บทที่ 304 พิสูจน์
ภายในลานสนามอันเรียบง่าย หลี่อี้เฉิน เย่หยูและซิงเหมิงต่างมองกันและกันแล้วนั่งลง ส่วนฉีชิง เฉินตง และฉีหยู พวกเขาก็ออกไปนานแล้วเพราะไม่อาจทนกับความตกตะลึงอันหนักอึ้งนี้ได้
“ศิษย์น้อง สํานักเราเรียกว่า”ดาบปณิธาน!”
หลี่อี้เฉินมองเย่หยูแล้วค่อยๆเล่าถึงแก่นแท้ของการฝึกดาบ
“ปณิธานแห่งดาบคือหนักและเบา! สิ่งที่สําคัญก็คือเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ ยึดเจตจํานงของดาบรวมกับกระบวนดาบ จากนั้นแล้วก็จะไม่มีสิ่งใดทําลายไม่ได้!”
“และเหตุผลว่าทําไมถึงเรียกดาบแห่งสวรรค์เพราะฉันย่อความหมายของสวรรค์และโลกเอาไว้ในกระบวนดาบ เมื่อดาบถูกปลดปล่อยออกมาทั้งโลกและสวรรค์จะพากันล่มสลาย!”
เย่หยูพยักหน้าแล้วคิดตามไปด้วย เขาพูดอย่างนุ่มนวลว่า
“ผมเข้าใจแล้วศิษย์พี่ ขั้นแรกคือกลั่นจิตวิญญาณก่อนใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว!”
หลี่อี้เฉินพยักหน้า
“พลังจิตเป็นขั้นแรกสุดในส่วนของดาบปณิธาน!แล้วยังเป็นส่วนที่ยากที่สุดอีกด้วย!”
เมื่อกลัวว่าเย่หยูจะหมดกําลังใจ หลี่อี้เฉินจึงรีบพูด
“ศิษย์น้อง ความสามารถของนายนั้นโดดเด่นและมีญาณสูงส่ง ฉันเชื่อว่านายจะรวบรวมพลังจิตวิญญาณได้ในเร็วๆนี้”
“ไม่ได้ง่ายนะสิ!”
ซิงเหมิงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้พร้อมโอดครวญออกมา
“นายรู้ไหมว่าฉันห่างจากการรวมพลังจิตเพียงครึ่งก้าวหลังจากที่ทํางานอย่างหนักมามากว่าสิบปี! ใครๆก็รู้ว่าการรวมพลังจิตนั้นยากเพียงใด!”
เย่หยูมองตาซิงเหมิงอย่างสงสัย
“ศิษย์หลาน คุณฝึกฝนสุดยอดแปดหมัด คุณยังต้องรวมพลังจิตวิญญาณด้วยหรอ?”
“ศิษย์หลาน.. งั้นหรอ…”
ซิงเหมิงแสดงออกอย่างทุกข์ใจ
“เอาหละ ยังไงก็ถือเป็นอาจารย์อา!”
“เราทั้งหมดมาจากสํานักเดียวกัน ถึงแม้ว่าวิธีการพัฒนาจะแตกต่างกัน แต่เราก็มีพื้นฐานเดียวกัน! สิ่งที่ส่าคัญก็คือรวมจิตวิญญาณและเชื่อมเข้ากันกับเจตจํานงในการโจมตี!”
ความปรารถนาปรากฏขึ้นในแววตาของซิงเหมิงขณะพูดจบ
“หากกลั่นพลังจิตได้ จากนั้นพลังการต่อสู้ของฉันก็จะทะยานสูงขึ้นทันทีหลายเท่า!”
“พยัคฆ์จะแข็งแกร่ง ต้องล้างกระดูกก่อน! หลังจากที่รวมพลังจิตและควบคุมความต้องการตัวเองได้ ฉันก็สามารถเรียกว่าเป็นสุดยอดพยัคฆ์ได้!”
“กลั่นพลังจิตงั้นหรอ?!”
เย่หยูจมอยู่ในความคิดขณะพึมพํากับตัวเอง
หลังจากหลี่อี้เฉินเห็นเย่หยูกําลังใช้ความคิดเขาจึงกล่าวขึ้นว่า
“ศิษย์น้องฉะนจะสอนวิธีการกลั่นพลังจิตให้ เพียงคุณพยายามฝึกฝน..”
“เดี๋ยวก่อน”
เย่หยูโบกมือห้ามหล่อี้เฉิน
“ทําไม?”
