บทที่ 1916+1917

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1916 อันสิ่งที่เรียกว่าสวรรค์ลิขิตวาสนารัก 2

หลังจากพวกเขาได้ครองคู่กันอีกครั้งหนึ่ง พ่อแม่ญาติพี่น้องของพวกเราเริ่มทยอยประสบความโชคร้ายไปตามๆ กัน หมดเนื้อหมดตัวจากการค้าขาย เข้ารับราชการก็ถูกปลดจากตำแหน่ง ถูกลงโทษส่งตัวไปประจำการแดนไกล น้องสาวของฝ่ายชายหายตัวไป พี่ชายของฝ่ายหญิงประสบเคราะห์ร้ายกลายเป็นคนพิการ…

ด้วยเหตุนี้ พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายต่างยิ่งไม่เห็นด้วยที่พวกเขาจะอยู่ด้วยกันอีกครั้ง กีดกันจนถึงที่สุดแม้ตายก็ยอม…

ทั้งสองคนสิ้นหวังและจนตรอก ถึงได้นัดหมายกันมากระโดดหน้าผาแห่งนี้เพื่อสละชีพบูชารัก!

เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนนี้มองเสินเนี่ยนโม่เป็นดาวช่วยชีวิต เมื่อบอกเล่าสิ่งเหล่านี้แล้วก็ถามอย่างเปี่ยมความหวัง “ท่านเซียนน้อย พวกเราจะทำลายคำสาปนี้ได้อย่างไร พวกเราแค่เพียงต้องการอยู่ด้วยกัน ไม่ได้ต้องการเป็นอุปสรรคต่อผู้ใด…”

เซียนน้อยเสินเนี่ยนโม่งงงวย ส่ายหัวเล็กน้อย “ไม่รู้สิ…”

ใบหน้าทั้งสองเผยความผิดหวัง ต่างมองหน้ากันแวบหนึ่ง แล้วคุกเข่าก้มคำนับเสินเนี่ยนโม่ในทันใด ขอให้เขาเมตตาสงสารช่วยเหลือด้วย

เสินเนี่ยนโม่มุ่นคิ้วเล็กน้อย ความจริงเขาก็รู้สึกได้รางๆ ว่ากำลังคู่บุพเพนี้ค่อนข้างคุ้นหู แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยได้ยินจากที่ไหน…

ขณะที่เขากำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง ก็มีเสียงหนึ่งแว่วขึ้นมากลางความว่างเปล่า “เรื่องนี้อย่าได้คิดฝันไปเลย”

ทั้งสองคนพลันตกตะลึง เงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียง พวกเขามองเห็นหยกคู่งดงามปรากฏขึ้นกลางอากาศ ไอเมฆบดบังใบหน้าพวกเขา ไม่รู้ว่างดงามหรืออัปลักษณ์ ทว่ารู้สึกได้ว่าบุคลิกของคนทั้งสองโดดเด่นยิ่งนัก…

แววตาเสินเนี่ยนโม่พลันวาบไหว “ท่านพ่อ ท่านแม่!”

คู่รักเยาว์วัยมองหน้ากันและกัน คำนับไปกลางอากาศพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

ในเมื่อท่านทั้งสองที่อยู่กลางอากาศเป็นบิดามารดาของท่านเซียนน้อยผู้นี้ จะต้องเป็นคนที่มีความสามารถอย่างแน่นอน คู่รักเยาว์วัยคู่นี้จึงราวกับคว้าฟางเส้นสุดท้ายที่ช่วยชีวิตไว้ได้ ขอความเมตตาอีกครั้งหนึ่ง…

กู้ซีจิ่วอำพรางตัวอยู่กลางอากาศ หัวใจก็พลันสั่นไหวเช่นกันเมื่อเห็นเสินจิ่วหลีกับภรรยาปรากฏกายขึ้นกะทันหัน

เดิมทีเธอยังประหลาดใจว่าเสินเนี่ยนโม่ออกมาเที่ยวเล่นเพียงลำพังได้อย่างไร ที่แท้บิดามารดาของเขาก็มาด้วย…

