มู่หรงฉีถูกคนหามลงจากเวทีประลองแล้ว หลิงเซียวจวิ้นจู่ที่มีท่าทีโศกเศร้าจึงลงเวทีตามไปด้วย
เหล่าองครักษ์ที่ก่อนหน้านี้มีท่าทีดุดัน ตอนนี้ไม่กล้าเคลื่อนไหวอันใด
ซูจิ่นซีชี้กระบี่ในมือไปยังเบื้องหน้าจงเนี่ย แม้ร่างกายของนางจะบอบบาง ทว่ามองแล้วไม่มีท่าทีอ่อนแอแม้แต่น้อย ทั้งไม่มีท่าทีหวาดกลัว ดวงตาของนางคมกริบและมุ่งมั่น ทำให้ผู้อื่นไม่อาจมองข้าม
จงเนี่ยมองซูจิ่นซีที่เป็นเช่นนั้น ภายในใจเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาชั่วครู่ ทว่าเพียงครู่เดียวเท่านั้น จากนั้นเขาก็กวาดสายตามองซูจิ่นซีอย่างเย็นชา
“ข้าจะไม่ลงมือกับผู้ที่ไม่มีวรยุทธ์”
ซูจิ่นซีไม่รู้วรยุทธ์ ทว่านั่นเป็นเรื่องในอดีต
เนื่องจากนางได้พลังภายในกลับคืนมาแล้ว ทว่ายังใช้งานได้ไม่คล่องแคล่วดั่งใจหวัง และพลังภายในของนางยังไม่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกาย ดังนั้นการเคลื่อนไหวและจังหวะก้าวเดินจึงเบาเหมือนคนปกติทั่วไป เป็นเรื่องธรรมดาที่จงเนี่ยไม่ทันสังเกตเห็น
“ใช่หรือ? ” ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย นางยกกระบี่และเหาะเข้าหาจงเนี่ยก่อน กระบวนท่านี้หมายเอาชีวิต
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ รวมถึงจงเนี่ย พลันตกตะลึง
คนแซ่ซูผู้นี้ รู้วรยุทธ์ได้อย่างไร?
ร่างกายบอบบางเช่นนี้ ไม่เหมือนผู้ที่เป็นวรยุทธ์เลย
ยิ่งไปกว่านั้น แก่นกระดูกของซูจิ่นซี จงเนี่ยก็เป็นคนตรวจสอบด้วยตนเอง เขายืนยันได้ว่านางไม่รู้วรยุทธ์แน่นอน ดังนั้นเขาจึงคัดชื่อของซูจิ่นซีออกจากรายชื่อบุคคลที่สังหารบุตรชายของเขา
ทว่าบัดนี้เกิดอันใดขึ้น?
จงเนี่ยตกตะลึงชั่วครู่ ทั้งยังเสียเวลาครุ่นคิดไปมาก ทำให้ยกดาบขึ้นมาตั้งรับกระบวนท่าของซูจิ่นซีช้าไปเล็กน้อย จึงถูกพลังภายในที่แข็งแกร่งของซูจิ่นซีบีบให้ถอยหลังไปหลายก้าว
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ออมมือแล้ว! ”
ซูจิ่นซีเคลื่อนไหวได้อย่างสง่างาม นางไขว้กระบี่ในมือไว้ด้านหลัง และเหาะลงมายืนเบื้องหน้าจงเนี่ยอย่างมั่นคง
จงเนี่ยกระตุกริมฝีปากอย่างแรง ดวงตาของเขาแดงก่ำ ทั้งยังขมวดคิ้วมุ่น พยายามอดกลั้นต่อความเดือดดาลภายในใจ
“เกรงใจแล้ว ข้าใช้พลังภายในเพียงห้าส่วนเท่านั้น”
ซูจิ่นซีเลิกคิ้วเล็กน้อย “ใช่หรือ? เช่นนั้น ท่านแม่ทัพใหญ่ก็เกรงใจเกินไปแล้ว ความจริงท่านไม่จำเป็นต้องออมมือให้ข้า ท่านสามารถใช้พลังภายในทั้งหมดรับมือข้า เพราะว่า… กระบวนท่าเมื่อครู่ ข้าใช้พลังภายในไปเพียงสามส่วนเท่านั้น”
จงเนี่ยเดือดดาลจนแทบกระอักเลือด มุมปากกระตุกอย่างรุนแรง จากนั้นจึงยกดาบในมือพุ่งเข้าโจมตีซูจิ่นซีด้วยความดุดัน
ซูจิ่นซีไม่กล้าประมาทหรือชักช้า นางรวบรวมสมาธิเพื่อป้องกัน