หลี่อี้เฉินมองเย่หยูอย่างงงๆ
“ศิษย์น้อง พลังจิตวิญญาณสําคัญมากเลยนะ โปรดอย่าเมินเฉยเลย!”
เย่หยูพยักหน้าและพูดอย่างเฉยชาว่า
“ศิษย์พี่ แน่นอนว่าผมรู้ว่าพลังจิตวิญญาณนั้นสาคัญแค่ไหน!”
“สิ่งที่ผมอยากจะพูดก็คือ ผมเหมือนจะกลั่นพลังจิตวิญญาณได้แล้ว!”
ทันทีที่เย่หยูพูดจบ หลี่อี้เฉินและซิงเหมิงต่างตะลึงทั้งคู่ หลี่อี้เฉินมองเย่หยอย่างไม่เชื่อและตําหนิเขา
“ศิษย์น้อง อย่าพูดเล่นไป! นี่มันเกี่ยวกับการฝึกตนเลยนะ นายอย่ามาทําเป็นเล่น!”
ซิงเหมิงมองเย่หยูด้วยสีหน้าที่ไว้วางใจขณะพูด
“เย่…แค่ก แค่ก!”
“อาจารย์อา ผมต้องฝึกมากกว่าสิบปีและผมก็มาไกลกว่าครึ่งทางจากการรวมพลังจิตแล้ว การกลั่นพลังจิตจะเป็นเรื่องง่ายได้ยังไง?”
“อ้า ท่านอาจารย์อาเย่ อย่ามาล้อเล่นกับผมสิครับ!”
“ผมมาที่นี่เพียงแค่อยากจะดูว่าคุณมีความสามารถแค่ไหน มาลองดูกัน ว่าใครจะกลั่นพลังจิตได้ก่อนกัน”
เย่หยูมองหลี่อี้เฉินและซิงเหมิงอย่างเคร่งขรึม เขาพูดด้วยน้ําเสียงนิ่งสงบ
“ผมกลั่นพลังจิตได้แล้วจริงๆ!”
หลี่อี้เฉินและซิงเหมิงต่างมองกันและกัน แววตาพวกเขาฉายให้เห็นถึงความคิดถึงงงงวย
“ศิษย์น้อง เป็นไปได้ที่นายจะกลั่นพลังจิตได้แล้วจริงๆหรอ?”
“แน่นอน!”
หลี่อี้เฉินหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดด้วยเสียงทุ้มลึก
“เอาหละ งั้น! คุณพูดว่าคุณมีพลังจิตที่กลั่นมาแล้ว งั้นพิสูจน์สิ!”
“อาจารย์ลุง พลังจิตวิญญาณนี้ไม่มีรูปร่างแน่นอน เราจะทดสอบกันยังไง?”
ซิงเหมิงมองหลี่อี้เฉินอย่างต้องการค่าตอบ
หลี่อี้เฉินค่อยๆลูบเคราขณะตอบอย่างนุ่มนวลว่า
“ตราบใดที่นายกลั่นพลังจิตได้แล้ว นายก็สามารถปลดปล่อยมันออกมาจากจิตและสัมผัสรู้โลกจากพลังจิตวิญญาณ!”
“ในเวลาเดียวกัน นายยังสามารถรวมปณิธานของวิทยายุทธและเชื่อมกับการโจมตีจนเพิ่มพลังได้หลายเท่า!”
ซิงเหมิงพยักหน้าคิดตาม หลี่อี้เฉินมองเย่หยูอย่างไม่สนใจและแสดงสีหน้าอาการงง เป็นไปได้ว่าศิษย์น้องเย่หยูจะพูดเรื่องจริง? เขากลั่นพลังจิตไว้ได้แล้วหรอ?
“ศิษย์น้อง ลองปล่อยพลังจิตออกมา! ฉันถึงจะตรวจสอบมันได้!”
เย่หยูพยักหน้า ในเมื่อคนพวกนี้ไม่มีใครเชื่อ งั้นฉันจะให้พวกคุณได้ดู
กระบวนการฝึกตน: เมล็ดพลังจิตวิญญาณ!
วิ้ง! *
ทันใดนั้น เส้นรอบวงในระยะสิบเมตรปรากฏขึ้นในใจเย่หยู
มีคลื่นที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจากจิตเย่หยู เย่หยูรู้สึกได้ว่าพลังงานจิตวิญญาณของเขาทําให้โลกดูเปลี่ยนไป ไม่ใช่โลกตามธรรมชาติที่สามารถมองด้วยได้เปล่าได้อีกต่อไป แต่กลับเป็นโลกที่สร้างขึ้นมาจากพลังงาน!
