ตอนที่ 352 ไม่ต้องปลุกเธอ / ตอนที่ 353 ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด

เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย

ตอนที่ 352 ไม่ต้องปลุกเธอ 

 

 

           เฉียวซือมู่รู้สึกผิดนิดๆ เมื่อเห็นสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนักของเขา เธอจึงทำตัวเป็นแม่ศรีเรือนปรนนิบัติดูแลเขาเป็นอย่างดีโดยการอาบน้ำและไดร์ผมให้เขา ในที่สุดเธอก็ไดร์ผมเขาจนแห้ง แต่กลับพบว่าเขาผลอยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ 

 

 

           เธอเห็นท่าทางเหนื่อยอ่อนของเขาแล้วรู้สงสารเขาจับใจ เธอดึงผ้าห่มขึ้นคลุมกายให้เขาอย่างเบามือ จากนั้นปีนขึ้นเตียงแล้วนอนกอดเขาเอาไว้ 

 

 

           เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วปลุกจิ้นหยวนให้ตื่นจากการหลับไหล เขาลืมตาขึ้นพลันเห็นแสงอรุณสว่างเจิดจ้านอกหน้าต่าง เขามุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย ดูเวลาแล้วถึงรู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงกว่าแล้ว และเขาตื่นสายกว่าปกติตั้งชั่วโมงกว่า 

 

 

           เขาเม้มริมฝีปากแล้วยันกายลุกขึ้นนั่ง เบนสายตามองไปยังหญิงสาวที่กำลังหลับตาพริ้มข้างกาย พลันรู้สึกอบอุ่นหัวใจ 

 

 

           เขาโน้มกายลงจุมพิตหน้าผากเธอเบาๆ จากนั้นลุกออกจากเตียง 

 

 

           สิบนาทีต่อมา จิ้นหยวนในชุดทำงานแปรเปลี่ยนเป็นนักธุรกิจมาดมั่นคนเดิม ความอิดโรยและความอ่อนแอหายวับไปจากใบหน้า 

 

 

           เขาเดินลงบันได เอ่ยกำชับกับพ่อบ้าน “ไม่ต้องปลุกเธอ ให้เธอนอนให้เต็มอิ่ม” 

 

 

           พ่อบ้านรับคำสั่งอย่างนอบน้อม 

 

 

           ก่อนเดินออกจากบ้าน เขาหันมองไปยังชั้นบนแวบหนึ่ง จากนั้นหมุนตัวเดินจากไป 

 

 

           ส่วนเฉียวซือมู่นั้นนอนจนอิ่มตามความประสงค์ของเขาจริงๆ เธอตื่นมาอีกทีก็ใกล้เที่ยงแล้ว 

 

 

           เธอดูเวลาแล้วตะลึงนิ่งอึ้ง ทำไมเธอถึงนอนกินบ้านกินเมืองแบบนี้? แล้วจิ้นหยวนล่ะ? 

 

 

           เธอหันมองไปรอบๆ ห้อง ที่นอนของเขาเย็นเฉียบ เขาคงลุกออกจากเตียงนานแล้ว 

 

 

           เธอนั่งเหม่ออยู่ชั่วครู่จึงนึกขึ้นได้ว่าบ่ายนี้เธอต้องออกไปทำงาน 

 

 

           แต่ไม่เป็นไรหรอก ยังมีเวลาอีกเยอะ 

 

 

           เมื่อหวนนึกถึงสีหน้าอิดโรยของจิ้นหยวนเมื่อคืนนี้แล้วเธอก็รู้สึกผิดนิดๆ เธอแอบหนีไปทำงานลับหลังเขาแบบนี้ ถ้าเขารู้เข้าจะต้องโกรธมากแน่ๆ  

 

 

           แต่จะให้เธอละทิ้งการงานของตนแล้วอยู่บ้านเฉยๆ เธอเองก็ทรมานมากเหมือนกัน 

 

 

           ช่างเถอะ เดินไปทีละก้าวแล้วว่ากันไปทีละก้าวก็แล้วกัน 

 

 

           เฉียวซือมู่ที่กำลังล้างหน้าแปรงฟันอยู่หน้ากระจกห้องน้ำมองกระจกแล้วเพิ่งสังเกตเห็นว่าตนอ้วนขึ้นเล็กน้อย 

 

 

           ไม่ใช่หรอกมั้ง? เธอชักสังหรณ์ใจไม่ดี รีบจับรอบเอวทันที 

 

 

           โอ้ พระเจ้า! เหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ สีหน้าเธอตกใจอย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่เธอกินอะไรเข้าไป? ทำไมเธอถึงได้อ้วนแบบนี้? 

 

 

           เป็นเพราะเธอห่างหายจากการเล่นโยคะไปนานแน่ๆ ถึงได้กลายเป็นแบบนี้ เธอจะต้องกลับไปเล่นโยคะแล้ว! 

