เวทีในการประลองวรยุทธ์ถูกจัดตั้งขึ้นชั่วคราว แม้เวลาจะกระชั้นชิดไปบ้าง ทว่าเป็นสนามที่เหล่าเชื้อพระวงศ์ใช้และอยู่ไม่ไกลนัก
มู่หรงเฟิงให้ใต้เท้าจางเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด กฎของการแข่งขันก็ถูกกำหนดโดยใต้เท้าจางเช่นกัน
ทันทีที่ใต้เท้าจางประกาศกฎการแข่งขันอย่างเป็นทางการ ก็มีคนขึ้นมาท้าประลองบนเวทีเป็นคนแรก จากนั้นก็มีคนเข้าร่วมการแข่งขันทีละคน ทุกคนต่างเป็นคนของกรมกลาโหม
เมื่อขึ้นมาเร็ว ก็ถูกกำจัดเร็ว หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยามก็กำจัดคนไปได้เจ็ดถึงแปดคนแล้ว โชคดีที่ก่อนการแข่งขันมีกฎว่า หากยอมแพ้ก็นับว่าสิ้นสุด
ทำให้ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ
หลังจากคนที่สิบสองถูกกำจัด ท่านแม่ทัพใหญ่จงเนี่ยก็ก้าวขึ้นเวที ผู้คนพลันส่งเสียงให้กำลังใจ
เป็นที่ยอมรับกันว่าในแคว้นหนานหลี วรยุทธ์ของจงเนี่ยนับว่ายอดเยี่ยม แม้รู้ดีว่าไม่อาจเอาชนะท่านแม่ทัพใหญ่ได้ ทว่ายังมีผู้ที่เต็มใจขึ้นไปทดสอบสักครั้ง
แน่นอน พวกเขาทั้งหมดล้วนถูกจงเนี่ยจัดการ
เดิมทีใต้เท้าจางคิดจะให้หลานของตนได้แสดงฝีมือ ทว่าเมื่อจงเนี่ยขึ้นเวที การแสดงฝีมือก็นับว่าจบสิ้น ใบหน้าของเขาจึงหม่นหมอง
ใต้เท้าจางกระชากเสียงด้วยความขุ่นเคือง “ท่านแม่ทัพใหญ่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ยังมีผู้ใดต้องการขึ้นเวทีอีกหรือไม่? ”
เดิมทีหลานของเขาต้องการขึ้นเวที ทว่าเขาส่งสายตาห้ามปรามเอาไว้
หากขึ้นเวทีในตอนนี้ คงไม่เป็นการณ์ดี ไม่เพียงไม่ได้แสดงความสามารถ ยังจะถูกจงเนี่ยทำให้อับอายด้วยซ้ำ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ยังไม่มีผู้ใดก้าวขึ้นเวที ใต้เท้าจางตะโกนอีกครั้ง “หากไม่มีผู้ใดขึ้นมาประลองแล้ว การประลองรอบแรกท่านแม่ทัพใหญ่จงจะเป็นผู้ชนะทันที”
ด้านล่างเวทีเงียบสนิท ไม่มีผู้ใดกล้าขึ้นเวที
“ได้! ข้าจะนับถึงสาม หากยังไม่มีผู้ใดขึ้นเวที การประลองรอบแรกก็จบลงเพียงเท่านี้! ”
“หนึ่ง… ”
“สอง… ”
“สาม… ”
“ข้าเอง! ”
ใต้เท้าจางกำลังจะนับ ‘สาม’เสียงอันไพเราะก็ดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนที่นิ่งเงียบ
ทุกคนต่างมองไปยังทิศทางของเสียงนั้น เขาคือมู่หรงฉี
มู่หรงฉีในชุดสีขาวนวลจันทร์ลุกขึ้นและเหาะขึ้นไปบนเวที
มู่หรงเฟิงที่เอนหลังพิงเก้าอี้ มองไปที่มู่หรงฉีด้วยความสนใจ “ฉีเอ๋อร์ก็สนใจดอกไม้ปีศาจด้วยหรือ? ”
“ไม่นับว่าสนใจ ทว่าช่วงนี้ไม่ได้ออกแรงมาพักใหญ่แล้ว ถือว่าใช้โอกาสนี้แลกเปลี่ยนความรู้กับท่านแม่ทัพใหญ่ และมอบความสนุกสนานให้เสด็จลุง! ”
“ดี! ”
คำว่า ‘ดี’ ของมู่หรงเฟิงมีความหมายลึกซึ้ง ทว่าไม่มีผู้ใดเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งนั้น
มู่หรงเฟิงมีท่าทางเกียจคร้านมากขึ้น เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางหรี่ตามองไปทางสองคนบนเวที ใบหน้าแสดงออกราวกับกำลังดูการแสดงฉากเด็ด
