ตอนที่ 1149 คำถามของซูหลี / ตอนที่ 1150 สี่สกุลใหญ่แห่งเมืองหลวง

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 1149 คำถามของซูหลี

 

 

ซูหลีเห็นสีหน้าฉายแววประหลาดใจ จึงยกจอกสุรานั้นขึ้นจิบอึกหนึ่งเป็นคนแรก

 

 

เมื่อของเหลวนั้นไหลผ่านเข้าไปในปาก กลับมีรสชาติหอมหวาน รสชาติยังติดอยู่ที่ลิ้นอยู่

 

 

ที่จริงของสิ่งนี้ก็ไม่ใช่สิ่งอื่น นี่ก็คือเหล้าองุ่นนั่นเอง!

 

 

ซูหลีเป็นคนที่ไม่เฉียดใกล้แอลกอฮอล์ ทว่ากลับเป็นคนที่มีอุปนิสัยไม่เกรงกลัวสิ่งใด ยิ่งไม่สามารถสัมผัสแอลกอฮอล์ได้ นางยิ่งอยากที่จะลิ้มลอง

 

 

ทว่าสุราต่างๆ นานาชนิดในราชวงศ์ต้าโจวนี้ นางล้วนลิ้มลองมาหมดแล้ว

 

 

แต่ก็ยังสู้ไม่ได้ กินแก้วเดียวแล้วล้มอย่างไร ก็ยังกินแก้วเดียวแล้วล้มเช่นเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย

 

 

นางคิดหน้าคิดหลังแล้วก็ยังรู้สึกไม่ยอมแพ้ นี่ถึงได้ฉุกคิดถึงเหล้าองุ่นได้ในศตวรรษที่ 21ออกมาได้ กรรมวิธีในการทำเหล้าองุ่นแดงนั้นยากลำบากมาก กอปรกับนี่ก็นับว่าเป็นสุราอยู่ดี ซูหลีจึงกลัวว่าตนเองจะรับไม่ไหว

 

 

นางคิดหาวิธีหลายต่อหลายวิธี จนสามารถทำสูตรเหล้าองุ่นนี้ออกมาได้ และลองให้ไป๋ฉินบ่มดู

 

 

ของสิ่งนี้ไม่สามารถทำได้ง่ายๆ ไป๋ฉินเสียเวลาในการบ่มเหล้าองุ่นนี้นานอยู่เหมือนกัน จนกระทั่งถึงช่วงก่อนหน้านี้ถึงได้สามารถบ่มออกมาได้เหมาะเจาะ

 

 

และที่ประหลาดเป็นอย่างมากก็คือ ของสิ่งนี้ซูหลียังสามารถดื่มได้จำนวนไม่น้อย มีสุราจำนวนนิดหน่อย แต่กลับไม่ทำให้ไม่รู้สึกมึนเมา

 

 

เปรียบกับสุราผลไม้ที่เหล่าสตรีที่ชอบดื่มแล้ว ยังมีสุราน้อยกว่าหลายส่วน มิหนำซ้ำยังมีรสหอมกลมกล่อมมาก ทำให้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกสบาย ทันทีของสิ่งนี้ออกมา จึงทำให้ซูหลีอารมณ์ดีในทันที

 

 

ล้อเล่นน่า ใครจะไม่อยากดื่มมันในทุกเวลากัน

 

 

มีสิ่งนี้แล้ว นางไม่กลัวว่าตนเองจะขายหน้าอีกแล้ว!

 

 

หลังจากเซี่ยอวี่เสียนเห็นนางดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง จึงยกจอกสุราใบนั้นขึ้นอย่างสงสัย จากนั้นจิบเข้าไปอึกหนึ่ง

 

 

กลิ่นหอมกรุ่นเข้าไปในปาก แต่กลับไม่มีผลภายหลังใดๆ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นของชั้นดี!

