ในชั่วพริบตา เหล่าองครักษ์ที่เพิ่งถูกสายตาเย็นชาของซูจิ่นซีบังคับให้หยุดฝีเท้าก็เริ่มเดินหน้าอีกครั้ง พวกเขาเดินเข้ามาใกล้ซูจิ่นซีอย่างเชื่องช้า
ซูจิ่นซีลงมือด้วยความรวดเร็วและชำนาญ เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องไม่หยุด
แววตาเฉียบคมดั่งใบมีดของนางมองไปที่จงเนี่ย “นักต้มตุ๋นอย่างข้าพูดจาไร้สาระหรือไม่ ท่านแม่ทัพใหญ่จง ในใจของท่านรู้ดี ไสหัวออกไป! อย่าขัดขวางการช่วยชีวิตคนของข้า”
ในฐานะแม่ทัพใหญ่ที่กุมอำนาจทางการทหารของแคว้นหนานหลี จงเนี่ยไม่เคยถูกทำให้ขายหน้าในที่สาธารณะเช่นนี้ แรกเริ่มเขายังไม่ได้ตอบสนอง รอจนเข้าใจว่าซูจิ่นซีกำลังด่าตนเอง เขาก็เดือดดาลขึ้นมาทันที ทั้งยังโกรธจนลำคอแดงเถือก
จงเนี่ยกระชากเสียงใส่เหล่าองครักษ์ด้วยความโมโห “จับตัวไว้ จับตัวไว้ ยืนเหม่อทำอันใด? อยากตายใช่หรือไม่? ”
ในยามนี้ หลิงเซียวจวิ้นจู่ที่หลงรักมู่หรงฉีมาโดยตลอดก็รีบวิ่งขึ้นมาบนเวทีเช่นกัน นางมองซูจิ่นซีและมู่หรงฉีด้วยใบหน้าขาวซีด
หลิงเซียวจวิ้นจู่ชี้หน้าซูจิ่นซีและพูดว่า “ซูอวิ๋นคาย เจ้าพูดจาไร้สาระอันใด? อยู่ดีๆ พี่ฉีจะถูกคนลอบทำร้ายได้อย่างไร? ”
“พี่ฉี ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? เหตุใดท่านถึงไม่พูดเล่า? ท่านพูดสิ! ท่านเป็นอย่างไร? ซูอวิ๋นคายทำสิ่งใดกับท่านกันแน่? ”
หลิงเซียวจวิ้นจู่เป็นห่วงมู่หรงฉีจริงๆ นางตื่นตระหนกจนน้ำตาไหลพราก ทว่าขณะที่นางกำลังเข้าใกล้มู่หรงฉีและซูจิ่นซี นางก็ถูกสายตาดุดันของซูจิ่นซีบังคับให้หยุด
“จวิ้นจู่ หากพระองค์ก้าวมาข้างหน้าอีกก้าวเดียว พี่ฉีของพระองค์คงหายไปจริงๆ ”
หลิงเซียวจวิ้นจู่หวาดกลัวยิ่งนัก แข้งขาของนางอ่อนแรงจนทรุดตัวลงกับพื้น พลางมองซูจิ่นซีด้วยสายตาอ้อนวอน
“ซูอวิ๋นคาย จวิ้นจู่ขอร้องท่าน ท่านปล่อยพี่ฉีเถิด! ท่านต้องการสิ่งใด จวิ้นจู่จะให้ท่าน ให้ท่านทั้งหมด ขอร้องท่านอย่าทำร้ายพี่ฉี จวิ้นจู่ขอร้องท่าน! ”
หลิงเซียวจวิ้นจู่เข้าใจซูจิ่นซีผิดต่อหน้าทุกคน ทว่าเวลาเป็นสิ่งสำคัญ ตอนนี้การช่วยชีวิตคนสำคัญที่สุด ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ ซูจิ่นซีไม่มีเวลาและโอกาสที่จะอธิบายอันใด
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้จงเนี่ยถือดาบขนาดใหญ่ไว้ในมือ และเดินเข้ามาหานางแล้ว
ผู้อื่นอาจเกรงกลัวซูจิ่นซี เมื่อถูกสายตาราวกับ ‘ไก่ชน’ ของนางข่มขู่ให้ตกใจ ทว่าจงเนี่ยเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ที่กรำศึกและผ่านการต่อสู้นองเลือดมานับไม่ถ้วน เขาไม่เกรงกลัวแน่นอน
จงเนี่ยเดินไปด้านหน้าและวางดาบเล่มใหญ่ในมือไว้บนลำคอของซูจิ่นซี
“เจ้าคนแซ่ซู ข้าขอเตือนเจ้า ปล่อยฉีอ๋องเสีย ไม่เช่นนั้นดาบในมือข้าไม่รู้จักผู้ใด มันไม่สนว่าเจ้าจะเป็นคนโปรดของใคร เพียงตัดทิ้งไปแล้วค่อยว่ากัน”
การช่วยชีวิตคนสำคัญกว่า ซูจิ่นซีจึงไม่สนใจคำพูดของจงเนี่ย
