สิบห้านาทีต่อมา เฉินเฉินได้บินลงมาจากด้านบนเมฆด้วยดาบยักษ์

 

ภูเขาหลายลูกได้ปรากฏขึ้นในสายตาของเขา

 

เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่หนาแน่นที่อยู่รอบข้างเขาแล้ว เฉินเฉินอดที่จะอุทานออกมาอย่างประหลาดใจไม่ได้ “ดินแดนของเซียนนี่แตกต่างไปจากภูเขาธรรมดาทั่วไปจริง!”

 

“ภูเขาเทียนหยุนไม่สามารถถูกนับว่าเป็นดินแดนเซียนได้ มันเป็นแค่สถานที่ที่ยอดเยี่ยมธรรมดาทั่วไปเท่านั้นแหละ” เซี่ยวอู่โยวพูดออกมาอย่างเฉยชา

 

เขาได้สั่งให้ดาบบินขึ้นไปบนภูเขาที่สูงสุด ก่อนที่จะกระโดดลงมาที่ด้านหน้าทางเข้าที่พำนักขนาดใหญ่

 

“นี่คือตำหนักของเจ้าสำนักสินะ!”

 

เมื่อจ้องไปที่ป้ายไม้ที่มีอักษรสลักตัวโตอยู่ด้านหน้าทางเข้าที่พำนัก มันทำให้เฉินเฉินรู้สึกตื่นตะลึงออกมา

 

“ตำหนักแห่งนี้ปกติแล้วว่างเปล่า มันไม่มีผู้ใดเป็นคนใช้มัน แต่มันจะเปิดออกเฉพาะแค่ช่วงที่มีงานใหญ่และผู้อาวุโสจำเป็นต้องรวมตัวกันเพื่อพูดคุยเท่านั้นเอง” เซี่ยวอู่โยวอธิบายออกมา ในขณะที่เดินเข้าไปในตำหนัก

 

เฉินเฉินเดินตามด้านหลังของเขาไปอย่างใกล้ชิด พวกเขาก็ได้เดินมาถึงด้านหน้าของรูปปั้น

 

รูปปั้นนี้คือรูปปั้นของชายแก่ที่สวมชุดเหมือนกับเซียน สิ่งเดียวที่เขาขาดก็คือป้ายสลักที่เขียนว่า ‘เก่งกาจ’ เท่านั้น

 

เซี่ยวอู่โยวที่มองไปยังรูปปั้น เขาโค้งตัวลงและพูดออกมาด้วยความจริงจัง “ข้า เซี่ยวอู่โยว เจ้าสำนักรุ่นที่ 28 ของสำนักเทียนหยุนได้ปรารถนาที่จะรับเฉินเฉินมาเป็นลูกศิษย์ส่วนตัวเพียงคนเดียวของข้า ภายใต้การเฝ้ามองของ ท่านบรรพบุรุษ ข้าภาวนาว่าท่านจะตอบตกลงเห็นด้วยครับ!”

 

หลังจากที่พูดเสร็จ เซี่ยวอู่โยวโบกมือและธูปก็ได้ถูกจุดขึ้น

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เฉินเฉินมองไปที่เซี่ยวอู่โยวอย่างประหลาดใจ

 

ถ้าเขาได้ยินไม่ผิดแล้วละก็เซี่ยวอู่โยวดูเหมือนจะพูดว่าจะรับเพียงแค่เขาเป็นลูกศิษย์ส่วนตัวเพียงคนเดียวเท่านั้น!

 

ยังไงก็ตาม ทั้งสองคนยังรู้จักกันไม่ถึงชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ! มันเหมือนกับเรื่องตลกเลย!

 

เขาทั้งตื่นตระหนกและประหลาดใจ!

 

เมื่อมองไปที่เซี่ยวอู่โยวที่ยืนอยู่ด้านหน้าเขาและสวมชุดคลุมสีขาวที่มีท่าทางจริงจังของเขาแล้ว เฉินเฉินมั่นใจมากว่าเขาจะต้องเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาในตอนเขาเยาว์วัยกว่านี้ เมื่อถึงจุดนี้แล้ว เฉินเฉินอดที่จะถามออกมาไม่ได้ “อาจารย์ ท่านเชื่อใจข้ามากถึงเพียงนี้เลยเหรอครับ?”

 

“ด้วยคุณสมบัติที่เจ้ามีแล้ว มันไม่มีทางที่เจ้าจะเป็นไส้ศึกของสำนักคู่แข่งแน่นอน เมื่อพวกเขาไม่สามารถที่จะเสี่ยงส่งเจ้าออกมา นั่นคือทุกสิ่งที่ข้ารู้” เซี่ยวอู่โยวพูดอย่างมั่นใจ

 

“แล้วถ้าข้าเป็นคนที่เลวร้ายกันละครับ?” เฉินเฉินดูสับสน ตั้งแต่ที่เซี่ยวอู่โยวต้องการให้เขากลายเป็นลูกศิษย์ส่วนตัวเพียงแค่คนเดียว เขาก็ต้องตรวจสอบลักษณะนิสัยของเขาก่อนไม่ใช่หรืออย่างไร?

