เล่มที่ 17 เล่มที่ 17 ตอนที่ 492 หลิงเซียวจวิ้นจู่เป็นวรยุทธ์

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

จงเนี่ยเจ็บปวดจนเหงื่อท่วมตัว แม้มีความคิดจะจัดการซูจิ่นซีให้ตายคามือ ทว่ายามนี้กลับจนปัญญา ร่างกายไร้เรี่ยวแรง ทำได้เพียงปล่อยให้องครักษ์หามลงจากเวทีประลอง

“ท่านอ๋อง เอ่อ… ”

ท่านแม่ทัพใหญ่จงได้รับบาดเจ็บในงานเทศกาลร้อยบุปผา ทั้งยังเป็นงานเฉลิมฉลองวันพระราชสมภพของมหาอุปราช ไม่เป็นมงคลยิ่งนัก ใต้เท้าจางมองมู่หรงเฟิงด้วยท่าทางลำบากใจ

แววตาของมู่หรงเฟิงนิ่งขรึม เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เอนหลังพิงเก้าอี้และพูดว่า “ท่านหมอซูกล่าวได้ถูกต้อง เมื่อยินดีเข้าร่วมการเดิมพันก็ต้องยอมรับผลแพ้ชนะ ในเมื่อท่านแม่ทัพใหญ่จงแพ้แล้ว เขาต้องเข้าใจเหตุผลนี้ ทำการแข่งขันต่อไป! ”

คิดจะปล่อยเจ้าคนแซ่ซูไปเช่นนั้นหรือ?

ใต้เท้าจางมองซูจิ่นซีอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ทั้งใบหน้ายังแสดงถึงความลำบากใจ

“ทำไม? ใต้เท้าจาง คำพูดของข้าไม่มีอำนาจเท่าท่านแม่ทัพใหญ่จงหรือ? ”

ใต้เท้าจางจะมีความคิดเช่นนั้นได้อย่างไร? เขารีบอธิบาย “กระหม่อมหาได้มีความหมายเช่นนั้น กระหม่อมจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้ ไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”

มู่หรงเฟิงมีท่าทีพึงพอใจ ก่อนจะพูดกับซูจิ่นซีที่อยู่บนเวทีประลองว่า “หากวันนี้ผู้ที่บาดเจ็บเป็นท่านหมอซู ท่านก็คงไม่มีข้อโต้แย้งอันใดและยอมรับในผลแพ้ชนะ ใช่หรือไม่? ”

ซูจิ่นซีไม่รู้ว่ามู่หรงเฟิงคิดอย่างไร นางจึงไม่พูดอันใด ทำเพียงแย้มยิ้มตอบรับ

ใต้เท้าจางเดินขึ้นมาบนเวทีประลอง ก่อนอื่นเขาต้องรีบควบคุมสถานการณ์และทำให้ทุกคนสงบ

“ทุกท่านโปรดอยู่ในความสงบ การประลองระหว่างท่านหมอซูกับท่านแม่ทัพใหญ่จง ท่านหมอซูเป็นผู้ชนะ พวกเรามาดำเนินการแข่งขันกันต่อ มีผู้ใดต้องการขึ้นมาประลองอีกหรือไม่? ”

ผู้ใดจะกล้า!

กระทั่งท่านแม่ทัพใหญ่จงยังได้รับบาดเจ็บ นอกจากนั้น กระบวนท่าที่ซูจิ่นซีใช้ทำร้ายท่านแม่ทัพใหญ่จง ทุกคนล้วนเห็นกับตา ช่างแปลกประหลาดน่ากลัวยิ่งนัก

กระบวนท่าเช่นนั้น ผู้ใดจะรับมือได้?

หากออกไปประลองยามนี้ ก็เท่ากับรนหาที่ตายไม่ใช่หรือ?

ครู่หนึ่ง ด้านล่างเวทีประลองพลันเงียบกริบ

“ในเมื่อไม่มีผู้ใดขึ้นมาประลอง เช่นนั้นการแข่งขันรอบที่หนึ่ง ท่านหมอซูเป็นผู้ชนะ”

ใต้เท้าจางพูดพลางเริ่มนับตัวเลขตัดสิน

“หนึ่ง… ”

“สอง… ”

“สา… ”

เดิมทีการประลองรอบแรก ซูจิ่นซีเป็นฝ่ายชนะอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าขณะที่ใต้เท้าจางกำลังนับเลขสาม คนผู้หนึ่งที่อยู่ด้านล่างเวทีก็ตะโกนขึ้นมาขัดขวาง

หลิงเซียวจวิ้นจู่ที่เป็นห่วงมู่หรงฉี และกำลังดูอาการบาดเจ็บของท่านแม่ทัพใหญ่จงซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆ ของนางพลันลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน “ข้าขอขึ้นประลอง! ”

กระไรนะ?