ความจริงตอนที่เธอได้ยินคำว่า ‘กำไลคู่บุพเพ’ หัวใจดั่งถูกพุ่งชนเช่นกัน รู้สึกว่าชื่อของกำไลนี้คุ้นหูยิ่งนัก เหมือนเคยได้ยินที่ไหน ถึงขั้นที่ภายในใจยังคงรู้สึกฝาดเฝื่อนอย่างมิอาจบรรยายได้

ที่แท้เมื่อใดที่บุพเพสวรรค์ลิขิตถูกทำลายจะมีผลข้างเคียงที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้…

เมื่อกล่าวเช่นนี้ บุพเพสวรรค์ลิขิตก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป นอกเสียจากว่าคู่ที่รักใคร่กันแทบเป็นแทบตาย มั่นคงไม่ผันแปร ถึงจะได้รับประโยชน์ของบุพเพสวรรค์ลิขิต

ไม่ใช่อย่างสองคนนี้ที่ทะเลาะกันครั้งหนึ่งก็ง้องอนถอนหมั้น สำหรับคนทั้งสองนี้ บุพเพสวรรค์ลิขิตกลับกลายเป็นมหันตภัย

ทั้งสองแทบจะโขกศีรษะจนโลหิตหลั่งแล้ว ถึงแม้หนิงเสวี่ยโม่จะรู้สึกว่าก็สมควรแล้วอยู่บ้าง ทว่าบางทีอาจเป็นเพราะช่วงนี้นางอารมณ์ดี แทบอยากจะให้ยวนยางใต้หล้านี้ต่างได้ครองคู่ เมื่อเห็นว่าสองคนนี้จริงใจ จึงมองไปทางเสินจิ่วหลี

เสินจิ่วหลีทอดถอนใจ เขามีวิธีจริงๆ แต่ไม่คิดว่าคู่รักเยาว์วัยคู่นี้จะทำได้ ทว่าเพื่อเห็นแก่หน้าของภรรยาแล้ว เขาก็ยังบอกวิธีการนั้นไป “บุพเพสวรรค์ลิขิตไม่อาจทำลายได้ เมื่อทำลายก็พึงแยกจาก หากไม่แยกจากก็ต้องมีเคราะห์ เดิมทีเจ้าทั้งสองไม่มีวาสนาต่อกันแล้ว หากต้องการดึงรั้งวาสนารักครั้งนี้ไว้จริงยังมีวิธีหนึ่ง พวกเจ้าทั้งสองจำต้องมีใครสักคนตายสักครั้ง เมื่อกลับชาติมาเกิดเป็นคนใหม่อีกครั้งถึงจะสานต่อวาสนาเดิมกับคนรักเดิมได้อีกครั้ง หรือว่าหนึ่งในพวกเจ้าต้องมีคนหนึ่งยอมตายเพื่ออีกฝ่ายด้วยความเต็มใจและช่วยชีวิตคน อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องรอคอยอย่างไม่ขุ่นเคืองและเสียใจ หากอีกฝ่ายที่ตายจากถูกช่วยชีวิตไว้ก็จะสามารถทำลายคำสาปนี้ได้”

คู่รักเยาว์วัยตะลึงงัน สตรีนางนั้นอดไม่ได้ที่จะถาม “หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายจาก กลับชาติมาเกิดใหม่ แล้วลืมเลือนอีกฝ่ายจะทำอย่างไร แล้วคนที่รอจะไม่คว้าน้ำเหลวหรอกหรือ?”

เสินจิ่วหลีกล่าวอย่างเรียบเฉย “หากความรู้สึกของพวกเจ้าลึกซึ้งจนถึงขั้นนั้นจริงๆ ต่อให้ลืมเลือนอีกฝ่าย ก็จะมีความรู้สึกต่ออีกฝ่ายโดยสัญชาตญาณ วกไปเวียนมาก็จะครองคู่กันได้”

———————————————————————

บทที่ 1917 อันสิ่งที่เรียกว่าสวรรค์ลิขิตวาสนารัก 3

ชายคนนั้นนิ่วหน้า “ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นมายาที่เลื่อนลอยเกินไป การกลับชาติมาเกิดต้องใช้เวลานานเท่าใด?”

