ตอนที่ 1151 เรื่องของสกุลจี้ / ตอนที่ 1152 ไทเฮาเป็นแม่สื่อ

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 1151 เรื่องของสกุลจี้

 

 

“หลายปีมานี้สกุลจี้ไม่คิดอยากจะก้าวหน้าขึ้นบ้างเลยหรือ เอาอย่างสกุลสูงศักดิ์อื่นบ้างได้หรือไม่?” ซูหลีชะงักไปวูบหนึ่ง จากนั้นก็ถามประโยคนี้ออกมา

 

 

เซี่ยอวี่เสียนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ชำเลืองมาทางนางปราดหนึ่ง ผ่านไปพักหนึ่งจึงเอ่ยต่อ

 

 

“ก็ไม่ใช่ว่าไม่คิด เพียงแต่สกุลจี้นั้นแตกต่างกับสกุลอื่นๆ ขึ้นชื่อว่าเป็นพระญาติทางฝั่งไทเฮา กระทำเรื่องอะไรล้วนทำให้คนคาดคะเนอยู่หลายส่วน กอปรกับจี้เก๋อเหล่าที่ไม่มีใจฝักใฝ่ในเรื่องราชการแผ่นดิน จึงทำให้ก้าวหน้าอย่างเชื่องช้า”

 

 

“จนกระทั่งถึงรุ่นของจี้เหิงหราน ถึงได้ดีขึ้นมาบ้าง ทว่าก็มีเพียงจี้เหิงหรานคนเดียวเท่านั้น”

 

 

ซูหลีได้ยินดังนี้ จึงอดที่จะหรี่ตาลงเล็กน้อยไม่ได้

 

 

หากเรื่องของสกุลจี้เป็นเช่นนั้นจริง จะว่าไปแล้วก็ไม่มีทางมีข้อพิพาทอะไรกับสกุลหลี่ได้!

 

 

สกุลจี้นั้นไม่มีใจฝักใฝ่เรื่องราชการแผ่นดิน ซึ่งนั่นแน่นอนว่าแตกต่างกับสกุลป๋าย สกุลเซียวโดยสิ้นเชิง ไยถึงได้ลงมือกับสกุลอันดับหนึ่งอย่างสกุลหลี่ในอดีตกัน

 

 

นี่ไม่สมเหตุสมผลโดยแท้!

 

 

ซูหลีครุ่นคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ จึงถามออกมาอย่างตรงไปตรงมาว่า “ตลอดหลายปีมานี้สกุลจี้เป็นคมในฝัก เช่นนั้นก็หมายความว่าคงจะไม่มีศัตรูอะไรกระมัง!”

 

 

ทันทีที่พูดจบ เซี่ยอวี่เสียนก็ผงะไปวูบหนึ่ง ที่สำคัญก็คือซูหลีถามตรงประเด็นเกินไปแล้ว

 

 

นางพูดว่าตนเองกับสกุลจี้ไม่ค่อยถูกกันนัก เวลานี้กลับถามเรื่องศัตรูของสกุลจี้ นี่…จะแสดงออกมาชัดเจนเกินไปแล้วจริงๆ

 

 

”พี่เซี่ย ข้าไม่ได้มีความหมายอื่น คนอย่างข้า ท่านยังทราบหรือ แท้จริงแล้วไม่ว่าจะสกุลป๋ายหรือสกุลเซียว ล้วนเป็นเพราะพวกเขายั่วโมโหข้าก่อน ข้าเพียงต้องรับรู้สถานการณ์ของสกุลจี้ก็เท่านั้น”

 

 

ซูหลีมองเขาปราดหนึ่ง ทั้งยังเข้าใจความคิดในใจของเขาดี

 

 

ในเวลาตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางดูแล้วเหมือนคนที่กระหายในอำนาจขนาดนั้นหรือ

 

 

ต้องการโค่นล้มสกุลๆหนึ่ง ทั้งยังหมายจะลงมือกับอีกสกุลหนึ่ง หากทำได้ง่ายดายขนาดนั้นจริง เกรงว่าใต้หล้าคงต้องเปลี่ยนเจ้าของแล้ว เปลี่ยนเป็นใต้หล้าของซูหลีเสียแล้ว!