ลมโชยอ่อน แสงแดด ลมปราณและโลหิต สิ่งเหล่านี้ที่ไม่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่ากลับปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในจิตของเย่หยู ลมโชยอ่อนเป็นเหมือนริบบิ้นสีเขียวลอยอยู่รอบๆจากญาณของเย่หยู แสงอาทิตย์เป็นเหมือนเส้นสีทองกระจัดกระจายไปทั่วร่างกาย พลังงานและโลหิตของร่างกายเป็นเหมือนเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงเปล่งประกายแวววาว
สีแดงอันโชติช่วงเป็นพลังงานที่แข็งแกร่งของโลหิต ส่วนสีขาวเงินเป็นอารมณ์ของโครงกระดูก และสีเขียวอ่อนเป็นเส้นชีพจร
เย่หยูสามารถเห็นความผันผวนของพลังงานที่มาจากซิงเหมิงผ่านพลังจิตวิญญาณของเขา ในสายตาเย่หยู การกระทําทั้งหมดของซิงเหมิงนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อนสายตาเย่หยู
แต่เมื่อเย่หยูใช้พลังจิตวิญญาณมองผ่านหลี่อี้เฉิน เขาก็พบกับความประหลาดใจเพราะรัศมีของพลังงานนั้นเบาบางมาก
ดูเหมือนว่ามันจะหายไปในความว่างเปล่าได้ตลอดเวลาและหลอมรวมเข้ากับโลกภายนอก
เย่หยูรู้ว่าผู้นี้คือนักรบขอบเขตดินแดนเทพเจ้าขั้น 7 ที่รวมสวรรค์และโลกอยู่ตลอดเวลา
นี่เป็นครั้งแรกที่เย่หยูใช้พลังจิตวิญญาณเพื่อมองสังเกตโลกซึ่งมันดูเหมือนจะแปลกใหม่เป็นอย่างมากทันใดนั้น
จากที่เย่หยูสังเกตมอง เขาพบว่าพลังของหลี่อี้เฉินแข็งแกร่งขึ้น ร่างหลี่อี้เฉินสั่นเทา ดวงตาของเขาเผยให้เห็นถึงอาการตะลึง
“ศิษย์น้อง นายทําให้ศิษย์พี่ผู้นี้ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง!”
ซิงเหมิงเกิดอาการสับสน เกาหัวแล้วถามหลี่อี้เฉินว่า
“ท่านอาจารย์ลุง เย่หยู…เขาสร้างพลังจิตวิญญาณได้จริงๆงั้นหรือ?”
หลี่อี้เฉินถามซิงเหมิง
“แล้วตอนนี้นายรู้สึกอย่างไรบ้างหละ?”
ซิงเหมิงครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็พูดว่า
“ตอนนี้ ผมรู้สึกว่าราวกับอยู่ก็มีบางคนแอบตรวจสอบผม ความรู้สึกนี้แปลกมาก รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาสามารถมองผ่านผมอย่างปราศจากความลับ!”
“จําความรู้สึกนี้ไว้!”
หลี่อี้เฉินพูดเสียงทุ้ม
“นี่คือความรู้สึกของการถูกตรวจสอบและหยั่งรู้จากพลังจิตวิญญาณ!”
เมื่อได้ยิน ซิงเหมิงก็ก็รู้สึกช็อค เขามองเย่หยูอย่างไม่เชื่อและตะโกนออกมาว่า
“งั้น ที่นายพูดว่านายกลั่นพลังจิตได้ก็เป็นเรื่องจริง?”
เย่หยูมองซิงเหมิงแล้วหัวเราะเบาๆ
“คุณก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขตที่ห้าของการชําระล้างไขกระดูกแล้วไม่ใช่หรอ?”
ความตกใจในดวงตาซิงเหมิงมีมากขึ้น จนเขาอดไม่ได้ที่จะถามเย่หยูต่อ
“นายรู้ได้ยังไง? ฉันเพิ่งผ่านมันมาได้เมื่อวานเอง!”
เย่หยูเผยรอยยิ้ม
“แน่นอน ผมเห็นมัน ในกระดูกสันหลังคุณ ของเหลวที่เป็นเหมือนปรอทและตะกั่วเปล่งประกายสีเทาเงินนี้ เป็นลักษญะของจอมยุทธ์ชําระล้างไขกระดูกขั้นที่ห้า!”