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพลังภายในของซูจิ่นซีแข็งแกร่งเพียงใด กระทั่งนางเองยังคาดไม่ถึง
แต่ถึงกระนั้น ซูจิ่นซียังขาดประสบการณ์และยุทธวิธีในการต่อสู้ นี่คือจุดอ่อนของนาง ยิ่งการต่อสู้ยืดเยื้อมากเท่าไร ก็ยิ่งเปิดเผยให้เห็นจุดอ่อน ทำให้อันตรายมากขึ้น ดังนั้นนางต้องหาวิธีต่อสู้ให้รู้ผลแพ้ชนะโดยเร็ว
สิบกระบวนท่าผ่านไป แม้ไม่สามารถเอาชนะจงเนี่ยได้ ทว่าซูจิ่นซีก็ไม่ตกเป็นรอง
จงเนี่ยเหาะขึ้นไปยืนอยู่บนขอบรั้วทางทิศใต้ของเวทีประลอง พลางกระชากเสียงเย็นชา “เจ้าเรียนรู้กระบวนท่าจากข้านี่เอง อาจารย์ของเจ้าสอนเพียงพลังภายใน ไม่ได้สอนกระบวนท่าให้เจ้าหรือ? ”
ซูจิ่นซีเหาะขึ้นไปยืนประจันหน้ากับจงเนี่ย แววตาของนางเปล่งประกาย จากนั้นจึงใช้นิ้วเช็ดกระบี่ยาวในมืออย่างเชื่องช้า ท่วงท่าผ่อนคลายราวกับกำลังชื่นชมทัศนียภาพอันงดงาม
“ข้าจะใช้กระบวนท่าที่อาจารย์สอนสั่งมาทำลายชื่อเสียงของท่านได้อย่างไร? รับมือกับท่านแม่ทัพใหญ่ ใช้เพียงกระบวนท่าที่ท่านใช้ประจำก็พอแล้ว”
“หึ! วาจาสามหาว… ”
จงเนี่ยยังไม่ทันพูดจบประโยค กระบี่ยาวในมือของซูจิ่นซีและการเคลื่อนไหวที่ยากคาดเดาก็พุ่งเข้ามาหาเขาแล้ว
จงเนี่ยจำเป็นต้องรวบรวมพลังขึ้นป้องกัน
แม้ซูจิ่นซีจะออกกระบวนท่าตามที่ได้เรียนรู้มาจากจงเนี่ย ทว่านางกลับเปลี่ยนแปลงหักมุมได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งลำดับของกระบวนท่ายังแปลกประหลาดยากคาดเดา ทำให้ผู้ที่รับมือสูญเสียพลังไปพอสมควร
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ซูจิ่นซีสามารถประลองฝีมือได้ทัดเทียมกับท่านแม่ทัพใหญ่ ผู้ที่มีชื่อเสียงในราชสำนักแคว้นหนานหลี
จงเนี่ยขมวดคิ้วดุดัน “เด็กน้อย อาจารย์ของเจ้าเป็นผู้ใดกันแน่? หากเจ้ายังไม่ใช้กระบวนท่าของอาจารย์เจ้า การประลองครั้งนี้ คงยากที่จะดำเนินต่อไปได้”
แม้กระบวนท่าของซูจิ่นซีจะแปลกประหลาด ทว่าจงเนี่ยสามารถรับมือได้ทุกครั้ง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ย่อมไม่มีผู้ใดได้เปรียบ ไม่มีทางหาผู้ชนะได้
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย นางมองจงเนี่ยด้วยสายตายั่วยุ “ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านตั้งใจดูให้ดี กระบวนท่าของอาจารย์ข้ากำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ท่านเตรียมรับมือ! ”
หลังสิ้นสุดคำพูด ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็เหาะขึ้นไปกลางอากาศ กระบี่และร่างกายรวมเป็นหนึ่ง หมุนวนไม่หยุด จากนั้นก็พุ่งเข้าโจมตีจงเนี่ย
เดิมที จงเนี่ยควรตั้งรับกระบวนท่านี้ของซูจิ่นซี ทว่าพลังภายในที่กระจายอยู่รอบตัวนางแข็งแกร่งมาก เขาจึงไม่สามารถรับกระบวนท่านี้ได้ ทำได้เพียงหลบออกไปเท่านั้น
ทว่า ด้านหลังของเขามีทางให้หลบที่ใดกัน?