เสินจิ่วหลี่เอ่ยตอบ “หลังจากมนุษย์สิ้นชีพไม่อาจเกิดใหม่ได้ทันที ต่อให้เวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปี”

“นานถึงเพียงนี้เชียว?! เกรงว่าจะฝ่ายที่มีชีวิตอยู่จะรอนานขนาดนั้นไม่ไหวหรอก!”

แววตาเสินจิ่วหลี่เฉียบคมรางๆ “อายุขัยของพวกเจ้าน่าจะอยู่ที่พันปี การรอคอยหนึ่งร้อยก็ไม่ถือว่านาน…”

คู่รักเยาว์วัยเงียบไปแล้ว แยกจากกันหนึ่งร้อยปี ซ้ำยังอยู่ในสถานการณ์ที่ฝ่ายหนึ่งจะเสียความทรงจำไปด้วย ผู้ใดจะทราบเล่าว่าวันหน้าจะเกิดอะไรขึ้น? เกรงว่าผู้ตายก็คงไม่ยินดีจะตาย ผู้รอก็ไม่ยินดีจะรอ ล้วนหวั่นเกรงว่าจะคว้าน้ำเหลว…

เสินจิ่วหลี่เอ่ยเสียงเรียบอีกครั้ง แถมยังซ้ำเติมพวกเขาเข้าไปอีกดอกด้วย “อย่าหาว่าข้าไม่เตือนพวกเจ้าเลยนะ พวกเจ้าไม่ว่าผู้ใดหลังจากสิ้นชีพแล้วกลับชาติมาเกิด จะหญิงหรือชายก็ขึ้นอยู่กับชะตา”

คู่รักวัยเยาว์โง่งมไปแล้ว!

พูดอีกอย่างก็คือ ฝ่ายชายหากสิ้นชีพไปแล้ว ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะมาเกิดใหม่เป็นสตรี

ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ ฝ่ายหญิงก็เป็นไปได้ว่าจะมาเกิดใหม่เป็นบุรุษเช่นกัน…

เช่นนั้นจะไม่ใช่การขัดคันฉ่อง[1]หรือตัดแขนเสื้อหรอกหรือ?!

ท้ายที่สุดแล้ว คู่รักวัยเยาว์จึงลงเขาไปอย่างไร้ชีวิตจิตใจ พวกเขาไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ติดจะเผชิญเคราะห์นี้ กลับไปแล้วก็ทำได้เพียงเลิกรากันไปเสีย…

หนิงเสวี่ยโม่มองเงาหลังของพวกเขาที่ลงเขาไป ทอดถอนใจออกมา “ดูเหมือนความรักระหว่างพวกเขาจะไม่ได้ลึกซึ้งถึงเพียงนั้น…”

เสินจิ่วหลี่โอบเอวภรรยา “บนโลกนี้จะมีสักกี่คนที่อดทนต่ออุปสรรคยากเข็ญได้โดยไม่เคยนึกเสียใจเสมือนข้ากับเจ้า? ที่พวกเขามาสละชีพบูชารักที่นี่ก็เพียงเพราะความโกรธเคืองชั่วขณะเท่านั้น”

“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านก็เป็นคู่บุพเพสวรรค์ลิขิตหรือ?” เสินเนี่ยนโม่เงยหน้าถาม

เสินจิ่วหลี่ส่ายหน้า “ไม่ใช่”

เสินเนี่ยนโม่ใคร่รู้ยิ่งนัก “ที่ผ่านมาพวกท่านประสบความลำบากยากเข็ญเฉียดเป็นเฉียดตายมาแล้ว ยังมิใช่คู่บุพเพสวรรค์ลิขิตอีกหรือ? สวรรค์ไม่ยุติธรรม!”

เสินจิ่วหลี่มองเขาด้วยสายตาลุ่มลึกแวบหนึ่ง “ใช่แล้ว เจ้าสวรรค์สารเลวนั่นบางครั้งก็ไร้เหตุผล ชอบยุ่งวุ่นวายกับคู่รัก ปีนั้นข้ากับแม่เจ้าหนึ่งเป็นเทพหนึ่งเป็นมาร เป็นศัตรูกันตามธรรมชาติ ย่อมไม่ถูกสวรรค์ลิขิตให้เป็นคู่บุพเพ…”

เสินเนี่ยนโม่ขมวดคิ้วนิดๆ “ลิขิตสวรรค์เป็นคนรึ? หรือว่าเป็นเทพ?”

