หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 718 คลื่นเก้าตะวัน

ภายในถ้ำโพรงบนภูเขา

ร่างของมั่นถัวหลัวอยู่ในเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ ม่านตาสีทองคำเหลือบมองมู่เฉินที่แววตาอัดแน่นด้วยความตื่นเต้นจากประโยคที่นางบอก “ร่างเทพสุริยะคือระยะต้นของการฝึกร่างมหาเทพนิรันดร์ แม้จะไม่ได้อยู่ในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง แต่ถ้าได้รับการจัดอันดับอย่างน้อยก็อยู่ที่สามสิบอันดับแรก”

“สามสิบอันดับแรก? ทรงพลังขนาดนั้นเชียว?”

มู่เฉินอึ้งไป เขาไม่เคยประเมินร่างเทพสุริยะไว้ต่ำ แต่ก็ไม่เคยคิดว่ามันจะสามารถอยู่สามสิบอันดับแรกได้ เพราะเขารู้ดีว่าร่างเทห์สวรรค์ที่อยู่ในสามสิบอันดับแรกเป็นสมบัติมีค่าชั้นสูงแม้แต่ในสำนักยุทธ์โบราณ อย่างน้อยในเขตต้าหลัวเทียนก็ไม่อาจหาร่างเทห์สวรรค์ระดับนั้นได้

“เจ้าน่าจะรู้ต้นกำเนิดของร่างมหาเทพนิรันดร์แล้วสินะ? ในฐานะเป็นหนึ่งในร่างเทห์สวรรค์โบราณในโลกนี้ ต่อให้ร่างเทพสุริยะจะเป็นเพียงร่างต้น แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ร่างเทห์สวรรค์ธรรมดาอื่นใดสามารถเทียบได้” มั่นถัวหลัวกล่าว

มู่เฉินพยักหน้า ประสบกับมหันตภัยโบราณครั้งใหญ่ มีร่างเทห์สวรรค์โบราณห้าร่างที่ยังเหลืออยู่ในโลกนี้เท่านั้น และร่างมหาเทพนิรันดร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น

พลังที่ร่างเทห์สวรรค์โบราณทั้งห้ามีนั้นแข็งแกร่งกว่าร่างเทห์สวรรค์อื่นๆ หลายขุมเลยทีเดียว

“แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะชำระร่างเทพสุริยะได้สำเร็จ แต่กลับยังไม่สามารถเข้าใจถึงความลึกซึ้งที่มี” มั่นถัวหลัวเบ้ปากราวกับเยาะเย้ยมู่เฉินที่ใช้ร่างเทห์สวรรค์ล้ำค่าอย่างเสียของ

มู่เฉินมีสีหน้ากระอักกระอ่วน เขาเพิ่งจะชำระร่างเทพสุริยะได้เมื่อไม่นานมานี้ ก็ยากเป็นธรรมดาที่เขาจะทำความเข้าใจความลึกซึ้งได้ นอกจากนี้หน้ารายการนิรันดร์ก็บอกไว้แค่วิธีชำระ ส่วนขั้นตอนต่อไปเขาต้องพึ่งพาตัวเองในการค้นคว้า

“ถ้างั้นข้าขอรับคำชี้แนะจากท่านมั่นถัวหลัวด้วยขอรับ” ขอทานเป็นผู้เลือกไม่ได้ ดังนั้นเขาต้องถ่อมตนเพื่อรับคำชี้แนะ

“เจ้ารู้ไหมทักษะเทห์สวรรค์คืออะไร?” มั่นถัวหลัวเอ่ยถามเสียงเรียบ

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ทักษะเทห์สวรรค์ก็คือวิธีการเอกลักษณ์ที่มีเฉพาะในร่างเทห์สวรรค์ทรงพลังเท่านั้น แต่ร่างเทห์สวรรค์ที่เขาเคยปะทะมาก่อนหน้า เหมือนจะไม่มีทักษะเทห์สวรรค์อยู่เลย

“เจ้าหมายความว่าร่างเทพสุริยะมีทักษะเทห์สวรรค์ด้วยเหรอ?”

“ถ้าร่างเทห์สวรรค์อย่างร่างเทพสุริยะไม่มีทักษะเทห์สวรรค์ละก็ จะมีร่างเทห์สวรรค์มากเท่าไรที่จะมีล่ะ?” มั่นถัวหลัวเบะปาก

“ทักษะเทห์สวรรค์ของร่างเทพสุริยะมีชื่อเรียกว่าคลื่นเก้าตะวัน”

“คลื่นเก้าตะวัน?” มู่เฉินอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาราวกับนึกอะไรบางอย่างได้ “เกี่ยวข้องกับการชำระเห็ดหลินจือเก้าตะวันใช่ไหม?”