 

 

“…ข้าก็ไม่ได้มีความหมายอื่น ตัวข้านั้นเชื่อมั่นในการปฏิบัติตนของอาหลี่” เซี่ยอวี่เสียนเห็นนางอธิบายกับตนด้วยท่าทางเคร่งขรึมอยู่หลายประโยค จึงอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มที่มุมปาก

 

 

“หากพูดถึงศัตรูของสกุลจี้ ไม่เพียงแค่ไม่กี่คนจริงๆ ข้านั้นเหมือนจะเคยได้ยินท่านพ่อเอ่ยว่า เพราะสกุลจี้ไม่มีใจฝักใฝ่เรื่องราชการแผ่นดิน ดังนั้นจึงมีความสัมพันธ์อันดีกับคนจำนวนมาก และไม่มีคนที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับสกุลจี้…”

 

 

พูดถึงตรงนี้ เขาก็เหมือนกับจะฉุกคิดอะไรบางอย่างไร จึงหยุดพูดทันที

 

 

“ทำไมหรือ พี่เซี่ยฉุกคิดถึงอะไรบางอย่างไรได้หรือ” ซูหลีเห็นดังนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอีกประโยค

 

 

เซี่ยอวี่เสียนดึงสติกลับมา มองที่นางปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เมื่อพูดเช่นนี้ ข้าก็ฉุกคิดถึงคนคนหนึ่งได้ ทว่าคนผู้นั้นมิได้มีชีวิตอยู่แล้ว!”

 

 

ทันทีที่ซูหลีได้ยินคำว่า ‘มิได้มีชีวิตอยู่’ ดวงตาพลันเข้มขึ้นวูบหนึ่ง นางรีบเอ่ยว่า

 

 

“เป็นใครหรือ”

 

 

เซี่ยอวี่เสียนมองนางปราดหนึ่ง เรื่องนี้บอกนางไปก็ไม่เห็นเป็นไร คนผู้นั้นก็ไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว มีบางสิ่งก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอย่างมิดชิดเป็นธรรมดา

 

 

“นั่นก็คือสกุลหลี่ สกุลอันดับหนึ่งในสี่สกุลใหญ่ในอดีต!”

 

 

ทันทีที่ซูหลีได้ยินคำพูดประโยคนี้ อารมณ์บนใบหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

 

 

สกุลจี้กับสกุลหลี่มีช่องว่างระหว่างกันหรือ?

 

 

เรื่องนี้ ไยนางถึงไม่ทราบสักนิดเลยเล่า!

 

 

“ระหว่างสกุลจี้กับสกุลหลี่จะมีความสัมพันธ์ไม่ดีกันได้อย่างไร” หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ซูหลีถึงถามด้วยเสียงแผ่วเบา

 

 

ในน้ำเสียงของนางมีความหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก เซี่ยอวี่เสียนมองนางปราดหนึ่ง ขมวดคิ้วเป็นปมแล้วเอ่ยว่า

 

 

“หากให้พูดถึงรายละเอียด ข้าก็ไม่ทราบอย่างชัดเจนนัก ทว่าแต่ก่อนข้าเคยได้ยินท่านพ่อกล่าวว่า สกุลหลี่กับสกุลจี้ไม่ถูกกันเป็นอย่างมาก แทบจะไม่เคยไปมาหาสู่กัน มิหนำซ้ำต่างฝ่ายต่างเกลียดชังกัน!”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 1152 ไทเฮาเป็นแม่สื่อ

 

 

ต่างฝ่ายต่างเกลียดชังกัน!

