มู่หรงฉีรีบดึงตัวซูจิ่นซีให้ลงมานั่งอย่างสงบ
“เสด็จลุงโปรดระงับโทสะ ทั้งหมดเป็นเพราะการอบรมอันหละหลวมของหลาน แม้ท่านหมอซูจะพูดจาไม่ยั้งคิด ทว่าเขาหาได้มีเจตนา เสด็จลุงโปรดตรวจสอบให้แน่ชัด! ”
ฉีอ๋องอ้อนวอนแทนท่านหมอซูด้วยตนเอง!
ดูแล้ว ท่านหมอซูผู้นี้จะมีความสำคัญต่อฉีอ๋องจริงๆ
อย่างไรก็ตาม แม้จะสำคัญเพียงใด แต่กลับหาญกล้าเอ่ยวาจาร้ายแรงเช่นนี้ ต่อให้ลงโทษโดยการให้ม้าแยกร่างก็ยังนับว่าน้อยไป
ทุกคนต่างลอบครุ่นคิดอยู่ในใจ
ซูจิ่นซีค่อยๆ ก้มศีรษะลง มู่หรงฉียังแสดงท่าทางยอมรับผิด
เสียงดนตรีเครื่องสายหยุดบรรเลง เทศกาลร้อยบุปผาที่คึกคักมีชีวิตชีวา ในเวลานี้กลับเงียบกริบ ทุกคนต่างนิ่งเงียบ ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง
บางคนสามารถได้ยินเสียงเต้นของหัวใจที่ไม่เป็นจังหวะ พวกเขารอคอยอย่างระมัดระวังว่ามหาอุปราชที่ทรงพิโรธจะจัดการซูจิ่นซีอย่างไร
กระทั่งซูจิ่นซีเองก็เริ่มเกิดความสงสัยในใจ
นางกระตุกหนวดเสือ อาศัยโอกาสนี้หยั่งเชิงมู่หรงเฟิง แต่ไม่ได้หมายความว่าขุนนางระดับสูงทุกคนจะสามารถทนฟังถอยคำท้าทายเช่นนี้ได้
แผ่นดินผลัดเปลี่ยนผู้ปกครอง แม้จะเป็นราชาผู้ทรงมีพระปรีชาก็ยังไม่อาจทนฟังคำนี้ได้ ไม่ต้องพูดถึงมู่หรงเฟิงที่อยู่เบื้องหน้า
ซูจิ่นซีกำลังครุ่นคิดวิธีแก้ปัญหา ทันใดนั้น เสียงอันเคร่งขรึมเย็นชาก็ดังขึ้นเหนือศีรษะนาง “ดีมาก! ”
น้ำเสียงนั้นทั้งเย็นชา น่าเกรงขาม น่าเคารพและ… คุ้นเคย ราวกับมีบางสิ่งกระทบหัวใจซูจิ่นซีอย่างแรง
ซูจิ่นซีไม่ได้คาดคิดมาก่อน นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นเผชิญกับดวงตาเคร่งขรึมลึกล้ำนั้น
“ดีมาก! ดีมาก! ”
เยี่ยโยวเหยาปรบมือ ทั้งยังพูดคำว่าดีมากถึงสองครั้ง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและเดินมาทางซูจิ่นซีอย่างเชื่องช้า
ขณะที่สบตากัน แววตาที่ถูกปกคลุมด้วยความสงบนิ่งของซูจิ่นซี ไม่อาจปิดบังความตื่นเต้นที่ซุกซ่อนไว้ได้ นางจ้องมองดวงตาดำขลับที่คุ้นเคยของเยี่ยโยวเหยาอย่างกล้าหาญ เพียงเพื่อค้นหาความผิดปกติในช่วงเวลานั้น และเพื่อพิสูจน์ว่าเยี่ยโยวเหยาจำตนเองได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาที่ลึกซึ้ง เย็นชา ไม่แยแส และเย่อหยิ่งอย่างที่ซูจิ่นซีคุ้นเคยมาโดยตลอด แม้เขาจะมองมาที่นาง แต่กลับใช้หางตามองลงมาดั่งฐานะของราชาที่เป็นมาแต่กำเนิด สายตาของเขาเย่อหยิ่งยิ่งกว่าสายตาของมู่หรงเฟิงที่ไม่เคยเห็นสิ่งใดอยู่สายตาเสียอีก
ร่างที่เคร่งขรึมเย็นชานั้น เดินเข้ามาใกล้นางมากขึ้นเรื่อยๆ ฉลองพระบาทหรูหราเหยียบลงบนแผ่นหินเย็นเฉียบโดยไร้ซึ่งเสียงใดๆ ทว่ากลับเป็นดั่งค้อนอันหนักอึ้งที่กระแทกมายังหัวใจของซูจิ่นซี ครั้งแล้ว… ครั้งเล่า…
ยิ่งระยะห่างระหว่างเยี่ยโยวเหยากับนางใกล้เข้ามาทุกที ยิ่งทำให้นางอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
เมื่อเยี่ยโยวเหยาเดินมาถึง เขาก็ก้มมองนางอย่างเย่อหยิ่ง พลางใช้นิ้วมือเชยคางของซูจิ่นซีขึ้น ทำให้สายตาของซูจิ่นซีอยู่ใกล้เขามากกว่าเดิม
“ขุนนางโฉดช่างกล้าหาญยิ่งนัก จากประสบการณ์ของข้า แคว้นหนานหลีคงไม่มีที่ให้เจ้ายืนแล้ว เช่นนั้น… ไปกับข้าเป็นอย่างไร? ”
ให้เขาไปกับเยี่ยโยวเหยา?
