็ดธัญพืชบางส่วนยังถูกขายไปที่หนานหลิง เป่ยหลิง และซีหลิง ซึ่งสร้างรายได้ได้เป็นกอบเป็นกํา บางทีอาจสูงถึง 10 เท่า ด้วยเหตุนี้จึงมีคนยอมเสี่ยงลักลอบทำการค้า แต่ก็มีจำนวนไม่มากนัก และยังทำกันอย่างหลบซ่อน ฮ่องเต้จับตัวคนไม่ได้ หลักฐานก็ไม่มี จึงปล่อยปละผู้คนกลุ่มนี้ไป

การลักลอบค้าขายเมล็ดธัญพืชไม่โจ่งแจ้งเท่าใดนัก ฮ่องเต้จึงอดทนมาตลอด แต่เรื่องการค้าขายเหล็กดิบ เป็นเรื่องที่ฮ่องเต้สั่งห้ามอย่างเด็ดขาด เหล็กดิบเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตอาวุธ หากบ้านเมืองอื่นมาได้ไปครอบครอง ก็จะเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับบ้านเมืองนั้น และเป็นการสั่นคลอนบ้านเมืองแหล่งกำเนิดเหล็กดิบ

แม้ผลกำไรจะสูงหลายสิบเท่า แต่ถ้าหากถูกทางการจับได้ก็ต้องได้รับโทษประหาร 9 ชั่วโคตร จะมีก็แต่คนที่เห็นเงินสำคัญกว่าชีวิตเท่านั้นที่จะเสี่ยงกับเรื่องนี้ คนทั่วไปไม่มีทางเข้าใกล้อย่างแน่นอน

แต่นี่ท่านพ่อและพี่ชายของฮองเฮาไม่เพียงแต่ลักลอบค้าขายเมล็ดธัญพืช แต่ยังไปยุ่งเกี่ยวกับการค้าเหล็กดิบอีก ที่สำคัญยังทำการค้าในปริมาณมาก ดูจากสมุดบัญชีที่แม่ทัพเหมิงส่งมาให้ ภายในเวลาไม่ถึง 2 เดือน ก็มีเงินหมุนเวียนในบัญชีมากถึงหลายล้านตำลึง ซึ่งเป็นยอดเงินที่น่าตกใจมาก

ตระกูลของฮองเฮามาถึงคราวซวยแล้ว

“คงไม่ใช่หรอก พ่อตาและพี่เขยของฮ่องเต้จะกล้าหาญชาญชัยถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ถึงกับกล้ามายุ่งกับการค้าของพวกนี้ ช่างรนหาที่ตายกันแท้ๆ พวกเขาก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินจนถึงขั้นต้องเสี่ยงทำเช่นนี้เลยนี่นา” เฟิ่งชิงเฉินแทบไม่อยากเชื่อหลังจากที่ได้ฟังเสด็จอาเก้าเล่าทุกอย่างให้นางฟัง

หากเป็นยุคสมัยนี้ ก็คงไม่ต่างจากธุรกิจการค้าอาวุธ การที่ผู้ถือครองตำแหน่งพระสัสสุระแห่งแคว้นทำเรื่องเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการตั้งตัวเป็นศัตรูกับลูกเขย

“มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ล่ะ ขอเพียงมีเรื่องผลประโยชน์มาล่อใจ อย่าว่าแต่ค้าขายเมล็ดธัญพืชและเหล็กดิบเลย ให้ขายแผ่นดินเกิดก็ยังกล้า อย่าลืมว่าสิ่งที่พวกเขาขายไปคือสิ่งที่เป็นผลประโยชน์ต่อบ้านเมือง แต่ตัวเองกลับได้รับค่าตอบแทนมาเต็มๆ”

“ผลประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นของฮ่องเต้ ไม่ใช่ของพ่อตาฮ่องเต้ เขาจึงต้องไขว่คว้าหาสิ่งที่มาอยู่ในมือของตัวเองอย่างแท้จริง อีกอย่าง พระสัสสุระก็ต้องการหาเงินมาคอยหนุนลั่วอ๋อง หากไม่มีเงินจะไปหาซื้อคนได้อย่างไร”

ท่าทางการตะลึงของเฟิ่งชิงเฉินน่ารักน่าเอ็นดูจนเสด็จอาเก้าเอื้อมมือมาหยิกแก้ม แต่เมื่อเขาเอื้อมมือมาได้ครึ่งทางแล้ว ถึงได้รู้ตัวว่ามือของตัวเองยังเป็นซาลาเปาอยู่ เขาจึงต้องรีบดึงมือกลับ พร้อมกับตำหนิตัวเองอยู่ในใจที่ทำอะไรบุ่มบ่ามจนทำให้มือขวาต้องบาดเจ็บ

ที่ไหนๆก็มีหนอนบ่อนไส้ที่คอยทำลายบ้านเมือง เฟิ่งชิงเฉินนึกถึงเรื่องราวด้านมืดที่เกิดขึ้นในภพชาติก่อนหน้านี้ “ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ พวกเขาก็สูงส่งกว่าใครๆ มีทรัพย์สมบัติมากมายก่ายกอง แต่ทำไมไม่รู้จักพอนะ เงินทองยิ่งมีเยอะเท่าไรก็ยิ่งดีงั้นหรือ?”