เสินจิ่วหลี่มองเขาอีกแวบหนึ่ง “สวรรค์คือกฎเกณฑ์ แต่ผู้บัญญัติกฎเกณฑ์นี้คือเทพ”

“เช่นนั้นท่านพ่อเป็นผู้พิทักษ์ลิขิตสวรรค์ เคยพบเขาหรือไม่?” เสินเนี่ยนโม่เริ่มสนอกสนใจขึ้นมาแล้ว

เสินจิ่วหลี่ตอบอย่างไม่อนาทร “พบแล้ว”

“เขาเป็นชายหรือหญิง? รูปโฉมเป็นอย่างไร? น่ามองหรือไม่?” เสินเนี่ยนโม่สนใจใคร่รู้ยิ่งนัก

เสินจิ่วหลี่ถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง “เขาชอบอวตารพันเปลี่ยนหมื่นแปลงท่องไปยังโลกต่างๆ…จำแลงกายไปมากมายเหลือเกิน บ้างก็อัปลักษณ์บ้างก็หล่อเหลา ถึงขั้นที่เป็นไปได้ว่าจะเป็นเด็กน้อยเช่นเจ้าด้วย”

“เขาช่างวิปริตโดยแท้!” หนิงเสวี่ยโม่เอ่ยออกมาอย่างเหลืออด นางก็เพิ่งเคยได้ยินสามีเอ่ยถึงเรื่องลิขิตสวรรค์ขึ้นมาเป็นครั้งแรกเช่นกัน “เช่นนั้นเขามีชื่อหรือไม่?”

“นามเป็นเพียงคำเรียกขานคนผู้หนึ่งเท่านั้น เขาจำแลงกายพันเปลี่ยนหมื่นแปลงย่อมต้องมีนามแฝงนับพันนับหมื่นเป็นธรรมดา”

“เช่นนั้นเขาก็น่าจะมีนามดั้งเดิมอยู่กระมัง?”

“เขาบอกว่าตนแซ่ตี้ เหล่าผู้พิทักษ์เรียกขานเขาว่าตี้จวิน ส่วนนาม…อาจจะมี แต่เขาไม่เคยบอกผู้ใด ไม่แน่ว่าตัวเขาเองก็อาจจะลืมไปแล้วเหมือนกัน หรือไม่ก็เกียจคร้านเกินไป”

“คนผู้นี้ประหลาดจริงๆ บัญญัติกฎเกณฑ์ลิขิตสวรรค์เสียมากมายปานนี้ ทำร้ายท่านและข้า…” หนิงเสวี่ยโม่ขุ่นเคืองลิขิตสวรรค์

เสินจิ่วหลี่จึงเอ่ยว่า “เสวี่ยโม่ กฎเกณฑ์ลิขิตสวรรค์ก็เหมือนกับกฎหมายในแดนมนุษย์ ไม่มีกฎเกณฑ์ใต้หล้าจะโกลาหลนัก ยิ่งไปกว่านั้นคือกฎเกณฑ์ลิขิตสวรรค์ไม่ได้ผูกมัดเพียงเจ้าและข้าเท่านั้น แม้แต่ตัวเขาเองก็อาจจะประสบเคราะห์กรรมใหญ่หลวงยิ่งนักเช่นกัน…”

หนิงเสวี่ยโม่ไม่เชื่อ “เขาเป็นผู้ตรากฎลิขิตสวรรค์ขึ้นมาเอง ตัวเขาเองจะโดนผูกมัดด้วยหรือ? ”

———————————————————————–

[1] ขัดคันฉ่อง หมายถึง คู่หญิงรักหญิง เวลาผลิตคันฉ่องต้องขัดโลหะให้เงา ใกล้เคียงกับท่าทางขณะมีเพศสัมพันธ์ของผู้หญิงรักร่วมเพศ