มั่นถัวหลัวมองมู่เฉินอย่างประหลาดใจ “ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้โง่จนถึงจุดน่าสิ้นหวังนะ”

มุมปากของมู่เฉินกระตุกเบาๆ

“หลังจากชำระเห็ดหลินจือเก้าตะวัน ก็จะก่อตัวเป็นผลึกมหาตะวันในร่างเทพสุริยะ ถ้าพวกมันได้รับการหล่อเลี้ยงและเร่งปฏิกิริยา คลื่นเก้าตะวันก็จะสามารถสยบสวรรค์ได้เพียงพลิกฝ่ามือ” มั่นถัวหลัวเอ่ยช้าๆ

“ผลึกมหาตะวัน?”

มู่เฉินขมวดคิ้ว จากนั้นก็หลับตาลง คลื่นหลิงกว้างใหญ่ปะทุออกมา เมื่อแสงสีทองพวยพุ่ง ร่างเทพสุริยะก็ปรากฏขึ้นในพริบตา ดวงตาของเขาปิดสนิทพยายามพิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วน จากนั้นครู่ใหญ่เขาก็พบเก้าจุดในร่างเทพสุริยะที่มีคลื่นพลังประหลาดแผ่เบาบางจากการไหลเวียนของคลื่นหลิง

ความผันผวนเหล่านั้นเล็กน้อยมากเนื่องจากมีคลื่นหลิงบดบัง ถ้าไม่ใช่เพราะมู่เฉินตั้งใจสัมผัส ก็คงเป็นเรื่องยากที่เขาจะตรวจจับได้

จิตของมู่เฉินเลื่อนไหลออกไปสำรวจตรงบริเวณดังกล่าวอย่างละเอียด ในส่วนลึกของแสงหลิงมีแก้วผลึกเก้าชิ้นกำลังแผ่ความแปรปรวนยิ่งใหญ่ออกมาเงียบๆ

“นี่คือผลึกมหาตะวันเหรอ?”

เมื่อมู่เฉินค้นพบก็ละจากร่างเทพสุริยะ ก่อนจะลืมตาขึ้นเอ่ยด้วยเสียงรีบร้อน “แล้วข้าจะเร่งปฏิกิริยาให้ผลึกมหาตะวันพวกนั้นยังไงล่ะ?”

เขาสัมผัสได้ว่าผลึกมหาตะวันเหล่านี้มีพลังงานน่าอัศจรรย์ใจแรงกล้า หากเกิดพัฒนาการก็จะสามารถเพิ่มพลังให้เขาได้อย่างมีนัย

“ง่ายนิดเดียว ก็เร่งด้วยคลื่นหลิงของเจ้าไงล่ะ หากคลื่นหลิงของเจ้ามีไม่พอก็ใช้ของเหลวจื้อจุนทดแทนได้ ขอคิดก่อน เจ้าน่าจะใช้ของเหลวจื้อจุนสักห้าถึงหกหมื่นหยดก็สามารถพัฒนาผลึกมหาตะวันชิ้นแรกได้แล้ว” มั่นถัวหลัวเอ่ยสบายๆ

“ของเหลวจื้อจุนห้าถึงหกหมื่นหยด?”

ทว่าคำพูดสบายๆ ของนางกลับทำให้มู่เฉินเกือบจะกระอักเลือด เขาใช้ของเหลวจื้อจุนแค่หมื่นกว่าหยดในการซื้อผลตะวันสุญตา แต่ตอนนี้แค่เร่งผลึกมหาตะวันชิ้นเดียวก็ต้องใช้เกินห้าหมื่นหยด เขาไม่มีเงินขนาดนั้นต่อให้ขายตัวเองแล้วก็ตาม!

“มากไปเหรอ? นี่แค่ผลึกมหาตะวันชิ้นแรกนะ ยิ่งชิ้นหลังๆ จำนวนของเหลวจื้อจุนที่ต้องใช้ก็จะเพิ่มตามตัว” มั่นถัวหลัวยักไหล่เบาๆ

ใบหน้าของมู่เฉินเขียวคล้ำ เอาเป็นว่าคลื่นเก้าตะวันจะได้ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนของเหลวจื้อจุนซะงั้น!