 

 

           หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้วเธอจึงมุ่งหน้าไปยังห้องออกกำลังกายทันที ตัดสินใจแน่วแน่ว่าถ้าเนื้อส่วนเกินไม่หายไปเธอจะไม่ออกจากห้องเด็ดขาด 

 

 

           อ้วนน่ะง่ายนิดเดียว แต่การลดความอ้วนน่ะยากจะตาย เธอเหนื่อยจนเหงื่อท่วมกาย แต่กลับพบว่าไม่เห็นผลใดๆ เลย จึงได้แต่ทอดถอนใจด้วยความท้อแท้ 

 

 

           ไม่ว่าอย่างไร เธอยังคงต้องออกไปทำงานอยู่ดี 

 

 

           โชคดีทีทั้งพ่อบ้านและสาวใช้ต่างรู้ว่าเธอเป็นแก้วตาดวงใจของคุณชายจิ้น เวลาเธอจะออกนอกบ้านจึงไม่มีใครกล้าถามเธอแม้แต่คำเดียว และดูเหมือนว่าตอนนี้ที่บริษัทของเขากำลังมีเรื่องยุ่งยากให้ต้องสะสาง เขาจึงไม่มีเวลามาคอยถามจู้จี้จุกจิกกับเธอ 

 

 

           เพราะเหตุนี้ ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าเธอแอบหนีออกไปทำงานนอกบ้าน มีบ้างที่เธอถูกคุณแม่ตำหนิติเตียนเรื่องนี้ 

 

 

           ดังนั้น เธอจึงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายมาก 

 

 

           วันหนึ่ง เธอเลิกงานก่อนเวลาอีกแล้ว เมื่อเห็นว่ายังพอมีเวลาจึงตัดสินใจแวะไปหาจิ้นหยวนที่บริษัท 

 

 

           เธออยากจะเซอร์ไพรส์เขา จึงตรงดิ่งไปยังบริษัทเขาโดยที่ไม่ได้โทรศัพท์บอกเขาล่วงหน้า 

 

 

           ประตูห้องทำงานของเขาปิดสนิท แต่ยังคงสามารถได้ยินเสียงของเขาดังลอดออกมาเบาๆ เธอยิ้มน้อยๆ ในมือถือกล่องขนมเค้กที่ตั้งใจซื้อมาฝากเขา เธอยกมือขึ้นเคาะประตู 

 

 

           แต่เธอที่กำลังยิ้มมีความสุขกลับไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนใจของเลขาหน้าห้องของเขา 

 

 

           เสียงในห้องหยุดชะงัก จากนั้นเสียงจิ้นหยวนดังลอดออกมา “ใคร?” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 353 ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด 

 

 

           “ฉันเองค่ะ” ประตูห้องไม่ได้ล็อก เธอเคาะประตูเพียงเพราะทำตามมารยาทเท่านั้น หลังเอ่ยตอบเขาแล้วจึงเปิดประตูออก 

 

 

           และสิ่งที่ปรากฎแก่สายตาทำให้เธอถึงกับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ 

 

 

           “จิ้นหยวน นั่นคุณกำลังทำอะไรอยู่น่ะ?” 

 

 

           เสี้ยววินาทีที่ความโกรธทะลุปรอท เธอได้ยินเสียงตนเองเอ่ยถามเขาด้วยความเยือกเย็น 

 

 

           ชายหนุ่มหญิงสาวที่ปรากฎต่อสายตาเธอ คนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้บุหนัง สีหน้าเขาเคร่งเครียด เขายังคงรักษามาดนักธุรกิจผู้มาดมั่นไม่เปลี่ยน หากแต่สิ่งที่ผิดแผกไปจากเดิมคือรอยลิปสติกข้างแก้มที่เพิ่มเข้ามา เฉียวซือมู่เห็นแล้วรู้สึกทิ่มแทงสายตามาก เปลวเพลิงแห่งโทสะที่สุมอยู่ในอกแผดเผาร้อนแรงมากยิ่งขึ้น 

 

 

           ส่วนหญิงสาวคนนั้น เสี้ยววินาทีที่เธอเปิดประตูออกนั้น ดูเหมือนเธอจะเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งอยู่บนตักจิ้นหยวน และเธอกระเด้งตัวออกจากเขาทันทีที่ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออก หญิงสาวคนนั้นโกรธกระฟัดกระเฟียดพลางตวาดเสียงดังลั่น “เธอเป็นใคร? ทำไมเข้ามาไม่รู้จักเคาะประตู?” 

 

 

           เฉียวซือมู่ยืนมองหญิงสาวที่แต่งตัวสวยจัดคนนั้น แสงเย็นยะเยือกแวบขึ้นในสายตา เธอยกมือขึ้นกอดอกท่าทางสบายๆ “เธอไม่ต้องรู้หรอกว่าฉันเป็นใคร สิ่งที่เธอควรรู้ในตอนนี้คือ ไสหัวออกไปได้แล้ว!” 