หลิงเซียวจวิ้นจู่ต้องการขึ้นเวทีประลองเช่นกันหรือ?

นี่มันเกิดอันใดขึ้น?

ไม่ต้องพูดถึงว่าหลิงเซียวจวิ้นจู่เป็นวรยุทธ์หรือไม่ นางเป็นถึงสตรีสูงศักดิ์!

นางเป็นคนที่ฝ่าบาทและท่านมหาอุปราชคัดเลือกให้เข้ามาในวังหลวงเพื่อพระราชทานบรรดาศักดิ์จวิ้นจู่ด้วยพระองค์เอง ฝ่าบาทไม่มีพระธิดา พระองค์ดูแลหลิงเซียวจวิ้นจู่ดั่งพระธิดาแท้ๆ ของพระองค์

นางเป็นถึงจวิ้นจู่ เป็นท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ และเป็นสตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดในแคว้นหนานหลี หากนางถูกทำร้ายหรือเกิดการกระทบกระทั่ง ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในอนาคตจะเป็นเช่นไร?

ใต้เท้าจางตกตะลึง และเป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ เขารีบเดินเข้าไปหาหลิงเซียวจวิ้นจู่ “จวิ้นจู่ พระองค์เห็นหรือไม่ การประลองในวันนี้เป็นการแข่งขันที่ใช้อาวุธจริง ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หากไม่ระวังอาจทำให้โลหิตหลั่งรินได้ หากจวิ้นจู่ให้ความสนพระทัย กระหม่อมจะหาเวลาพาพระองค์ไปล่าสัตว์เพื่อประลองฝีมือ เป็นเช่นไร? ”

ใต้เท้าจางตั้งใจพูดเสียงต่ำเพื่อปกป้องพระเกียรติของหลิงเซียวจวิ้นจู่

ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิด หลิงเซียวจวิ้นจู่กลับผลักใต้เท้าจาง

นางพูดเสียงดังว่า “ผู้ใดต้องการไปล่าสัตว์กับเจ้า คนแซ่ซูลอบทำร้ายพี่ฉี ทั้งยังทำร้ายพี่ชายข้า หากวันนี้ข้าไม่ได้ชำระแค้น ในภายภาคหน้าจะมีเกียรติอยู่ในราชวงศ์ได้อย่างไร? สกุลจงของข้าจะอยู่ในเย่หลินได้อย่างไร? เจ้าหลีกไป! ”

หลิงเซียวจวิ้นจู่พูดพลางเหาะขึ้นไปบนเวทีประลอง เมื่อยืนบนเวทีประลอง นางก็เดินเข้าไปหยิบดาบของจงเนี่ยที่ตกอยู่บนพื้น และชี้ไปที่หน้าของซูจิ่นซี

“เจ้าคนแซ่ซู เข้ามาเถิด! ให้ข้าได้เห็นความร้ายกาจของเจ้า”

หลิงเซียวจวิ้นจู่เป็นวรยุทธ์ด้วยหรือ?

ในเวลานี้ ทุกคนต่างตกตะลึง ไม่ต้องพูดถึงเหล่าคนที่อยู่ในเหตุการณ์ กระทั่งซูจิ่นซีและท่านแม่ทัพใหญ่จงที่ยังมีสติก็ประหลาดใจเช่นกัน

ดูจากวิชาตัวเบาแล้ว ฝีมือของนางไม่ด้อยเช่นกัน

แม้แต่พี่ชายยังไม่รู้ว่าน้องสาวแท้ๆ ของตนเป็นวรยุทธ์ นี่มันเกิดอันใดขึ้น?

ซูจิ่นซีหรี่ตาลงเล็กน้อย พลางมองท่าทางเด็ดเดี่ยวของหลิงเซียวจวิ้นจู่ด้วยแววตาเย็นชา

ซูจิ่นซีคิดไว้แล้วว่าสตรีผู้นี้ไม่ธรรมดา แต่นึกไม่ถึงว่านางจะเปิดเผยตัวตนอย่างรวดเร็วเช่นนี้

เดิมที นางสามารถแสร้งปกปิดตัวตนได้อีกสักระยะ การรีบเปิดเผยตัวตนเช่นนี้ คงไม่ใช่เรื่องดี

แน่นอนว่าสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องดีนั้น ย่อมหมายถึงหลิงเซียวจวิ้นจู่

ภายในใจซูจิ่นซีคิดเช่นไร นางไม่มีทางเปิดเผยความรู้สึกออกมาให้เห็นโดยง่าย

“จวิ้นจู่ แท้จริงแล้ว ระหว่างพระองค์กับกระหม่อมไม่จำเป็นต้องจริงจังเช่นนี้ ก่อนหน้านี้พวกเรายังดีต่อกันอยู่ไม่ใช่หรือ? พวกเรายังไปหอโอสถสกุลจงด้วยกันเพื่อนำสมุนไพรมาให้ฉีอ๋อง”