หากหลบอีกก็คงต้องออกนอกเวทีประลอง
ภายใต้สถานการณ์บีบคั้น จงเนี่ยทำได้เพียงใช้วิชาตัวเบาเหาะขึ้นไปกลางอากาศเพื่อสร้างข้อได้เปรียบ ทว่ามันกลับเป็นกับดักของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ แม้ร่างกายของนางไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลง ทว่าหลังมือที่กุมกระบี่ยาวกลับเปลี่ยนทิศทาง กระบี่ราวกับมีตา มันพุ่งเข้าที่บั้นเอวด้านหลังของท่านแม่ทัพใหญ่ทันที
เดิมทีจงเนี่ยคิดจะหลบหนี ทว่าเขาอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ ทั้งยังยากต่อการใช้พลังเมื่ออยู่กลางอากาศ ดังนั้นตอนที่ตั้งรับกระบี่ของซูจิ่นซี เขาจึงไม่ได้ใส่ใจสิ่งของแปลกประหลาดบางอย่างที่พุ่งออกมาจากปลายนิ้วของนาง
“อ้าก! ”
ท่ามกลางสายตาของทุกคน จงเนี่ยที่ตั้งรับกระบี่ยาวของซูจิ่นซีพลันส่งเสียงร้อง เลือดสาดกระเซ็นออกมาจากร่างกาย และร่างของเขาก็ค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาจากอากาศดั่งใบไม้ร่วง
ในขณะเดียวกัน เมื่อไม่มีสิ่งใดป้องกันแล้ว กระบี่ยาวที่พุ่งออกจากมือซูจิ่นซีจึงพุ่งเข้าเสียบด้านหลังเอวของจงเนี่ยอย่างรวดเร็วด้วยพลังมหาศาล
ซูจิ่นซีที่หมุนตัวอย่างต่อเนื่องพลันหยุดเคลื่อนไหว และเหาะลงมายืนบนเวทีอย่างมั่นคง นางมองจงเนี่ยที่นอนอยู่บนพื้นด้วยสายตาเย็นชา
เป็น… ไปได้อย่างไร?
ท่านแม่ทัพใหญ่จงเนี่ยผู้ไร้พ่าย ผู้ที่มีวรยุทธ์ล้ำเลิศ และมีชื่อเสียงเป็นดั่งตำนานของแคว้นหนานหลี พ่ายแพ้แล้ว ทั้งยังพ่ายแพ้ให้เด็กไร้ชื่อผู้หนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น ดูจากอาการบาดเจ็บแล้ว อาการของเขาสาหัสมากทีเดียว ผู้ใดก็รู้ว่าตำแหน่งปลายกระดูกสันหลังเป็นจุดอันตรายของผู้ฝึกวรยุทธ์ กระบี่นั้นแทงได้ตรงจุดพอดี เกรงว่าวรยุทธ์ของจงเนี่ยที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ คงไม่มีโอกาสได้สำแดงฤทธิ์เดชอีกต่อไปแล้ว
แม้แต่มู่หรงเฟิงที่เฝ้าดูการแสดงฉากเด็ดด้วยท่าทางเรียบเฉยมาตลอด ยังต้องลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและขมวดคิ้วมุ่น
“รีบไปประคองท่านแม่ทัพใหญ่ลงมาเดี๋ยวนี้! ”
องครักษ์รีบขึ้นไปประคองจงเนี่ยลงมาจากเวทีประลอง หมอหลวงที่เตรียมพร้อมอยู่บริเวณเวทีต่างรีบเข้ามาดูอาการบาดเจ็บของจงเนี่ย
แววตาของจงเนี่ยแดงก่ำ เขามองซูจิ่นซีด้วยสายตาไม่ยอมแพ้ “เจ้า… เจ้าใช้วิธีสกปรก”
ซูจิ่นซียังคงยกยิ้มมุมปากแผ่วเบา “ข้าเล่นสกปรกอันใด? เมื่อเต็มใจจะลงเดิมพัน คิดว่าท่านแม่ทัพใหญ่คงเข้าใจกฎการประลองนี้ดีกระมัง? ”
หอกนั้นคืนสนอง นี่คือวิธีตอบแทนผู้อื่นด้วยวิธีการของเขาเอง
แค้นนี้ ซูจิ่นซีคิดจะจัดการนานแล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาทำให้นางต้องตกที่นั่งลำบาก เพียงแต่ไม่สบโอกาสเท่านั้น