 

 

           หญิงสาวคนนั้นหน้าถอดสีในฉับพลัน สายตาที่มองเฉียวซือมู่แปรเปลียนไปทันที แม้เธอจะไม่รู้ว่าเฉียวซือมู่เป็นใคร แต่คนที่สามารถขึ้นมาพบจิ้นหยวนได้นั้นคงไม่ธรรมดา และจากคำพูดคำจาของเธอสามารถรู้ได้ในทันทีว่าหญิงสาวตรงหน้าที่เปิดประตูห้องเข้ามาโดยไม่เคาะประตูนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่ 

 

 

           เธอแอบสบถในใจว่าซวยเป็นบ้า แต่กลับยังคงมีความหวังเล็กๆ เธอหันไปออดอ้อนจิ้นหยวน “ท่านประธาน… ดูสิคะ…” 

 

 

           จิ้นหยวนไม่แม้แต่จะชายตามองเธอ “ไสหัวออกไป!” 

 

 

           เธอดีใจมาก สีหน้าย่ามใจขึ้นมาทันที หันไปเอ่ยกับเฉียวซือมู่อย่างเหิมเกริม “ได้ยินหรือยัง ท่านประธานบอกให้เธอไสหัวออกไป! ยังไม่ไสหัวไปอีก!” 

 

 

           เธอเอ่ยจบแล้วคิดว่าจะได้เห็นสีหน้าอับอายของหญิงสาวตรงหน้า แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้เผยสีหน้าอับอายอย่างที่เธอคิด ทั้งยังชายตาขึ้นมองเธอยิ้มๆ สายตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันระคนเห็นใจ 

 

 

           หัวใจเธอกระตุกวูบ ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรพลันเห็นท่านประธานจิ้นชายตาขึ้นมองเธอ สายตาเต็มไปด้วยความเย็นเยียบ “ฉันบอกว่าให้เธอไสหัวออกไป เดี๋ยวนี้!” 

 

 

           และเฉียวซือมู่ก็ได้ประจักษ์แก่สายตาว่าหน้าเปลี่ยนสีภายในสิบวินาทีนั้นเป็นเช่นไร เธอเห็นหญิงสาวคนนั้นสีหน้าได้ใจอย่างเต็มที่ จากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นอับอายขายหน้า และสุดท้ายก็เสียหน้าจนทนเห็นหน้าใครไม่ได้อีก เธอยกมือขึ้นกุมหน้าตนแล้ววิ่งหนีออกจากห้องทันที 

 

 

           เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของเธอคงจะดังจนคนในตึกได้ยินจนทั่วแล้ว 

 

 

           เฉียวซือมู่หันไปปิดประตู จากนั้นยืนพิงประตูพลางส่งสายตาจับจ้องเขานิ่ง 

 

 

           ตอนแรกจิ้นหยวนยังสามารถทนแรงกดดันจากเธอได้ แต่ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวจนต้องวางปากกาในมือลง “คุณฟังผมอธิบายก่อน เรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเห็นหรอกนะ” 

 

 

           “อ้อ ฉันก็กำลังรอฟังคุณอธิบายอยู่นี่ไงคะ” เปลวเพลิงแห่งโทสะในใจเฉียวซือมู่ไม่ได้มอดลงตามหญิงสาวที่ล่าถอยไปอย่างพ่ายแพ้ยับเยิน หากแต่โหมกระพือหนักกว่าเดิม 

 

 

           ยิ่งเห็นรอยลิปสติกข้างแก้มเขาเธอยิ่งโมโห จึงเอ่ยประชดประชัน “ที่แท้ท่านประธานจิ้นหยวนก็มีรสนิยมชอบทำอะไรในที่ทำงานนี่เอง ทำไมฉันถึงไม่รู้นะ ฉันนี่ใช้ไม่ได้จริงๆ เลย” 

 

 

           เขาเม้มริมฝีปากเล็กน้อย สีหน้ายังคงเรียบนิ่งเหมือนเดิม เขายื่นแขนออกไปเปิดลิ้นชักโต๊ะแล้วหยิบกระดาษทิชชูออกมา เขาเช็ดรอยลิปสติกออกพลางเอ่ยอย่างใจเย็น “ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนเข้าหาผมเอง ผมไม่ได้แตะต้องตัวเธอเลยนะ” 

 

 

            “เหรอคะ? ถ้างั้นเธอก็คงเป็นคนปลดกระดุมเสื้อผ้าตัวเองออกเองด้วยละสิ?” เธอยิ้มเย็น ผู้ชายก็เหมือนสัตว์ตัวผู้ มีผู้หญิงเสนอตัวถึงที่ มีหรือจะไม่กิน? ใครจะไปเชื่อ?