 

 

ดวงตาเขาเป็นประกายและรีบถามขึ้น “อาหลีบอกว่าของสิ่งนี้เรียกว่า หลานฮวาเซียงหรือ”

 

 

ซูหลีอมยิ้มแล้วผงกศีรษะ ชื่อที่ไพเราะเพราะพริ้งเช่นนี้ แค่ฟังก็รู้แล้วว่าไม่ใช่นางเป็นคนคิด หลังจากบ่มของสิ่งนี้ได้แล้ว ก็นางอิงตามรูปแบบชื่อเดิม จะเรียกว่าเหล้าองุ่นแล้ว

 

 

เดิมใช้องุ่นในการบ่ม เรียกว่าเหล้าองุ่น นั่นก็คือว่ามีเหตุผลแล้วที่จะใช้ชื่อนี้

 

 

ทว่าไป๋ฉินกับเย่ว์ลั่วนั้นดูถูกนางเป็นอย่างมาก กล่าวว่าหากนางใช้ชื่อนี้ จะทำลายความรู้สึกทางสุนทรียภาพของสิ่งนี้ ทั้งสองคนจึงขบคิดด้วยกันอยู่หลายวัน สุดท้ายจึงได้ชื่อหลานฮวาเซียง[1]นี้ออกมา

 

 

อย่างไรซูหลีก็รู้สึกว่าสู้ชื่อเหล้าองุ่นไม่ได้อยู่ดี…

 

 

ทว่าข้ารับใช้สาวทั้งสองของนางมีความสุข นางก็ตามใจพวกนางก็แล้วกัน!

 

 

“เป็นของชั้นดี มีกลิ่นหอมของสุรา ทว่ากลับไม่มีผลภายหลังของสุรา เมื่อละเลียดดื่มอย่างละเอียดแล้ว กลับมีความน่าสนใจกว่าสุราแรงๆอยู่หลายส่วน ของชั้นดีอา!” เซี่ยอวี่เสียนชมไม่หยุดปาก

 

 

ทันทีที่ซูหลีได้ยิน ก็รู้สึกเบิกบานใจแล้ว นางเลิกคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “ หากพี่เซี่ยชื่นชอบ ตอนกลับไป ข้าจะให้ไป๋ฉินบ่มไว้ให้ท่านสักสามสี่ไห ท่านจะได้เอากลับไปดื่มเล่น!”

 

 

เซี่ยอวี่เสียนได้ยินนางพูดเช่นนี้ จึงไม่เกรงใจนางอีก จากนั้นผงกศีรษะตอบรับ

 

 

ซูหลีเห็นเขาเป็นสหายคนสนิทแล้ว เป็นธรรมดาที่เขาก็เห็นซูหลีเป็นคนของตัว กับคนของตนไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันแล้ว

 

 

แม้เซี่ยอวี่เสียนจะพูดว่าไม่ได้พบซูหลีบ่อยครั้ง ทว่าในบรรดาคนรู้จักทั้งหมด ซูหลีนั้นถือว่าเป็นคนที่เขาคบค้าสมาคมด้วยสบายใจและเป็นอิสระที่สุดคนหนึ่ง

 

 

ทั้งสองคนนั่งอยู่ด้วยกัน ดื่มสุรากินอาหาร บรรยากาศปรองดองเป็นอย่างมาก

 

 

หลังจากกินอาหารไปได้พักใหญ่ ซูหลีก็เห็นเซี่ยอวี่จะวางตะเกียบลงพอดี ในเวลานี้จึงกลอกดวงตาไปรอบหนึ่ง พลันเอ่ยประโยคหนึ่งออกมา

 

 

“พี่เซี่ย ท่านรู้จักสกุลจี้ดีหรือไม่”

 

 

เซี่ยอวี่เสียนได้ยินดังนั้นจึงอดตะลึงค้างไปมิได้ การเคลื่อนในมือพลันหยุดชะงักลงทันที จากนั้นจึงวางตะเกียบลงบนโต๊ะ

 

 

“อาหลีไยจู่ๆ ถึงถามเรื่องสกุลจี้ขึ้นอย่างกะทันหัน” เขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก หรือที่ซูหลีเรียกเขามาที่นี่ในวันนี้ ก็เพื่อจะสอบถามเรื่องของสกุลจี้

 

 