 

“เจ้าเป็นคนเลวร้ายงั้นรึ? แล้วข้าดูเหมือนคนดีหรือไง?”

 

เซี่ยวอู่โยวทำให้เฉินเฉินพูดไม่ออก ยังไงก็ตามเขาก็รู้สึกว่าเซี่ยวอู่โยวนั้นดูเหมือนกับยอดวีรบุรุษ

 

เฉินเฉินคิดว่าเซี่ยวอู่โยวจะต้องเป็นชายที่เป็นนิยมกับหญิงสาวมากมาย เหมือนกับเขาอย่างแน่นอน

 

“ขอบคุณสำหรับความเชื่อใจครับ ท่านอาจารย์!” หลังจากเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง เฉินเฉินก็โค้งตัวให้กับเซี่ยวอู่โยวอย่างจริงจัง

 

ไม่ว่ายังไงก็ตาม เฉินเฉินก็นับถือต่อคนที่ช่วยพัฒนาความสามารถของเขามาจากก้นบึ้งของหัวใจ

 

เซี่ยวอู่โยวพยักหน้าและพูดต่อ “เฉินเฉิน ข้าไม่เคยรับลูกศิษย์หรือสอนใครมาก่อน โชคดีที่คุณสมบัติของเจ้ามันยอดเยี่ยมมากและเจ้าคงจะไม่ทำให้การสั่งสอนของข้ามันยุ่งยากอะไร นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้าจะฝึกตนอยู่บนยอดเขาแห่งนี้ เจ้าสามารถที่จะมาหาข้าได้ ถ้าเจอปัญหาอะไร ถ้าข้าไม่อยู่แล้ว เจ้าสามารถตามหาข้าโดยใช้เหรียญตราสื่อสารนี้ได้”

 

เมื่อเขาพูดเสร็จ เซี่ยวอู่โยวก็ได้หยิบเหรียญตราออกมาและส่งมันให้กับเฉินเฉิน

 

เฉินเฉินรับมันไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้ายความประหลาดใจ

 

เซี่ยวอู่โยวไม่ได้เป็นอาจารย์ที่สอนได้ดีสักเท่าไหร่ ตามความรู้ที่เขาได้รับมาจากการดูซีรีย์ในทีวีเมื่อชาติก่อน มันจะต้องมีบททดสอบอย่างน้อยเจ็ดหรือแปดอย่างก่อนที่จะเข้าร่วมสำนักและสมัครตัวเป็นลูกศิษย์

 

ทำไมอาจารย์ถึงไม่ได้มีความเย่อหยิ่งสักนิดเลยเนี่ย?

 

ถ้าเขาถามคำถามออกไปได้ทุกเวลาที่เขามีข้อสงสัยแล้ว ไม่ใช่ว่าการปฏิบัติแบบนี้ภายในสำนักมันจะทำให้สำนักดูไม่มีระบบแบบแผนหรืออย่างไรกัน? มันจะทำให้ลำดับชั้นในสำนักไม่ได้แตกต่างกันออกไปสักเท่าไหร่

 

ก่อนที่เฉินเฉินจะบ่นเกี่ยวกับการเรียนการสอนเสร็จ เซี่ยวอู่โยวพูดขึ้นมาอีกคราหนึ่ง

 

“เจ้าสามารถบอกข้ามาตรงๆได้เลยว่าเจ้าต้องการอะไร ข้าจะจัดการให้กับเจ้าเอง”

 

เฉินเฉินถอนหายใจเฮือกออกมา

 

‘ฉันสามารถขอทรัพยากรได้ตามที่ฉันต้องการเลยเนี่ยนะ? ฉันก็จะถูกลดค่ากลายเป็นแค่พวกตัวร้ายที่ใช้อำนาจเพื่อตัวเองเพียงคนเดียวแล้วละ!’

 

“ครับ อาจารย์ ท่านไม่กลัวว่าข้าจะนำทรัพยากรที่ได้รับมอบจากท่านมาไปขายเป็นหินวิญญาณหรือยังไงกันครับ?”