“ท่านแม่ทัพใหญ่ เชิญ! ”
มู่หรงฉีแสดงท่าทาง ‘เชิญ’ ตามด้วยกระบวนท่าที่สอดคล้องกัน
จงเนี่ยที่ถืออาวุธไว้ในมือ ค่อยๆ กางขาออก ดวงตาเปล่งประกายความโหดเหี้ยม ไม่แสดงท่าทางยอมแพ้แม้แต่น้อย
มู่หรงฉีและจงเนี่ยมักต่อสู้กันด้วยไหวพริบและแผนการมาโดยตลอด ไม่เคยใช้กำลังต่อสู้กันอย่างเปิดเผย ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ใช้กำลังต่อหน้าผู้อื่น
เมื่อการประลองบนเวทีมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ปฏิกิริยาของผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเวทีก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ชนะ! ”
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ยิ่งใหญ่! ”
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ยิ่งใหญ่! ”
……
“ฉีอ๋องชนะ! ”
“ฉีอ๋องยิ่งใหญ่! ”
“ฉีอ๋องเก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊! ”
……
เพียงครู่เดียว แต่ละฝ่ายต่างมีคนส่งเสียงให้กำลังใจอยู่ด้านล่างเวที พวกเขาแทบจะมีปากเสียงกัน ดูน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าบนเวทีเสียอีก
ซูจิ่นซียืนอยู่ด้านหลังฝูงชน สายตาจับจ้องการเปลี่ยนแปลงบนเวทีตลอดเวลา ท่าทางของนางเคร่งขรึมมากยิ่งขึ้น ไม่ละสายตาแม้แต่น้อย
การประลองผ่านไปครึ่งชั่วยาม ระหว่างมู่หรงฉีกับจงเนี่ยต่อสู้กันกว่าร้อยกระบวนท่า
ดูจากภายนอก ทั้งคู่มีความสามารถไล่เลี่ยกัน ไม่มีผู้ใดได้เปรียบ ทว่าคนที่เป็นวรยุทธ์ย่อมมองออกว่าจงเนี่ยที่แอบใช้เล่ห์เหลี่ยมหลายครั้งเพื่อให้เสมอกับมู่หรงฉี ไม่เป็นที่น่าชื่นชมนัก
การประลองของยอดฝีมือเช่นนี้ ผู้ที่เข้าใจต่างรู้ดีว่าครึ่งแรกของการแข่งขัน เป็นการประลองพละกำลัง รอจนถึงการแข่งขันครึ่งหลัง จึงจะเป็นการประลองที่แท้จริง ทั้งยังจะเห็นความสามารถที่แท้จริง
ครึ่งแรกของการประลอง จงเนี่ยยังแอบใช้เล่ห์เหลี่ยม ยากที่จะรับประกันได้ว่าครึ่งหลังเขาจะไม่ทำซ้ำอีก นางต้องคิดหาหนทางช่วยมู่หรงฉี
ทว่าขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จงเนี่ยที่อยู่บนเวทีก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
‘ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด! ’
เสียงระบบถอนพิษแจ้งเตือนอย่างรวดเร็ว
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น นางมองมู่หรงฉีบนเวทีที่กำลังยกกระบี่ยาวในมือขึ้น หลังจากที่เขาพลิกตัวเหาะขึ้นกลางอากาศและใช้พลังโจมตี กระบี่ยาวคมกริบในมือก็พาดผ่านลำคอของจงเนี่ยอย่างเฉียดฉิว
กระบวนท่านี้ หากทำตามขั้นตอนอย่างเข้มงวด ก็นับได้ว่ามู่หรงฉีเป็นฝ่ายชนะแล้ว
ทว่าท่ามกลางผู้คนที่หายใจเร็วด้วยความตื่นเต้น ร่างของจงเนี่ยถอยไปด้านหลัง เขาขมวดคิ้วมุ่น เมื่อรู้สึกว่าการหลบหลีกในครั้งนี้ตนเองตกเป็นรอง จากนั้นจึงใช้กลวิธีถอยเพื่อรุก สาดลูกดอกออกไปในจังหวะที่ร่างของมู่หรงฉีพุ่งเข้ามาตามแรงโน้มถ่วง