จงเนี่ยเห็นเช่นนั้นพลันขมวดคิ้วมุ่น เขาดันดาบเล่มใหญ่ในมือเข้าไปอีกนิด ทันใดนั้น ใบมีดที่เย็นเฉียบและคมกริบก็บาดลำคอขาวนวลงดงามของซูจิ่นซีจนเป็นบาดแผล เลือดสีแดงสดค่อยๆ ไหลลงมาตามลำคอ ไม่นานนัก ปกเสื้อสีน้ำเงินของนางก็กลายเป็นสีแดง
มู่หรงเฟิงยังคงมีท่าทีราวกับกำลังนั่งดูการแสดงอันน่าตื่นเต้น โดยไม่มีความคิดที่จะหยุดหรือมีส่วนร่วมใดๆ
ทว่าเยี่ยโยวเหยา…
น่าเสียดาย ซูจิ่นซีในยามนี้กำลังจดจ่ออยู่กับการถอนพิษให้มู่หรงฉี จึงไม่ได้สนใจมองไปทางเยี่ยโยวเหยา
หากนางมองสักครั้ง เพียงครั้งเดียว
นางจะพบว่าตอนนี้ ดวงตาดำขลับของเยี่ยโยวเหยาจับจ้องที่นางเพียงผู้เดียว นางเป็นคนเดียวในสายตาเขา
หากมองอย่างละเอียด แววตาที่ไม่อาจคาดเดานั้นเหมือนจะมีทั้งความชื่นชมและความกังวลใจ
จงเนี่ยยังคงเคลื่อนดาบในมือไปด้านหน้า เลือดที่ลำคอของซูจิ่นซีไหลราวกับน้ำพุ หากยังไม่มีผู้ใดออกหน้าขัดขวาง ซูจิ่นซีต้องเสียชีวิตอย่างแน่นอน
แม้มู่หรงฉียังมีสติอยู่ ทว่าเขาถูกพิษจนร่างกายไร้เรี่ยวแรง กระทั่งเคลื่อนไหวดวงตายังทำได้ยาก นับประสาอะไรกับการพูด
ควรทำอย่างไร?
ทำอย่างไร?
มู่หรงฉีทำได้เพียงจ้องมองไปที่ซูจิ่นซี ขณะนั้น เขาหวังว่าซูจิ่นซีจะเป็นสตรีโง่เขลาที่เห็นแก่ตนเองบ้าง คิดถึงตนเองบ้าง
เขามองเลือดสีแดงสดที่ไหลจากลำคอของซูจิ่นซี หัวใจของเขาเจ็บปวดยิ่งกว่าผู้ใด
จิ่นซี อย่าโง่เขลาเลย!
จิ่นซี เจ้าไม่รู้ว่าชีวิตของเจ้าล้ำค่ายิ่งกว่ามู่หรงฉีมากนัก
จิ่นซี หากเจ้าไม่อยู่แล้ว ต่อให้ช่วยชีวิตมู่หรงฉีได้ จะมีประโยชน์อันใด?
จิ่นซี เห็นแก่ตนเองบ้าง
ขณะที่ดาบในมือของจงเนี่ยกรีดลำคอซูจิ่นซีจนลึกถึงกระดูก และในช่วงเวลาที่มู่หรงฉีหมดสติไปเพราะกังวลเรื่องของซูจิ่นซี ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็ผลักดาบในมือจงเนี่ยออกและลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว นางโยนสิ่งที่มีลักษณะคล้ายเมล็ดถั่วสีดำขนาดเล็กไปที่ใบหน้าของจงเนี่ย ซึ่งสิ่งนั้นนางเพิ่งนำออกมาจากร่างของมู่หรงฉีและยังมีเลือดของเขาติดอยู่
ใช่แล้ว โดยไม่มีความลังเล ไม่บอกกล่าว และไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ซูจิ่นซีโยนสิ่งนั้นไปที่ใบหน้าของจงเนี่ย ท่านแม่ทัพใหญ่จงผู้ควบคุมอำนาจทางการทหารของแคว้นหนานหลี
“ใช้วิธีการต่ำช้าเช่นการใช้พิษ ทั้งยังใช้พิษเผ่าเหมียวของแคว้นไหวเจียงอีกด้วย ท่านแม่ทัพใหญ่จง ในฐานะที่ท่านเป็นคนของสำนักโอสถ ท่านไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือ ไม่รู้สึกละอายใจแทนชื่อเสียงของสำนักโอสถสกุลจงบ้างหรือ? ”
จงเนี่ยถูกซูจิ่นซีตำหนิจนตกตะลึง หลังจากรู้สึกตัว เขาก็เช็ดคราบเลือดบนใบหน้าตนเองด้วยท่าทางโกรธเคือง ร่างบอบบางของซูจิ่นซียังคงจ้องเขม็งอยู่เบื้องหน้าเขาด้วยความโกรธ
“ต่อให้ตัวท่านไม่รู้สึกละอายใจ ทว่าในฐานะสหาย ข้ากลับรู้สึกขยะแขยงกับการกระทำอันไร้ยางอายของท่าน”
ซูจิ่นซีพูดพลางถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างรุนแรง
