ตอนที่ 470 ต้องป้องกันตัวเองให้ดี / ตอนที่ 471 กลัวเจ้าอิจฉาปิงปิง

หวนแค้นชะตารัก

ตอนที่ 470 ต้องป้องกันตัวเองให้ดี

 

 

พอได้ยินซูจิ่วซือรับสารภาพ มู่อวิ๋นชางก็หันมา สายตาแสดงความประหลาดใจ “เจ้าใจกล้าจริงๆ กรีดหน้าชายาอย่างเปิดเผย เจ้ารู้ไหมว่าทำอย่างนี้ผลจะเป็นอย่างไร อย่าไปยุ่งกับคนจวนซิ่นอ๋อง”

 

 

“ท่านพ่อ ข้ารู้ตัวว่าทำอะไรลงไป คนจวนซิ่นอ๋องเราไม่ควรไปยุ่ง แต่เมื่อเป็นศัตรูก็ต้องยุ่ง ถึงเราจะดีด้วย แต่พวกเขาก็ไม่ดีตอบ พวกเขาลงมือก่อน ลูกไม่ตอบโต้ได้อย่างไร เมื่อจะเดินก็ต้องเดินไปให้ถึงที่สุด”

 

 

ซูจิ่วซือยืนยันหนักแน่น น้ำเสียงไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย

 

 

“เจ้าไม่กลัวตายหรือ? เจ้าเคยคิดไหมว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะตกอยู่ในกำมือของคนจวนซิ่นอ๋อง พวกนั้นจะจัดการเจ้าอย่างไร”

 

 

“ถ้าวันหนึ่งเป็นอย่างนั้นจริงๆ ข้าก็ยอมรับ ในเมื่อกล้าเสี่ยง ก็ต้องกล้าแพ้ ข้าต้องพยายามเอาชนะให้ได้”

 

 

พอประสานสายตาที่มั่นใจของซูจิ่วซือ มู่อวิ๋นชางก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร

 

 

ขณะที่นางพูดอยู่นี้หน้าตาของนางแสดงถึงความมั่นใจและทะนงอย่างชัดเจน นางไม่กลัวจริงๆ กล้าเสี่ยงจริงๆ เด็กสาวอายุไม่มากแต่ทรงพลังอย่างนี้ ทำให้มู่อวิ๋นชางซึ่งงระมัดระวังตัวมาตลอดชีวิตรู้สึกตกใจ

 

 

“ท่านพ่อ ตระกูลมู่เดิมทีก็ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ข้าเป็นคนดึงตระกูลมู่เข้ามาเกี่ยวข้อง ข้าจะพยายามปกป้องตระกูลมู่อย่างเต็มที่”

 

 

ซูจิ่วซืออยากปกป้องตระกูลมู่เป็นความจริง เพราะตระกูลมู่ดูแลนางอย่างดี เมื่อตระกูลมู่ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง นางกับฟู่เฉินหรงจะพยายามปกป้องตระกูลมู่ให้ดีที่สุด วันหลังยังจะตอบแทนตระกูลมู่อย่างเต็มที่ เวลานี้นางเริ่มถือว่าตระกูลมู่เป็นบ้านของตน

 

 

“ตระกูลมู่ไม่ต้องการให้เจ้าปกป้อง เจ้าต้องปกป้องตัวเองให้ดีที่สุด ซือซือ แม่เจ้าต้องการเจ้า ถ้าเจ้าเกิดเรื่องขึ้น แม่เจ้าคงรับไม่ไหว”

 

 

ซูจิ่วซือรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที นางพยักหน้า “ข้าจะปกป้องตัวเองให้ดีที่สุด ขออภัย ท่านพ่อ ข้าทำให้ตระกูลมู่พลอยเดือดร้อน”

 

 

“ข้าบอกเจ้าตั้งแต่แรกแล้ว นี่เป็นการตัดสินใจของตระกูลมู่ ไม่เกี่ยวกับเจ้า

 

 

มู่หยางพูดถูก บรรพชนตระกูลมู่เคยเป็นขุนนางผู้สร้างความชอบในการก่อตั้งราชวงศ์ จงรักภักดีต่อฮ่องเต้รักชาติบ้านเมือง ต่อมาตระกูลมู่เลือกค่อยๆ มุ่งแต่เอาตัวรอด ลืมเลือดอันร้อนระอุของบรรพชน คิดแต่จะปกป้องตระกูลมู่ ไม่ช่วยเหลือบรรเทาความทุกข์ร้อนของฮ่องเต้ ไม่ใส่ใจความทุกข์ของราษฏร นี่ไม่ใช่แบบแผนของขุนนาง

 

 

ข้าเรียกเจ้ามาไม่ใช่จะกล่าวโทษเจ้า เพียงแต่อยากเตือนเจ้า ซือซือ ต้องระมัดระวังให้ดี เวลานี้เจ้ากำลังเสี่ยงอันตรายอยู่”

 

 

ซูจิ่วซือรับปากอย่างหนักแน่น “ข้าจะระวัง ท่านพ่อวางใจ องค์รัชทายาทต้องก้าวไปถึงจุดหมาย ตระกูลมู่ไม่เป็นอันตรายแน่”

 

 

“เจ้าเชื่อมั่นในองค์รัชทายาทปานนี้?”