สำหรับพวกเศรษฐีที่มีอันจะกิน กินทั้งชาติก็ไม่หมด เงินทองยังสำคัญอยู่อีกหรือ?

“เงินทองไม่เคยถมใจคนจนเต็มได้หรอก ไม่มีใครรู้สึกว่าตัวเองมีพอแล้ว การที่มีเงินทองมากขึ้นก็จะสามารถทำอะไรได้มากขึ้นกว่าเดิม จนกลายเป็นผู้ทรงอำนาจ และส่งต่อความน่ายำเกรงนี้ไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานสืบต่อไป”

“การตักตวงทรัพย์สมบัติไว้มากๆ ก็เพื่อจะได้อุ่นใจว่าทายาทรุ่นหลังจะมีกินมีใช้ และได้สืบสกุลกันต่อไป ชิงเฉิน ความทะเยอทะยานของคนเราไม่มีที่สิ้นสุด ได้สิ่งนี้แล้วก็ยังปรารถนาที่จะได้สิ่งอื่นอีก”

“ได้เป็นองค์ชายแล้วก็อยากเป็นรัชทายาท คนเป็นรัชทายาทก็อยากขึ้นเป็นฮ่องเต้ คนเป็นฮ่องเต้ก็อยากที่จะครอบครองโลก หากครอบครองโลกใบนี้ได้แล้วก็จะปรารถนาไม่ให้ตัวเองต้องแก่เฒ่า หัวใจคนเราไม่ได้ใหญ่โตเลย แต่กลับมีความปรารถนาไม่รู้จบ” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้ว เสด็จอาเก้าก็ถอนหายใจออกมา

ความปรารถนาของเขาช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน!

“อืม คงจะเป็นเช่นนั้นแหละ แต่ว่าทำไมถึงบังเอิญอย่างนี้ล่ะ? เรื่องพวกนี้ต้องทำอย่างหลบๆซ่อนๆไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงได้ถูกจับง่ายๆล่ะ? แถมยังเจอสมุดบัญชีอีกด้วย คนอย่างพ่อและพี่ชายฮองเฮาคงไม่สะเพร่าเช่นนั้นหรอกนี่นา” เฟิ่งชิงเฉินเชื่อว่านี่ต้องเป็นฝีมือเสด็จอาเก้าแน่นอน

แถมยังมาเกิดเรื่องวันนี้พอดีอีก ทำไมไม่เป็นก่อนหน้านี้หรือว่าหลังจากนี้ล่ะ? หากลองคำนวณเรื่องเวลาดูแล้ว น่าจะเกิดหลังจากเรื่องโรงเลี้ยงสัตว์หลวง

“ข้ารู้ว่าคงปิดเจ้าไว้ไม่ได้ เอาล่ะ เรื่องนี้ข้าเป็นคนบงการเบื้องหลังเอง พ่อและพี่ชายฮองเฮาไม่เคยรู้เรื่องการซื้อขายเหล็กดิบเลย”

“พวกเขาเข้าใจว่านั่นคือเกลือ ใบชา และเมล็ดธัญพืช ส่วนเหล็กดิบข้าสั่งให้คนแอบใส่ไปด้วยกัน หากพ่อและพี่ชายฮองเฮารู้เรื่องทั้งหมด พวกเขาต้องไม่ให้ความร่วมมืออย่างแน่นอน” เสด็จอาเก้าหรี่ตา แววตาของเขาเหมือนกำลังแสยะยิ้ม

“ที่แท้ก็เป็นฝีมือท่าน ข้าว่าแล้วเชียว หากไม่ใช่เพราะท่าน พ่อและพี่ชายฮองเฮาจะกล้าทำเรื่องใหญ่เช่นนั้นได้อย่างไร แหล่งขายเหล็กดิบและเมล็ดธัญพืชก็ไม่ได้หาได้ง่ายๆ คนที่เนรมิตจำนวนมหาศาลขึ้นมาได้ก็มีแต่ซูเหวินชิง”

“เรื่องเหล็กดิบ คนที่ยังไม่อยากตายไม่มีใครกล้ายุ่งหรอก ต่อให้พ่อและพี่ชายฮองเฮาจะบ้าบิ่นมาขายของพวกนี้ ก็คงไม่กล้าค้าขายในปริมาณมาก”

“พ่อและพี่ชายของฮองเฮาดวงซวยชะมัดเลยที่ถูกท่านพุ่งเป้า ต่อให้ไม่ถึงที่ตายก็เหมือนตาย พวกเขาไม่มีทางหนีรอดไปได้แน่ นี่เป็นการท้าทายพระราชอำนาจ ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็ต้องสั่งฆ่า ไม่มีทางปล่อยตัวไปแน่นอน”

เมื่อได้คำตอบจนกระจ่างแจ้งแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกพึงพอใจ เรื่องใดที่นางคิดไม่ออกก็เริ่มจะคิดออกบ้างแล้ว

มีเสด็จอาเก้าอยู่เคียงข้าง ทุกอย่างย่อมมีความเป็นไปได้ พ่อและพี่ชายฮองเฮาต้องกระอักเลือดแน่ เมื่อเสด็จอาเก้าหมายตาจะเล่นงาน ลงมือแล้วอย่างไรก็ต้องได้ ต่อให้พวกเขากระโดดลงไปในแม่น้ำฮวงโหก็ไม่อาจชะล้างมลทินครั้งนี้ออกไปได้……