ในเวลานี้ ซูจิ่นซีรู้สึกประหม่าจนลืมไปว่าตอนนี้นางกำลังสวมชุดบุรุษ
เนื่องจากซูจิ่นซีพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อควบคุมอารมณ์อันซับซ้อนของตนเอง ดวงตาของนางจึงร้อนรุ่ม นางกัดริมฝีปากที่สั่นเครือ ทั้งหน้าอกยังกระเพื่อมขึ้นลงอย่างต่อเนื่องด้วยความตื่นเต้น
“ท่านอ๋อง กระหม่อม… ไม่ใช่ขุนนางแคว้นหนานหลี เหตุใดจึงเรียกกระหม่อมว่าขุนนางโฉดเล่า? ”
“เช่นนั้นไม่ดีหรือ? ”
เยี่ยโยวเหยายกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา เขาปล่อยมือที่จับคางซูจิ่นซี และหันไปพูดกับมู่หรงเฟิงว่า “ช่างเป็นสามัญชนที่ใจกล้ายิ่งนัก อย่างไรเสีย หากอยู่ในเงื้อมมือของท่าน มู่หรงเฟิง ไม่ช้าก็เร็ว เขาต้องตายเป็นแน่ มิสู้มอบให้ข้าเป็นอย่างไร? ”
ใต้หล้านี้ นอกจากซูจิ่นซีแล้ว เกรงว่าจะมีเพียงเยี่ยโยวเหยาเท่านั้นที่สามารถพูดเช่นนี้กับมู่หรงเฟิงได้
สองคนนี้ ช่างเหมาะสมกัน… จริงๆ
ขณะที่มองไปยังซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา มู่หรงฉีก็อดเกิดความคิดเช่นนั้นไม่ได้
มู่หรงเฟิงไม่ปรารถนาที่จะโต้เถียงกับเยี่ยโยวเหยามากนัก “โอ้? โยวอ๋องต้องการบ่าวรับใช้จากแคว้นหนานหลีของข้า หรือว่าโยวอ๋องแห่งแคว้นจงหนิงขาดบ่าวรับใช้? ”
“ที่จริงแล้วบ่าวรับใช้นั้นไม่ขาด ทว่าคนที่ข้าชอบ กลับมีไม่มาก”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า….. ยากนักที่จะทำให้โยวอ๋องถูกชะตา เป็นความโชคดีของท่านหมอซู อย่างไรก็ตาม เกรงว่าเรื่องนี้ข้าคงไม่อาจตัดสินได้ โยวอ๋อง ท่านต้องปรึกษากับฉีอ๋อง เนื่องจากท่านหมอซูผู้นี้เป็นคนโปรดของฉีอ๋อง”
“โอ้? ที่แท้ ในแคว้นหนานหลีก็มีเรื่องที่มหาอุปราชไม่สามารถตัดสินใจได้” เยี่ยโยวเหยาพูดพลางหันหลังกลับไปยังตำแหน่งที่นั่งของตน ก่อนจะยกจอกสุราเดินไปทางมู่หรงฉี “ฉีอ๋อง ท่าน… มีความคิดเห็นเช่นไร? ”
กล่าวตามตรง นี่เป็นเรื่องระหว่างซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยา ไม่ว่ามู่หรงฉีจะตัดสินใจอย่างไร ท้ายที่สุดก็ต้องถามความต้องการของซูจิ่นซีก่อน
ดังนั้นมู่หรงฉีจึงหันไปมองซูจิ่นซี
อย่างไรก็ตาม สายตาซูจิ่นซีกลับจับจ้องไปที่เยี่ยโยวเหยาตลอดเวลา ไม่ได้หันไปมองมู่หรงฉีแม้แต่น้อย
ช่วงเวลานั้น มู่หรงฉีกังวลใจอย่างมาก ทว่าเยี่ยโยวเหยาถือจอกสุราอยู่ หากให้เขารอนานคงไม่ดีนัก หลังจากครุ่นคิดแล้ว มู่หรงฉีจึงพูดว่า “ยามนี้… ยังต้องถามความเห็นจากท่านหมอซู”
“โอ้? ” เยี่ยโยวเหยาวางจอกสุราลงและมองซูจิ่นซีด้วยความสนใจ “น่าสนใจ เป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ นึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องแห่งแคว้นหนานหลีทั้งสองพระองค์ยังไม่อาจตัดสินใจให้เจ้าได้ ข้าประหลาดใจยิ่งนัก เจ้าเป็นคนเช่นไร! ”
ซูจิ่นซีกลับมาได้สติอีกครั้ง นางรู้สึกว่าตนเองทำตัวเสียมารยาทแล้ว ทว่าเรื่องการควบคุมเกมระหว่างบุคคลนั้น ไม่เคยเป็นเรื่องยากสำหรับนาง