“…เจ้าอาจจะไม่ทราบ ระหว่างข้ากับจี้เหิงหราน มีบางเรื่องที่ไม่เบิกบานใจกันสักเท่าไร” ดวงตาของซูหลีทอประกายออกมาครู่หนึ่ง

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 1150 สี่สกุลใหญ่แห่งเมืองหลวง

 

 

นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางเจตนาปิดบัง เซี่ยอวี่เสียนเป็นคนที่นางสามารถเชื่อใจได้

 

 

เพียงแต่พูดเรื่องระหว่างสกุลจี้กับนางแล้ว ถือเป็นเรื่องที่ซับซ้อนอย่างแท้จริง ภายในนั้นยังมีเรื่องการเกิดใหม่ของนาง เรื่องของฉินมู่ปิง ทั้งยังมีเรื่องของกำลังทหารแต่ละฝ่ายผสมปนเปกันอยู่

 

 

จะให้อธิบายก็คงจะยากลำบากเกินไป ซูหลีจึงใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างแทน

 

 

เรื่องที่นางกับจี้เหิงหรานไม่ถูกกัน นี่ก็ไม่ใช่ความลับอะไร

 

 

“ฝ่าบาทเสด็จออกจากเมืองหลวงในครานี้ ผู้ติดตามข้างพระวรกายที่สำคัญที่สุดก็คือจี้เหิงหราน ข้ากับเขาไม่ถูกกันนัก แต่ข้ากลับไม่รู้เข้าใจเรื่องในสกุลของเขากับเรื่องของเขาเท่าไรนัก เพื่อหลีกเลี่ยงจุดบอดบางจุด ข้าจึงไปหาท่าน ต้องการจะถามท่านว่ารับรู้เรื่องเหล่านี้อย่างปรุโปร่งหรือไม่”

 

 

เซี่ยอวี่เสียนฟังแล้ว จึงผงกศีรษะไปมา

 

 

เขาไม่ตริตรองอะไร เพียงเอ่ยว่า “สกุลจี้เป็นญาติทางฝ่ายหญิงตั้งแต่สมัยที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังทรงมีชีวิตอยู่แล้ว ทว่าคนสกุลจี้ลดน้อยลงเรื่อยๆ จึงเปรียบเทียบกับสกุลอื่นๆมิได้ เดิมคนในเมืองหลวงล้วนรู้สึกสี่สกุลใหญ่ดี ทว่ากลับไม่รู้จักสกุลจี้ จี้เก๋อเหล่านั้นเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนคนหนึ่ง”

 

 

“สี่สกุลใหญ่?” ดูเหมือนซูหลีจะลากเข้าบทสนทนานี้โดยบังเอิญ

 

 

“อ้อ เรื่องนี้ เจ้าเข้ามาในราชสำนักยังไม่นาน เกรงว่าคงจะไม่รู้กระมัง!” เซี่ยอวี่เสียนเห็นท่าทีของนางแล้ว จึงเอ่ยขึ้นด้วยความเข้าใจ

 

 

ซูหลีผงกศีรษะเบาๆ

 

 

“สี่สกุลใหญ่เป็นเรื่องตั้งแต่สมัยฮ่องเต้องค์ก่อนยังทรงมีชีวิตอยู่ สี่สกุลใหญ่ที่ว่านี้ก็คือ สกุลป๋ายของป๋ายใต้ซือ สกุลเซียวของเซียวเก๋อเหล่า สกุลเซี่ยของบิดาและท่านปู่ของข้า ทั้งยังมี…”

 

 

เซี่ยอวี่เสียนพูดถึงตรงนี้พลันหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เขามองซูหลีปราดหนึ่ง ครั้นเห็นดวงตาใสแจ๋วของซูหลีจึงเอ่ยต่อว่า

 

 

“หัวหน้าคณะเสนาบดีอาวุโสคนก่อน สกุลหลี่ของหลี่เก๋อเหล่า”

 

 

“ทั้งสี่สกุลใหญ่ ทั้งยังเป็นขุนนางที่มีตำแหน่งและอำนาจสูงสุดอีกด้วย โดยเฉพาะสกุลก่อน ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะเสนาบดีอาวุโสในอดีต ในราชสมัยของฮ่องเต้องค์ก่อน ผู้คนแห่เข้าหาอย่างคับคั่ง สูงศักดิ์เป็นอย่างมาก!”