 

 

ดวงตาของซูหลีสั่นไหวอย่างรุนแรง เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร

 

 

เรื่องเหล่านี้ นางไม่เคยได้ยินจากหลี่รุ่ยอิงมาก่อน

 

 

อย่างไรก็ตามในปีนั้นเป็นเพราะร่างกายนางไม่แข็งแรง ดังนั้นหลี่รุ่ยอิงจึงไม่ยินยอมนำเรื่องวุ่นวายต่างๆมาทำให้นางว้าวุ่นใจ

 

 

แม้ทราบว่านางเป็นบุตรีที่เฉลียวฉลาดเป็นอย่างยิ่งคนหนึ่ง ทว่าในใจของบิดาที่รักบุตรี เพียงต้องการให้นางเติบโตอย่างปลอดภัยและมีความสุข ไม่ถูกเรื่องอะไรรบกวนใจทั้งสิ้น

 

 

ในดวงตาของซูหลีเคร่งขรึมเกินจะเปรียบ เมื่อคิดถึงเรื่องในอดีต ในใจก็รู้สึกหน่วงๆ

 

 

“ความสัมพันธ์ระหว่างหลี่เก๋อเหล่ากับจี้เก๋อเหล่านั้นย่ำแย่มาก ได้ยินว่า แม้จี้เก๋อเหล่าจะไม่ถามเรื่องทางโลก ทว่าเขาไม่ชื่นชอบหลี่เก๋อเหล่าเป็นอย่างมาก ขอเพียงแค่หลี่เก๋อเหล่าเอ่ยอะไรขึ้นมา จี้เก๋อเหล่าก็จะคัดค้านหนึ่งคำรบ เพียงแต่…”

 

 

เซี่ยอวี่เสียนชะงักไปและไม่เอ่ยอะไรต่อ

 

 

เพียงแต่คัดค้านก็คือคัดค้าน ทว่าไม่เกิดผลอะไรก็เท่านั้น!

 

 

ถึงอย่างไรจี้เก๋อเหล่าคนนั้นก็ไม่มีอำนาจที่แท้จริงใดๆบนราชสำนัก เมื่อเปรียบเทียบกับหลี่เก๋อเหล่าซึ่งเป็นหัวหน้าคณะเสนาบดีอาวุโสแล้ว ก็ชั่งน้ำหนักได้ว่าใครสำคัญกว่ากัน เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนทราบดี

 

 

อารมณ์ที่แสดงออกบนใบหน้าของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูขึ้นมาทันใด

 

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง!” ผ่านไปครู่หนึ่งนางถึงได้หาเสียงของตัวเองเจอ และผงกศีรษะขึ้นลง

 

 

“สกุลจี้นั้นไม่เหมือนกับคนอื่นๆ อาหลีหากสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบกับใต้เท้าจี้ได้ ทางที่ดีที่สุดก็อย่าเกิดความขัดแย้งอะไรกับเขาเลย เจ้ากับใต้เท้าจี้ล้วนเป็นคนข้างพระวรกายของฝ่าบาท หากความสัมพันธ์ของพวกเจ้าทั้งสองไม่ดี เกรงว่าทางด้านฝ่าบาทก็คงไม่มีความสุขนัก”

 

 

เซี่ยอวี่เสียนเห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง จึงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ถึงอย่างไรเขาต้องพูดโน้มน้าวนางหนึ่งคำรบ

 

 

ซูหลีจึงสติกลับมายกมุมปากขึ้น ผงกศีรษะให้กับเขา

 

 

เซี่ยอวี่เสียนผู้นี้เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมมาก แท้จริงแล้วเขารู้เรื่องเยอะมาก ทว่าไม่เคยนำเรื่องเหล่านั้นมาซักไซ้ถามนางจนถึงที่สุด มิหนำซ้ำกลับเป็นห่วงนางด้วยความบริสุทธิ์ใจ

 

 