หลิงเซียวจวิ้นจู่ถือดาบชี้ไปทางซูจิ่นซี

“หยุดพูดเรื่องเก่า ก่อนหน้านี้เป็นข้าเองที่ดูเจ้าผิดไป คบคนไม่เลือก มองไม่เห็นธาตุแท้และความชั่วของเจ้า ตอนนั้นข้ามองเจ้าเป็นคนดี และเห็นว่าเจ้ามีใจช่วยเหลือพี่ฉี ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีกับพี่ฉี ทว่าวันนี้ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะกล้าลอบทำร้ายพี่ฉี เจ้าคนแซ่ซู ตอนนั้นพี่ฉีดีต่อเจ้ามาก เขาให้ที่อยู่และที่พักพิงกับเจ้า ความดีในใจเจ้าหายไปที่ใดแล้ว? ถูกสุนัขกินไปหมดแล้วหรือ? ”

นางต้องการพูดสิ่งใดก็ให้นางพูดออกมาให้หมด ความจริงเป็นเช่นไร ทุกคนที่เห็นต่างเข้าใจได้โดยไม่ต้องใช้ความคิดอันใดมาก อาศัยสติปัญญาของจวิ้นจู่ผู้นี้ ไม่มีทางที่พวกเขาจะมองเหตุการณ์ไม่ออก

อย่างไรก็ตาม หากนางไม่ปรารถนาที่จะเข้าใจ เจ้าจะบังคับขืนใจอันใดนางได้?

ซูจิ่นซียิ้มเยาะที่มุมปาก พลางยกกระบี่ในมือขึ้นและพูดว่า “เชิญจวิ้นจู่! หากต้องการแก้แค้นก็เข้ามาเถิด อย่าชักช้าอยู่เลย ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว”

หลิงเซียวจวิ้นจู่ไม่คิดลังเลอีกต่อไป นางถือดาบพุ่งเข้าจู่โจมซูจิ่นซีทันที

ซูจิ่นซีไม่คาดคิดเลยว่า หลิงเซียวจวิ้นจู่ที่อายุยังน้อย กลับมีกระบวนท่าต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา

ไม่เหมือนจงเนี่ยที่ทุกกระบวนท่าล้วนจริงจัง ตรงไปตรงมา และเด็ดเดี่ยว ทว่ากระบวนท่าของหลิงเซียวจวิ้นจู่… ซูจิ่นซีมองไม่ออกจริงๆ

หากพูดว่าโหดเหี้ยมก็ไม่ใช่ บางครั้งก็ออกกระบวนท่าอย่างตรงไปตรงมา หากกล่าวว่าตรงไปตรงมา บางครั้งก็ใช้กลอุบายโหดเหี้ยม พวกนางประมือกันมากกว่าสิบกระบวนท่า ทั้งสองฝ่ายไม่มีผู้ใดได้เปรียบ

สุดท้าย เมื่อทั้งสองยืนเผชิญหน้ากัน แววตาของหลิงเซียวจวิ้นจู่ก็เผยให้เห็นความเย็นชา

“คนแซ่ซู ที่แท้เจ้าก็ไม่เป็นกระบวนท่าอันใดเลย มีเพียงพลังภายในเท่านั้น ก่อนหน้านี้ พี่ชายข้าพ่ายแพ้ให้เจ้าเพราะประมาทศัตรูเกินไป รวมถึงสับสนในคำพูดยั่วโมโหและกระบวนท่าแปลกประหลาดของเจ้า ทว่าข้าไม่ใช่เขา วันนี้เจ้าต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน”

ไม่นึกว่าสตรีผู้นี้จะมองได้อย่างทะลุปุโปร่ง ทั้งสองประมือกันเพียงไม่กี่กระบวนท่า นางก็สามารถจับจุดอ่อนของซูจิ่นซีได้

อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่มีทางเผยพิรุธ นางแย้มยิ้มพลางมองหลิงเซียวจวิ้นจู่ด้วยแววตาเหยียดหยาม

“ผู้ใดจะแพ้ก็ยังไม่แน่! จวิ้นจู่ เชิญลงมือ! ”

ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม การประลองระหว่างซูจิ่นซีกับหลิงเซียวจวิ้นจู่ ผู้ใดจะชนะยังยากคาดเดา

การต่อสู้ที่ยืดเยื้อเช่นนี้ สำหรับมือใหม่อย่างซูจิ่นซี ไม่นับว่าเป็นเรื่องดี

กระบวนท่าของซูจิ่นซีเริ่มสับสน ไม่เป็นกระบวนท่า ทว่ากระบวนท่าของหลิงเซียวจวิ้นจู่ยังคงมีรูปแบบและทรงพลัง ทำให้นางได้เปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ

ซูจิ่นซีอดรู้สึกกังวลใจไม่ได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่เป็นการณ์ดี ต้องรีบหาวิธีเผด็จศึกอย่างเร่งด่วน