 

เฉินเฉินถามอย่างสงสัย

 

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเฉินเฉินแล้ว เซี่ยวอู่โยวขมวดคิ้วออกมาด้วยความสงสัย “ทำไมเจ้าต้องขายพวกมันไปเพื่อแลกกับหินวิญญาณด้วยกัน? ถ้าเจ้าต้องการหินวิญญาณแล้ว เจ้าก็มาขอข้าโดยตรงเลยก็ได้นี่”

 

“…”

 

เฉินเฉินแทบจะน้ำตาไหลออกมา มีเพียงแค่ชายหนุ่มที่ยอดเยี่ยมอย่างเขาเท่านั้นแหละ สำหรับเขาที่ได้ใช้ชีวิตมาถึงสองชั่วชีวิตคนแล้วเท่านั้นแหละที่จะได้พบกับการฝึกตนที่ไหลลื่นแบบนี้

 

ถ้าใครก็ตามขาดพลังใจที่แรงกล้า พร้อมกับการมีอาจารย์แบบนี้แล้วละก็เขาคงจะถูกรังแกโดยทุกคนในสำนักในอีกไม่กี่ปีให้หลังเป็นอย่างแน่นอน….

 

เขาเป็นเหมือนกับพ่อมากกว่าอาจารย์อีก!

 

“อาจารย์ครับ…ข้าไปยังสถานที่แห่งอื่นได้ไหมครับ?” เฉินเฉินถามอีกครั้งหนึ่ง

 

นี่คือสิ่งที่เซี่ยวอู่โยวกังวลอยู่ด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าเขาจะบอกเฉินเฉินให้ขอสิ่งที่เขาต้องการออกมาตรงๆได้เลย เขาก็ไม่สามารถที่จะให้ของที่ต้องการได้ตามที่ใจต้องการ เขาต้องตระหนักถึงข้อดีและข้อเสียของสิ่งที่เฉินเฉินขอมาก่อน ถึงจะอนุมัติให้ได้ นอกจากนี้แล้ว เซี่ยวอู่โยวอาจจะไม่มีของบางอย่างที่เฉินเฉินต้องการเหมือนกัน

 

“ได้สิ แต่ทางที่ดีเจ้าอย่าออกไปจากภูเขาเทียนหยุน ก่อนที่เจ้าจะอยู่ในขั้นสร้างรากฐานละกัน สาขาที่ 13 ของสำนักอสูรได้เสียสมาชิกไปจำนวนมากในจี๋โจว พวกเขาจะต้องส่งคนออกมาดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันอย่างแน่นอน เจ้าจะตกอยู่ในอันตราย ถ้าเจ้าออกไปจากสำนักเทียนหยุนในช่วงเวลาเช่นนี้”

 

“สำหรับข้าแล้ว การได้รับอนุญาตให้ไปเดินเล่นอยู่บนภูเขาเทียนหยุนก็มากเพียงพอแล้วครับ” เฉินเฉินอุทานออกมาอย่างตื่นเต้น

 

ภูเขาเทียนหยุนนั้นกว้างกว่าร้อยกิโลเมตร เมื่อเขาสำรวจครบทั่วหมดแล้ว ระดับการฝึกตนของเขาก็คงจะเทียบเคียงได้กับอาจารย์แล้วละ ทำไมเขายังต้องกังวลเกี่ยวกับสำนักอสูรอยู่อีก?

 

เมื่อเห็นรอยยิ้มของเฉินเฉิน รอยยิ้มอันอบอุ่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเซี่ยวอู่โยวแล้วเขาก็หยิบถุงผ้าใบเล็กออกมาและใส่ลงไปในมือของเฉินเฉิน

 

“ลูกศิษย์ เจ้าอย่าได้เปิดเผยแหวนที่ข้ามอบให้กับเจ้าก่อนหน้านี้บ่อยเกินไปละ นี่คือถุงผ้าสำหรับเจ้า มันมีของไว้ใช้ฝึกตนมากระดับหนึ่ง มันคงเพียงพอกับการฝึกฝนวิชาของเจ้าไปอีกสักพักหนึ่งละ มันยังมีคัมภีร์ของ ‘วิชาสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เทียนหยุน’ ที่เขียนด้วยลายมือของข้าเองอยู่ในนั้นอีกด้วย มันเป็นคัมภีร์ลับของสำนักของพวกเรา จงจดจำไว้ว่าละว่าเจ้าจะต้องเผามันทิ้ง หลังจากที่เจ้าอ่านมันเสร็จ ข้าจะต้องออกไปร่วมพิธีการต้อนรับลูกศิษย์ใหม่แล้ว ไปเดินสำรวจตำหนักแห่งนี้ไป จงจดจำไว้ว่านี่คือที่พำนักของเจ้า”

 

หลังจากที่รับถุงผ้าที่เซี่ยวอู่โยวมอบมาให้กับเขาแล้ว เฉินเฉินมองตรงไปยังที่ที่เซี่ยวอู่โยวชี้ไปและเขาก็เห็นสวนที่กว้างกว่าร้อยเมตร อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตรจำตำหนักหลัก

 

สนามหญ้าแห่งนี้ต่างปกคลุมไปด้วยพลังปราณ ซึ่งมันดูมีพลังปราณมากมายอยู่ในพื้นที่แห่งนี้มาเป็นเวลานานแล้ว มันเหมือนกับพลังพิเศษที่ได้เก็บกักพลังปราณเหล่านี้ไว้อยู่ตลอดเวลา

 

“มันเป็นสถานที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้!” เฉินเฉินประทับใจมาก

 

‘นี่มันเหมือนกับการได้รับปฏิบัติแบบแขกระดับวีไอพีเลยละ!’