 

 

ซูหลีได้ยินเขาพูดถึงสกุลหลี่ อารมณ์ที่แสดงบนใบหน้าจึงเย็นชาวูบหนึ่ง

 

 

เพียงแต่ทั้งสองคนนั่งอยู่ค่อนข้างจะห่างกัน เซี่ยอวี่เสียนจึงไม่เหมือนสังเกตเห็น

 

 

“เพียงแต่น่าเสียดายที่หลังจากเกิดเรื่องขึ้นกับสกุลหลี่ สี่สกุลใหญ่จึงเหลือเพียงแค่สามสกุลใหญ่ สกุลจี้ลดตำแหน่งมาอยู่ในสกุลสี่ใหญ่โดยตลอด ทว่าเมื่อไม่มีสกุลหลี่แล้ว ก็ไม่ได้นำสกุลจี้มาปิดช่องว่างนี้”

 

 

“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้เล่า จะพูดไปแล้วจี้เก๋อเหล่า ยังมีไทเฮาเหนียงเหนียง ทั้งสองล้วนเป็นคนสกุลจี้ ตำแหน่งของสกุลจี้ต้องไปต่ำกว่าสกุลเหล่านั้นถึงจะถูก!” ซูหลีชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นถึงเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย

 

 

“มีเรื่องที่อาหลีไม่รู้ แม้สกุลจี้จะให้กำเนิดผู้สูงศักดิ์ออกมาหลายคน ทว่าคนเก่งกาจของสกุลจี้โรยราไปหมดแล้ว ตอนที่บิดาของจี้เหิงหรานยังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นคนไม่มีน้ำยา จากนั้นไม่นานก็ตายจากโลกนี้ไป จึงเหลือเพียงจี้เหิงหรานแค่คนเดียว”

 

 

“ถึงอย่างไรจี้เก๋อเหล่าก็อายุมากแล้ว ยามเขาอยู่ในราชสำนักก็เพียงรู้จักเอาตัวรอดมาโดยตลอด ไม่เข้าร่วมเรื่องอันใดทั้งสิ้น พูดว่าเป็นเก๋อเหล่า ที่จริงแล้วเป็นเพียงการแขวนตำแหน่งให้เท่านั้น ในคณะเสนาบดีอาวุโส ตำแหน่งของจี้เก๋อเหล่าก็ยังสู้บัณฑิตผู้น้อยคนหนึ่งมิได้ด้วยซ้ำ!”

 

 

นี่เป็นเรื่องที่ซูหลีไม่เคยรับรู้มาก่อน!

 

 

“แม้ไทเฮาเหนียงเหนียงจะทรงมีศักดิ์เป็นถึงพระชนนีของฮ่องเต้ ทว่าตั้งแต่อดีตคนในวังหลังมิอาจเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องราชการแผ่นดินได้ ดังนั้นตำแหน่งของสกุลจี้จึงเทียบกับอีกสามสกุลไม่ได้มาโดยตลอด”

 

 

น้ำเสียงขณะพูดของเซี่ยอวี่เสียนนั้นแจ่มใสเป็นอย่างมาก อีกทั้งขณะที่พูดถึงครอบครัวของเขา นั่นก็คือสกุลเซี่ยก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา ไม่หยิ่งผยองและไม่คิดว่าตนเป็นคนถูกเสมอ ฟังแล้วทำให้คนรู้สึกสบายเป็นอย่างมาก

 

 

แม้แต่จังหวะในการพูดยังไม่ช้าหรือเร็วเกินไป ทำให้ซูหลีได้ยินอย่างชัดเจนมาก

 

 

นั่นก็แสดงว่า แท้จริงแล้วสกุลจี้มีเพียงแค่ชื่อเสียงน่าฟังเท่านั้น?

 

 

ในความเป็นจริงแล้ว ความสามารถด้านต่างๆก็ยังสู้สกุลขุนนางธรรมดามิได้!

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] หลานฮวาเซียง หมายถึงกลิ่นหอมของกล้วยไม้