“ดูท่าทางน่าสงสารของเจ้าสิ…” มั่นถัวหลัวเท้าแก้มมองมู่เฉินด้วยสายตาล้อเลียน จากนั้นนางก็โบกมืออย่างเกียจคร้าน “เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าเสร่อเข้ามาช่วยข้าแบบไม่ยั้งคิด ข้าก็จะช่วยเจ้าพัฒนาผลึกมหาตะวันชิ้นแรกให้เองแล้วกัน”

พอได้ยินประโยคแรกของนาง มู่เฉินก็หัวร้อนฉ่า แต่เมื่อฟังประโยคสุดท้ายเขาก็ข่มโทสะไว้ ชูนิ้วหัวแม่มือให้ด้วยท่าทางเคร่งขรึม “รู้จักตอบแทนบุญคุณ ช่างเป็นวีรสตรีจริงๆ”

“คนเราต้องยืดได้หดได้” มั่นถัวหลัวมองค้อนให้

“ยืดได้หดได้ไม่ได้เอาไว้ใช้ในเวลาแบบนี้นะ” มู่เฉินยิ้ม

“นำร่างเทพสุริยะของเจ้าออกมาซะ” มั่นถัวหลัวโบกมือเอ่ยขึ้น

มู่เฉินรีบทำตามคำสั่ง จิตใจเคลื่อนไหว ร่างเทพสุริยะก็กำจายแสงสีทองเจิดจ้าปรากฏในโพรงภูเขา แสงสีทองส่งประกายบนภูเขา ทำให้ดูราวกับว่าภายในภูเขาฉาบด้วยทองคำ

มั่นถัวหลัวยื่นมือเล็กออก คลื่นหลิงสีดำก็รวมตัวกันอยู่ที่ปลายนิ้ว อึดใจก็เปลี่ยนเป็นแสงสีดำพุ่งใส่ร่างเทพสุริยะอย่างรวดเร็ว สุดท้ายไปปรากฏอยู่ตรงหว่างคิ้ว

ที่ตรงนั้นมีผลึกมหาตะวันอยู่ชิ้นหนึ่ง

แสงสีเข้มล้อมทั่วผลึกมหาตะวัน มู่เฉินสัมผัสได้ว่ามีคลื่นหลิงยิ่งใหญ่เทเข้าไปในผลึกชิ้นแรกอย่างไม่สิ้นสุด

เมื่อคลื่นหลิงมหาศาลเทเข้าไป ผลึกมหาตะวันก็ส่องแสงสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนจะมีพลังน่าสะพรึงแผ่อยู่ข้างใน

แสงสีเข้มคงอยู่ในตำแหน่งนั้น แต่ผลึกมหาตะวันกลับไม่ได้พัฒนาตัวเองอย่างที่มู่เฉินคิดไว้

“เกิดอะไรขึ้น?” มู่เฉินลืมตาขึ้นและมองมั่นถัวหลัวที่หดมือกลับด้วยความสงสัย

เด็กสาวลูบหน้าผากตัวเองเบาๆ ท่าทางเหมือนอ่อนแรงลงหลายส่วน นางกลอกตาใส่มู่เฉิน “เจ้าคิดว่านี่จะง่ายเหมือนแม่ไก่คอยกกไข่รึไง? ข้าฝังคลื่นหลิงไว้ตรงนั้นเพื่อให้เกิดพัฒนาการขึ้นอย่างช้าๆ ทุกสิ่งต้องใช้เวลาก่อนที่จะเติบโตอย่างสมบูรณ์”

มู่เฉินเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นจากนั้นก็ยิ้มเผล่ออกมา “แล้วทำไมเจ้าไม่เร่งปฏิกิริยาชิ้นอื่นๆ ด้วยล่ะ?”

การช่วยครั้งเดียวของนางให้ผลเท่ากับของเหลวจื้อจุนหลายหมื่นหยด กำลังภายในนี่นับว่ายิ่งกว่าสวรรค์เสียอีก

“ได้สิ แต่ด้วยพลังของเจ้าตอนนี้ ข้าชำระผลึกมหาตะวันเพียงสามชิ้น ร่างเทพสุริยะของเจ้าก็จะแบกพลังน่ากลัวไม่ไหว พริบตาเดียวก็ระเบิดตู้มแล้ว…” รอยยิ้มไม่เชิงยิ้มปรากฏบนใบหน้าของมั่นถัวหลัว อึดใจนางก็ยื่นมือออก แสงสีเข้มลอยอวลอยู่รอบนิ้วพลางนางยิ้มเผล่เอ่ยออกมา “มา ข้าจะช่วยเจ้าเอง”

มู่เฉินยิ้มเก้อแล้วก้าวถอยออกไปสองก้าว “ข้าคิดว่าควรทำด้วยตัวเองดีกว่าเนอะ”

มั่นถัวหลัวหดมือกลับอย่างเฉยชา มู่เฉินรีบนั่งสงบเสวี่ยมข้างนาง เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามว่า “ทำไมเจ้าถึงรู้เรื่องเกี่ยวกับร่างเทพสุริยะมากมายขนาดนี้?”