อย่างไรก็ตาม หากเป็นลูกดอกทั่วไปก็ไม่เป็นไร สำหรับมู่หรงฉีในยามนี้ แม้จะมีความยากลำบากอยู่บ้าง ทว่าการรับกระบวนท่าหรือหลบหลีกล้วนสามารถทำได้ไม่ยาก ทว่าปัญหาคือ หลังจากที่หลบลูกดอกนั้น ยังมีกระบวนท่าอื่นตามมาอีก
มู่หรงฉีมีความรู้สึกว่องไวอย่างมาก เขารับรู้ถึงความผิดปกติทางด้านหลัง จึงรีบหมุนตัวเป็นวงแหวนและยกมือขึ้นปัดลูกดอกที่พุ่งเข้ามา ทันใดนั้น ฝุ่นผงสีขาวก็กระจายออกจากลูกดอกนั้น
ภายใต้สถานการณ์ปกติ ผู้ใช้วรยุทธ์ล้วนมีความระมัดระวัง พวกเขาย่อมคิดว่าในหมอกขาวมีพิษ มู่หรงฉีก็เป็นเช่นนั้น หมอกสีขาวนั้นได้ดึงดูดความสนใจของมู่หรงฉี เขาจึงไม่ทันระวังสิ่งที่มีสีดำและมีขนาดเล็กเท่าเมล็ดถั่วที่จงเนี่ยโยนมา
‘ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด… ’
ระบบถอนพิษแจ้งเตือนอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังระบุส่วนผสมของสารพิษอย่างรวดเร็ว
สิ่งนี้เป็นอันตรายถึงชีวิต
“มู่หรงฉีระวัง! ”
ซูจิ่นซีไม่ทันคิด นางกระโดดขึ้นไปบนเวทีทันที
ทว่าไม่ทันการณ์เสียแล้ว
เมื่อสิ่งนั้นสัมผัสถูกตัวมู่หรงฉี มันกัดแทะเข้าสู่ร่างกายของมู่หรงฉีอย่างรวดเร็ว
แม้ร่างกายของมู่หรงฉีจะไม่มีความผิดปกติอันใด ทว่ามือและเท้าของเขากลับอ่อนแรงลง และไม่สามารถใช้กำลังใดๆ ได้อีก
“นี่… นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่? ”
แน่นอนว่าทุกคนที่อยู่ด้านล่างเวทีไม่สามารถเข้าใกล้สารพิษที่คาดเดาไม่ได้เหมือนซูจิ่นซี พวกเขาจึงไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น เหตุการณ์พลันเริ่มโกลาหล
ซูจิ่นซีรีบหาบาดแผล บาดแผลนั้นมีขนาดเล็กเท่าเมล็ดถั่ว หากไม่สังเกตให้ละเอียด อาจถูกมองข้ามได้ง่าย
นอกจากนั้น สิ่งของสีดำนั้นได้เข้าสู่ร่างกายของมู่หรงฉีแล้ว ทั้งมันยังฝังลึกลงไป หากไม่รีบนำออก ผลที่ตามมาคงยากจะจินตนาการได้
ซูจิ่นซีแทบไม่หยุดคิด นางหยิบมีดสั้นขึ้นมากรีดไปที่ปากแผลของมู่หรงฉี
ทางด้านจงเนี่ยขมวดคิ้วแน่น เขาตะโกนว่า “เจ้านักต้มตุ๋น ช่างบังอาจ เจ้าคิดจะทำอันใด? คิดจะทำร้ายฉีอ๋องหรือ? ”
จงเนี่ยพูดพลางยกมือขึ้น เรียกองครักษ์จากด้านล่างเวที “องครักษ์ จับนักต้มตุ๋นผู้นี้ให้ข้า! ”
ซูจิ่นซีไม่อาจชักช้าได้ “อดทนไว้! ” นางพูดแผ่วเบาและกรีดมีดสั้นในมือไปที่ร่างกายของมู่หรงฉี แววตาของนางแหลมคมราวกับใบมีด พลางกวาดสายตาไปที่จงเนี่ยและเหล่าองครักษ์ที่ขึ้นมาบนเวทีเพื่อจับกุมนาง
“ฉีอ๋องถูกคนลอบทำร้าย ชีวิตตกอยู่ในอันตราย ข้าจะดูสิว่ามีผู้ใดกล้าขัดขวางการช่วยชีวิตคนของข้า! ”
ฉีอ๋องถูกคนลอบทำร้าย?
เป็นไปไม่ได้กระมัง?
เหตุใดมองดูไม่เหมือน?
ทุกคนต่างตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้น จงเนี่ยก็ชี้หน้าซูจิ่นซีด้วยดวงตาร้อนผ่าว “อย่าฟังนักต้มตุ๋นผู้นี้พูดจาเหลวไหล เขากำลังแก้ต่างให้กับแผนการสังหารฉีอ๋องของตนเอง องครักษ์จับกุมเดี๋ยวนี้ รีบจับกุมเขา! ”