“พี่เซี่ยวางใจเถิด ข้าก็แค่สงสัยแปลกใจ ถึงได้ถามออกมาก็เท่านั้น” ซูหลีซ่อนเร้นความสับสนในใจของตน แล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

 

 

รายละเอียดลึกๆของเรื่องนี้ เกรงว่าเซี่ยอวี่เสียนคงไม่ทราบเช่นกัน

 

 

แท้จริงแล้วเพราะเหตุใดจึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสกุลจี้กับสกุลหลี่ไม่ดี นางจำเป็นต้องตรวจสอบด้วยตัวเอง

 

 

สิ่งที่เซี่ยอวี่เสียนบอกนางในวันนี้ถือว่ามากพอแล้ว

 

 

“ไม่พูดถึงเรื่องเหล่านี้แล้ว พี่เซี่ย มาเถิด ดื่มสุรา…”

 

 

“ดื่มสุรากับไม่เรียกเปิ่นซื่อจื่อ ซูหลี เจ้านี่มันไม่มีน้ำใจไปหน่อยแล้วกระมัง” คำพูดของซูหลีเพิ่งจะพูดจบ ก็ได้ยินเสียงของพ่อพวงมาลัยดังขึ้น

 

 

นางวางจอกสุราในมือลง มองไปโดยรอบก็พบกับฉินมู่ปิงคนนั้นกำลังเดินวางมาดเข้ามาในลานกว้าง

 

 

ซูหลีเลิกคิ้วหัวเราะเบาๆและเอ่ยว่า “ซื่อจื่อมาได้อย่างไร”

 

 

ฉินมู่ปิงก็เป็นผู้ติดตามในครานี้เหมือนกัน ทว่าเขาติดตามไทเฮามา จึงมาถึงก่อนพวกเขาก้าวหนึ่ง ซูหลีนั้นทราบเรื่องนี้ดี

 

 

“ทำไมรึ ไม่ต้อนรับเปิ่นซื่อจื่อหรือ” ฉินมู่ปิงมองนางกับเซี่ยอวี่เสียนปราดหนึ่ง ใบหน้าฉายแววเยียบเย็น

 

 

“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน อาหลีก็แค่แปลกใจเท่านั้น วันนี้ฝ่าบาททรงจัดงานเลี้ยงภายในขึ้นในตำหนักกลาง ซื่อจื่อควรจะอยู่ที่นั่นถึงจะถูก” เซี่ยอวี่เสียนรีบลุกขึ้นยืน พยายามทำให้เรื่องนี้จบลงด้วยดี

 

 

งานเลี้ยงภายในหรือ

 

 

หลังจากซูหลีได้ยินเขาพูดประโยคนี้จึงเลิกคิ้วขึ้น

 

 

ตำหนักกลางเป็นสถานที่ที่ฉินเย่หานอาศัยอยู่ในครั้งนี้ ทั้งยังเป็นสถานที่บริหารราชการแผ่นดินด้วย โดยทั่วไปแล้ว บุคคลที่ไม่มีตำแหน่งอะไรไม่สามารถที่จะไปที่นั่นได้

 

 

“งานเลี้ยงภายในจะสนุกอะไรกัน เสด็จย่าก็แค่แนะนำท่านน้าให้กับเสด็จลุง จึงได้จัดงานนี้ขึ้นมาก็เท่านั้น” ฉินมู่ปิงโบกมือไปมา พูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นจึงฉวยโอกาสนั่งลงด้านข้างโต๊ะไม้หนานตัวเล็กที่พวกเขานั่งอยู่

 

 

เซี่ยอวี่เสียนได้ยินดังนั้นกลับตะลึงค้างครู่หนึ่ง

 

 

เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปทางซูหลีปราดหนึ่ง ไทเฮาทรงต้องการเป็นแม่สื่อให้กับฝ่าบาทหรือ

 

 

เช่นนั้นซูหลี…