จงเนี่ยจ้องซูจิ่นซี พลางชี้นิ้วไปที่จมูกของนาง “เจ้า… เจ้าพูดจาไร้สาระอันใด? วางยาพิษอันใด แคว้นไหวเจียงอันใด? เจ้ามันนักต้มตุ๋น อย่าได้พูดจาเหลวไหล”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอย่างประชดประชัน และตบไปที่มือของจงเนี่ย “อย่าชี้นิ้วมาที่ข้า ต่อให้ชี้อีกกี่ครั้ง ก็ไม่สามารถปกปิดความผิดและความประหม่าภายในใจของท่านได้”
ซูจิ่นซีกำลังโจมตีทางจิตใจ
จงเนี่ยตกตะลึงจนพูดไม่ออก
อย่างไรก็ตาม อย่าคิดว่าซูจิ่นซีจะปล่อยจงเนี่ยไปง่ายๆ
บัญชี ‘เลือด’ ของนาง ต้องชดใช้ให้หมด
เขาทำให้นางได้เลือดและเกือบเอาชีวิตไม่รอด บัญชีแค้นนี้ นางต้องทวงคืนจากจงเนี่ย
นอกจากนั้น แม้มู่หรงฉีจะต่อสู้ไปได้ครึ่งหนึ่ง ทว่าการแข่งขันครั้งต่อไป เขาไม่อาจเข้าร่วมได้แล้ว อย่างไรก็ตาม วันนี้พวกเขาต้องเอาชนะและชิงดอกไม้ปีศาจมาให้ได้ ดังนั้นการแข่งขันต้องดำเนินต่อไป นางจำเป็นต้องเข้าประลองแทนมู่หรงฉี
ซูจิ่นซีกระชับเข็มขัด โรยผงยาลงบนบาดแผลที่ลำคอ และจัดการบาดแผลชั่วครู่
การกระทำของนางเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เคลื่อนไหวอย่างเชี่ยวชาญ ราบรื่นดั่งเมฆและสายน้ำที่ไหลริน ไม่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่านางตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรองแม้แต่น้อย
จากนั้น ซูจิ่นซีก็หยิบสิ่งที่มีขนาดเท่าเมล็ดถั่วสีดำ ทั้งยังเปื้อนเลือดขึ้นมาจากพื้น และยื่นไปให้มู่หรงเฟิงดู
“เมื่อครู่ ขณะที่กระหม่อมนำสิ่งนี้ออกมาจากร่างกายของฉีอ๋อง ทุกท่านล้วนเห็นแล้ว สำหรับเรื่องที่ว่าของสิ่งนี้มีพิษหรือไม่ เป็นพิษของแคว้นไหวเจียงหรือไม่ เป็นฝีมือของท่านแม่ทัพใหญ่จงหรือไม่ อาศัยคำพูดของกระหม่อมเพียงผู้เดียวคงไม่มีน้ำหนักเพียงพอ มหาอุปราชโปรดตรวจสอบและเปิดเผยความจริงด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงเฟิงมองด้วยแววตาเกียจคร้าน เขาส่งสัญญาณให้คนที่อยู่ด้านข้างรับมาดู
“ข้าต้องตรวจสอบเรื่องนี้อย่างแน่นอน การลอบสังหารท่านอ๋องไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ไม่ว่าฆาตกรเป็นผู้ใด ข้าย่อมไม่ละเว้น”
คำพูดของมู่หรงเฟิงดูเหมือนจะมีความหมายลึกซึ้งแอบแฝง น่าเสียดายที่ซูจิ่นซีไม่สนใจคาดเดา
เรื่องบางเรื่องขึ้นอยู่กับฐานะของเจ้า
ต่อให้เจ้าพูดจนปากเปียกปากแฉะ ทว่าฐานะของเจ้าต่ำต้อย ย่อมมีเพียงไม่กี่คนที่เชื่อในคำพูด ตัวอย่างเช่น ซูจิ่นซี
ทว่าบางคนสามารถพูดกลับดำให้เป็นขาว กลับขาวให้เป็นดำได้ ฐานะที่สูงส่งของเขา ผู้อื่นไม่เพียงเห็นด้วยเท่านั้น ทว่ายังส่งเสริมอีกด้วย เจ้าพูดได้ถูกต้อง ถั่วเป็นสี่เหลี่ยม น้ำตาลหวาน ตัวอย่างเช่น จงเนี่ย มู่หรงเฟิง เป็นต้น
ดังนั้นในยามนี้ การใช้กำลังปกป้องศักดิ์ศรีและใช้กำลังพิสูจน์ทุกอย่าง จึงเป็นวิถีแห่งราชา
ซูจิ่นซีก้มลงไปหยิบกระบี่ยาวของมู่หรงฉีและยืดตัวขึ้นอย่างเชื่องช้า พลางชี้ปลายกระบี่ไปทางจงเนี่ยที่ยังมีท่าทีเดือดดาล
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ยกดาบในมือของท่านขึ้นเถิด! ในเมื่อท่านกระทำบางอย่างลงไป ท่านก็ต้องรับผลที่ตามมา”