 

 

ซูจิ่วซือยิ้มอย่างมั่นใจ “ข้าเชื่อมั่นในตัวข้าเอง”

 

 

“เจ้ามีความพยายาม เสียดายที่เป็นผู้หญิง ไม่เช่นนั้นถ้ารับราชการคงสร้างผลงานยิ่งใหญ่”

 

 

“ท่านพ่อชมเกินไป”

 

 

ซูจิ่วซือแสดงความอ่อนน้อม เวลานี้นางรู้สึกว่ามู่อวิ๋นชางยืนอยู่ข้างนางจริงๆ แม้จะวิตกอยู่บ้าง แต่ก็ยังเลือกฟู่เฉินหรง ทำให้ซูจิ่วซือรู้สึกซาบซึ้ง การตัดสินของตระกูลมู่เมื่อก่อนก็ไม่ผิด ถ้าเป็นนาง ก็จะรักษาตัวรอด ปกป้องครอบครัวของตน

 

 

การตัดสินใจของมู่อวิ๋นชางสาเหตุหลักเพราะฮูหยินมู่ เขาเป็นสามีที่รักใคร่ห่วงใยภรรยามาก ซูจิ่วซือจึงชื่นชมมู่อวิ๋นชางเป็นพิเศษ

 

 

ซูจิ่วซืออยู่ที่ห้องหนังสือของมู่อวิ๋นชางครู่หนึ่งจึงออกไป

 

 

หลังจากนั้นอีกหลายวันซูจิ่วซือก็ดูแลเผยปิงปิงอยู่แต่ในจวนตระกูลมู่ ไม่ออกไปไหน กู้หลียวนไม่สะดวกที่จะมาหาด้วยตัวเอง แต่ให้คนเอาน้ำแกงไก่ที่ต้มเองมาให้ทุกวัน มู่หยางก็มาเยี่ยมเผยปิงปิงบ่อยๆ

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 471 กลัวเจ้าอิจฉาปิงปิง

 

 

วันนี้ซูจิ่วซือพูดคุยกับเผยปิงปิงที่ลานบ้าน ทั้งสองนั่งบนม้าหิน จู่ๆ ปิงซินก็เดินนำฟู่เฉินหรงเข้ามาที่ลานบ้าน

 

 

พอเห็นฟู่เฉินหรง เผยปิงปิงก็พูดยิ้มๆ “องค์รัชทายาท ทำอย่างนี้ไม่เปิดเผยเกินไปหรือ! กลัวคนอื่นไม่รู้ว่ามาหาจิ่วซือหรือ ข้างนอกมีเสียงซุบซิบ บอกว่าองค์รัชทายาทถูกจิ่วซือทำเสน่ห์”

 

 

“นี่ไม่เรียกว่าซุบซิบแต่เป็นความจริง ข้าโดนจิ่วซือทำเสน่ห์” ฟู่เฉินหรงพูดยิ้มๆ หิ้วกล่องอาหารมาวางบนโต๊ะหิน

 

 

“การหมั้นหมายไม่ได้ผูกมัดเจ้าเลย เจ้าทำให้เฟิงชิงสุ่ยโกรธตาย”

 

 

ฟู่เฉินหรงนั่งลงข้างซูจิ่วซือ “ถ้าโกรธจนตายยิ่งดี”

 

 

“นี่อะไรหรือ?”

 

 

ซูจิ่วซือไม่รู้จะทำอย่างไรกับฟู่เฉินหรง พอเห็นเขาหิ้วกล่องอาหารมา ก็ถามด้วยความอยากรู้

 

 

ฟู่เฉินหรงไม่ตอบ ยื่นมือมาเปิดกล่องอาหาร หยิบน้ำแกงไก่ร้อนกรุ่นชามหนึ่งออกมา” นี่เป็นน้ำแกงไก่ที่ข้าต้มเอง จิ่วซือ ลองชิมดู”

 

 

พอได้ยินว่าฟู่เฉินหรงต้มน้ำแกงไก่ ซูจิ่วซือก็ตะลึง “เจ้าอยู่ดีๆ ต้มน้ำแกงไก่ทำอะไร?”