คำถามนี้ติดอยู่ในใจของเขามานาน เพราะเขาตระหนักได้ว่ามั่นถัวหลัวมีความรู้เกี่ยวกับร่างเทพสุริยะมากกว่าความคาดหมายของเขาเสียอีก พูดแบบทั่วไปน่าจะมีคนน้อยนักที่รู้เรื่องเกี่ยวกับร่างเทพสุริยะ

มั่นถัวหลัวอึ้งไป ครู่ใหญ่นางก็เปิดปาก “เพราะว่าเจ้าไม่ใช่คนเดียวบนโลกนี้ที่ชำระร่างเทพสุริยะน่ะสิ”

“เจ้าเคยชำระมันด้วยเหรอ?” มู่เฉินตกใจ

“ไม่” มั่นถัวหลัวส่ายหน้าเอ่ยเสียงเบา “แต่ข้าเคยเห็นมาก่อน… ดังนั้นอย่าคิดว่ามีเพียงเจ้าที่ได้รับ ส่วนข้าก็ต้องเตือนให้เจ้าระวังตัวไว้หากเจอคนอื่นที่ชำระร่างเทพสุริยะเหมือนกันในอนาคต”

“ทำไมล่ะ?” มู่เฉินถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“จุดประสงค์ที่เจ้าชำระร่างเทพสุริยะคืออะไร?” มั่นถัวหลัวถามกลับ

“ร่างมหาเทพนิรันดร์” มู่เฉินตอบเสียงเบา จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย บางทีเขาอาจไม่ใช่คนเดียวที่ชำระร่างเทพสุริยะได้ แต่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ชำระร่างมหาเทพนิรันดร์สำเร็จ พูดโดยทั่วไปก็คือทุกคนที่ชำระร่างเทพสุริยะเป็นคู่แข่งคนสำคัญของเขาทั้งสิ้น

“ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นหนึ่งในร่างเทพโบราณที่ยังหลงเหลืออยู่ เจ้าจะต้องก้าวผ่านการกำจัดอันโหดร้ายเพื่อให้ได้มาครอบครอง ในเมื่อเจ้าชำระร่างเทพสุริยะแล้ว ก็ถือว่าผ่านขั้นตอนแรกไปได้ ดังนั้นนี่ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าในอนาคตที่จะประสบผลสำเร็จน่ะ” มั่นถัวหลัวเอ่ยเสียงเรียบ

สีหน้ามู่เฉินเคร่งเครียดมากขณะที่ในหัวใจกระเด้งกระดอนไปหมด คำพูดของมั่นถัวหลัวเห็นชัดว่าสร้างความตกตะลึงให้เขา ดูเหมือนจะยังมีความลับซ่อนอยู่เบื้องหลังร่างมหาเทพนิรันดร์อีกมากมายที่เขายังไม่รู้

“แล้วร่างเทพโบราณอื่นๆ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหมดหรือ?” มู่เฉินถามขณะมองมั่นถัวหลัว

“ก็น่าจะ” มั่นถัวหลัวไม่ได้ให้คำตอบแน่นอนกับเขา

มู่เฉินพยักหน้า จากนั้นก็ยิ้มให้ “ขอบใจนะ ข้าจะระวังตัว แต่คำพูดของเจ้ายิ่งทำให้ข้าสนใจร่างมหาเทพนิรันดร์มากขึ้นซะแล้วสิ”

มั่นถัวหลัวเหลือบมองมู่เฉินที่มีดวงตาลุกโชนอย่างประหลาดใจเล็กน้อย ความอุตสาหะของชายคนนี้น่าทึ่งแท้จริง

“ก็แค่เป็นการตอบแทนบุญคุณเจ้าน่ะ”

มั่นถัวหลัวยืนขึ้นหันหลังเดินไปยังทางออก “ไปกันเถอะ สงครามสำนักของอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเริ่มในไม่ช้า เจ้าต้องพึ่งตัวเองแล้ว อย่าโดนฆ่าตายจนทำให้ร่างเทพสุริยะสูญเปล่าล่ะ”

มู่เฉินยิ้มพลางกำหมัดแน่น สายตาของเขามั่นคงนัก ไม่ว่าการฝึกร่างเทพสุริยะจะอันตรายขนาดไหน แต่เขาก็จะไม่ยอมแพ้ จะต้องมีวันที่เขาได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์มาแน่นอน!

เพราะนี่คือเส้นทางสำคัญที่จะก้าวขึ้นสู่การเป็นยอดยุทธ์!