ดวงตาของนางยังคงจับจ้องเยี่ยโยวเหยา “แท้จริงแล้วกระหม่อมเป็นชาวแคว้นจงหนิง”
“โอ้? ”
“กระหม่อมมาจากเมืองหลวงของแคว้นจงหนิง สี่สมุทรก็คือบ้าน โชคดีที่ฉีอ๋องให้ที่พักพิงอาศัยแก่กระหม่อม ดังคำกล่าวที่ว่า เป็นคนต้องตอบแทนบุญคุณ กระหม่อมจึงไม่สามารถไปกับโยวอ๋องได้ ท่านอ๋องโปรดประทานอภัยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“โอ้? ”
เยี่ยโยวเหยามองมู่หรงฉีด้วยแววตาสอบถาม
ซูจิ่นซีให้ความสนใจกับการแสดงออกของเยี่ยโยวเหยา เมื่อเห็นเช่นนั้น นางจึงขยับตัวไปหามู่หรงฉีเล็กน้อย
“ท่านอ๋องยังทรงจำได้หรือไม่ ครั้งหนึ่งพระองค์เคยตรัสว่า แผ่นดินไม่อาจเปลี่ยนแปลงข้า? ”
คำพูดนี้เป็นการเล่นสำนวน แม้จะดูเหมือนว่าซูจิ่นซีกำลังถามมู่หรงฉี ทว่าคำว่า ‘ท่านอ๋อง’ สองคำนี้หมายถึงผู้ใด เกรงว่าคงมีเพียงผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้นจึงจะรู้ได้
แม้สายตาของซูจิ่นซีจะมองมู่หรงฉี ทว่าหางตากลับมองไปทางเยี่ยโยวเหยาตลอดเวลา
น่าเสียดาย ท่าทีของเยี่ยโยวเหยาทำให้ซูจิ่นซีผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดวงตาดำขลับนั้น ไม่แสดงท่าทีอื่นใดนอกจากความเย็นชาและความเงียบงันอย่างที่เคยเป็น
เนื่องจากคำพูดของซูจิ่นซี ผู้คนที่นั่งอยู่จึงเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างดุเดือดอีกครั้ง
“สวรรค์ ที่แท้ข่าวลือที่ว่าฉีอ๋องโปรดปรานบุรุษด้วยกันก็ เป็นความจริง! ”
“ใช่ ฉีอ๋องพูดเช่นนี้กับท่านหมอซูซึ่งเป็นบุรุษ! ”
“นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว! ”
……
“ทว่า ที่ข้าประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือโยวอ๋อง! ”
“โยวอ๋องเป็นอย่างไรหรือ? ”
“ลือกันว่า โยวอ๋องแห่งแคว้นจงหนิงไม่โปรดสตรี ไม่รู้จักวิธีดูแลเอาใจสตรีไม่ใช่หรือ? เรื่องนี้เป็นความจริงถึงแปดส่วน! ”
“เจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็นึกขึ้นมาได้ แคว้นจงหนิงมีข่าวลือเช่นนี้จริงๆ ”
“ใช่! จากที่เห็น ไม่แน่อาจเป็นไปได้ที่โยวอ๋องจะเป็นพวกชอบตัดแขนเสื้อ เขาไม่ชอบสตรี เพราะเขาชอบบุรุษด้วยกันเช่นเดียวกับฉีอ๋อง! ”
“ทว่าก่อนหน้านี้ มีข่าวลือเรื่องพระชายาโยวอ๋องไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นจะพูดอย่างไร? ”
“เรื่องนี้ไม่ธรรมดากระมัง? คลุมเครือยิ่งนัก! ”
“เบาเสียงหน่อย อย่าให้โยวอ๋องและฉีอ๋องได้ยินเด็ดขาด”
การวิพากษ์วิจารณ์นี้ไร้ซึ่งความเกรงกลัว ทั้งยังจริงจังอย่างมาก
ไม่รู้ว่าเยี่ยโยวเหยาและมู่หรงฉีได้ยินหรือไม่ ทว่าซูจิ่นซีกลับได้ยินชัดเจนทุกคำพูด
ดวงตาของนางจ้องมองไปที่มู่หรงฉี ทว่ายังคงเหลือบมองใบหน้าของเยี่ยโยวเหยา
เมื่อเวลาผ่านไป ซูจิ่นซียังคงมีท่าทีดื้อรั้น นางตกตะลึงเมื่อได้เห็นการกระทำบางอย่างจากเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยา ท่าน… ยังจำซูจิ่นซีที่อยู่ในเรือนอวิ๋นไค จวนโยวอ๋องผู้นั้นได้หรือไม่?
ท่านยังจำได้หรือไม่?