 

เขาก้มมองลงไปในกระเป๋าเก็บของ เขาพึ่งจะตระหนักได้ว่านอกจากคัมภีร์วิชาลับแล้ว มันมีหินวิญญาณอีกประมาณร้อยก้อน น้ำอมฤตเจ็ดถึงแปดขวด เกราะเบาที่ดูสวยงามรวมทั้งเหรียญตราที่มีเหรียญตราสีขาวซึ่งมันถูกสลักไว้โดยเมฆหมอกที่แสดงให้ถึงความโชคดี

 

“ขอบคุณมากครับ ท่านอาจารย์!”

 

เมื่อเฉินเฉินมองเห็นของในกระเป๋า เขาก็มีความรู้สึกที่อยากจะล้มตัวลงไปคุกเข่าลงไปจุดนี้เลย ในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้สึกเหมือนกับได้รับความรักมาจากครอบครัว ซึ่งเขารับได้รับมันมาจากอาจารย์ของเขา!

 

“ไม่ต้องพูดถึงมันหรอก ของเหล่านี้มันไม่ได้มีค่าอะไรกับข้าเลยสักนิด เอาละ ข้าจะไปเข้าร่วมงานต้อนรับลูกศิษย์ใหม่แล้วนะ”

 

หลังจากที่เซี่ยวอู่โยวพูดเสร็จ เขาก็บินขึ้นกลางอากาศและมุ่งหน้าตรงไปยังยอดภูเขาที่อยู่ไกลออกไป

 

“เจ้าเด็กเวร! เจ้าเป็นลูกนอกสมรสของเจ้าสำนักเทียนหยุนหรือไง?!”

 

ในเวลานี้เอง หูเซียงเอ๋อก็มีความกล้าที่จะพุดขึ้นมาแล้ว แต่น้ำเสียงของเธอนั้นเต็มไปด้วยความอิจฉา

 

เฉินเฉินไม่ได้สนใจที่จะตอบมัน เขากลับหยิบ ‘วิชาสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เทียนหยุน’ ออกมาจากกระเป๋าเก็บของ เขาพลิกหน้าคัมภีร์อ่านอย่างสบายๆ

 

‘ข้าอ่านตัวอักษรออกก็จริง แต่ข้าไม่เข้าใจความหมายของมันเลย เมื่อพวกมันรวมเข้าด้วยกัน!’

 

หลังจากที่เก็บคัมภีร์ลับลงไปในกระเป๋า เฉินเฉินหยิบเกราะเบาออกมาอีกครั้งหนึ่ง เขาสัมผัสได้ว่ามันยอดเยี่ยมมาก แต่เขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าตรงไหนมันยอดเยี่ยม

 

เมื่อมันเป็นเกราะอ่อน หน้าที่หลักของมันก็เป็นของที่ไว้ใช้ปกป้องชีวิตของเขา ด้วยเหตุนี้นี่เองเฉินเฉินจึงไม่ได้คิดอะไรมากเท่าไหร่ ก่อนที่จะใส่มันลงไป

 

“เวรเอ้ย! เกราะอ่อนนี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยหนังของอสูรพันปี! ทำไมเขาถึงได้มอบของล้ำค่าแบบนี้ให้กับเจ้ากันเนี่ย!?” หูเซียงเอ๋อกระโดดขึ้นลงอย่างอิจฉา เธอกระทืบขาของเธอลงไปบนแขนของเฉินเฉิน

 

เฉินเฉินหัวเราะและหยิบเหรียญตราขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

 

เขาเห็นตัวอักษรที่สลักไว้บนเหรียญตรา

 

‘บุตรศักดิ์สิทธิ์ของสำนักเทียนหยุน’

 

มันมีตัวอักษรที่สลักไว้ด้านหลังด้วยเช่นกัน

 

“เจ้าสำนักรุ่นต่อไป”

 

 

เมื่อมองไปที่เหรียญตราเหรียญนี้ เฉินเฉินเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายผสมผสานเข้าด้วยกัน เขายืนตัวแข็งทื่อทันที