 

 

“ข้าได้ยินว่าหลียวนต้มน้ำแกงไก่ให้ปิงปิงทุกวัน กลัวว่าเจ้าจะอิจฉาปิงปิง ข้าจึงต้มให้เจ้าชามหนึ่ง รสชาติไม่ด้อยกว่าที่หลียวนทำแน่ ไม่เชื่อลองชิมดู”

 

 

ฟู่เฉินหรงอธิบายอย่างจริงจัง เวลานี้เขาเหมือนเด็ก ท่าทางเอาจริงเอาจัง

 

 

เผยปิงปิงอดหัวเราะไม่ได้ ฟู่เฉินหรงตลกจริงๆ

 

 

ซูจิ่วซือหัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก แต่ก็รู้สึกอบอุ่น เจ้าคนโง่ ตนจะอิจฉาเผยปิงปิงที่ได้กินน้ำแกงไก่ได้อย่างไร

 

 

“ช่วงนี้เจ้างานยุ่งไม่ใช่หรือ? ยังมีเวลามาต้มน้ำแกงไก่”

 

 

แม้สีหน้าเคร่งครัด แต่น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนมาก

 

 

“งานยุ่งอย่างไรก็ยังมีเวลาใส่ใจเจ้า จิ่วซือ ลองชิมดู” ฟู่เฉินหรงไม่เห็นเผยปิงปิง มองซูจิ่วซืออย่างรอคอย ราวกับรอให้ซูจิ่วซือเอ่ยปากชม

 

 

ขณะที่ฟู่เฉินหรงมองอย่างคาดหวัง ซูจิ่วซือรับชามน้ำแกงไก่จากมือฟู่เฉินหรง ลองจิบดูก่อน จากนั้นก็พยักหน้า “อร่อยมาก”

 

 

“จริงหรือ? ไม่เสียเวลาเปล่า”

 

 

พูดจบก็เห็นเผยปิงปิงนั่งหัวเราะอยู่ข้างๆ รีบไล่นางไป “ปิงปิง เจ้าไปหัวเราะที่ห้องเจ้าได้ไหม? ข้าอยากคุยกับจิ่วซือตามลำพัง”

 

 

“ได้ ได้ เจ้าสองคนคุยกันเถอะ ฮ่าฮ่า ทำไมตลกอย่างนี้ ข้าทนไม่ไหวแล้ว ขอกลับห้องก่อน”

 

 

เผยปิงปิงเอามือกุมท้องเดินออกไป เดิมทีนางรู้สึกห่อเ**่ยวใจ แต่มีซูจิ่วซืออยู่เป็นเพื่อน นางรู้สึกดีขึ้นมาก พอเห็นฟู่เฉินหรงทำอะไรโง่ๆ นางก็อารมณ์ดีขึ้นมาก ใครจะคิดว่าองค์รัชทายาทผู้เคร่งครัดจะไร้เดียงสาอย่างนี้?

 

 

เผยปิงปิงไปแล้ว ปิงซินก็ถอยออกไปอย่างรู้สถานการณ์

 

 

พอเห็นรอบข้างไม่มีคนแล้ว ซูจิ่วซือก็อดหัวเราะไม่ได้ “เฉินหรง เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าทำเรื่องโง่ๆ ”

 

 

“ทำให้เจ้าหัวเราะได้ โง่ก็ช่างเถอะ! ข้าเพียงแต่อยากให้เจ้ารู้ ข้าต้มน้ำแกงไก่เป็น”

 

 

ซูจิ่วซือพยักหน้าหนักแน่น “ข้ารู้แล้ว”

 

 

“อร่อยจริงหรือ?”

 

 

“แน่นอน”

 

 

“ป้อนข้าคำหนึ่ง”

 

 

ซูจิ่วซือมองไปรอบๆ พอมั่นใจว่าไม่มีคน จึงหยิบช้อนมาตักใส่ปากให้ฟู่เฉินหรง

 

 

ฟู่เฉินหรงยื่นมือมาจับซูจิ่วซือ ยิ้มให้ซูจิ่วซือ “ข้ายังกลัวว่าจะไม่อร่อย”

 

 

“เจ้ามีพรสวรรค์ทุกเรื่อง ข้าจะชมเจ้าอย่างไรดี”

 

 

ฟู่เฉินหรงหัวเราะ “ไม่ต้องชม ให้รางวัลข้าบ้างก็พอ”

 

 

“เจ้าอยากได้อะไร?”

 

 

ฟู่เฉินหรงมองซูจิ่วซือแววตาทอประกาย “เจ้าว่ายังไง?”

 

 

คงเป็นเพราะอยู่กับฟู่เฉินหรงมานาน ซูจิ่วซือจึงรู้สึกว่าตนเข้าใจความหมายของฟู่เฉินหรง นางหน้าแดง ถลึงตาใส่ฟู่เฉินหรง “หน้าไม่อาย”