ตอนที่ 1153 ชมไม่หยุดปาก
เซี่ยอวี่เสียนอดไม่ได้ที่จะมองไปทางซูหลี สีหน้าของซูหลีกลับยังเรียบเฉย มีเพียงในดวงตารูปดอกท้อเท่านั้นที่ประหนึ่งมีน้ำหมึกสีดำอยู่ก็มิปาน เข้มข้นเสียจนขจัดออกไปไม่ได้
“ไป๋ฉิน มัวตะลึงทำอะไรอยู่ นำชามกับตะเกียบมาให้ข้าชุดหนึ่งสิ!” ฉินมู่ปิงคนนั้นเป็นคนที่ไม่มีความเกรงใจ แม้ตนจะนั่งลงไปตรงนั้นแล้วก็ช่างเถอะ เมื่อเขาเห็นว่าไม่มีคนเรียกเขา จึงร้องขอไป๋ฉินนำชามและตะเกียบมาให้เขา
“…เจ้าคะ” ไป๋ฉินเป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่งเท่านั้น จะปฏิเสธได้ง่ายๆเสียที่ไหน เมื่อเห็นดังนั้นจึงกวาดตามองไปทางซูหลีปราดหนึ่ง จากนั้นหมุนกายเดินไปตามทำหน้าที่
“ซื่อจื่อเป็นคนที่ไม่เกรงใจจริงๆ ท่านไม่ได้ถูกเชิญมา ซ้ำยังไม่กลัวว่าข้าจะขับไล่ท่านออกไปอีกหรือ” ซูหลีมองหน้าใบหน้าที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม น้ำเสียงนุ่มนวลดุจผ้าแพร ทว่าเป็นผ้าแพรมีแฝงเข็มไปไว้ด้านใน
ฉินมู่ปิงได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะขึ้นมาทันที เขาหันศีรษะไปมองซูหลีอย่างหยอกล้อแล้วเอ่ย “ไยใต้เท้าซูมีโทสะมากมายถึงเพียงนี้ นี่ก็ไม่ใช่แค่ข้ามาขอกินอาหารของเจ้านิดหน่อยหรือ ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงเสียหน่อย!”
“นั่นไม่ใช่เรื่องร้ายแรงขนาดนั้น” ซูหลีปรายตามองเขาปราดหนึ่ง ทว่าไม่พูดอะไรต่ออีก จึงถือว่ายินยอมให้เขาอยู่ที่นี่แล้ว
“จะว่าไป ท่านน้าของข้าเป็นคนที่สวยเพริศพริ้งคนหนึ่ง!” เพียงแต่ไม่รู้ว่าฉินมู่ปิงผู้นี้เจตนาหรือไม่เจตนากันแน่ หลังจากที่นั่งลงก็เริ่มพูดถึงอู๋โยวหราน
“เกรงว่าใต้เท้าซูจะไม่รู้จักนางกระมัง นางเป็นพระขนิษฐาของเสด็จย่า เป็นบุตรีคนเล็กของจี้เหล่าไท่จวิน[1] เป็นเพราะมีบุตรช้า ทั้งยังมีรูปโฉมงามชดช้อย จึงเป็นที่รักและโปรดปรานของคนในครอบครัว!”
ขณะที่พูดฉินมู่ปิงยังหัวเราะไปด้วย
“ในปีนั้นจี้เหล่าไท่จวินเมืองฉู่ อยู่ที่นั่นนับสิบกว่าปี ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่สามารถนำครอบครัวกลับมาได้ในครานี้ นั่นก็คือท่านน้าอู๋โยวหราน ผู้ที่ได้รับความโปรดปรานจากเสด็จย่ามากที่สุด!”
ซูหลีได้ยินแล้วจึงหรี่ตาเล็กน้อย นางก็ว่าอยู่บุคคลเป็นเอกขนาดนี้ ไยนางถึงไม่เคยเห็นมาก่อน
ที่แท้ก็คือสกุลอู๋ที่พึ่งกลับเข้ามาพำนักในเมืองหลวง!
สำหรับเรื่องของสกุลอู่ นางนั้นพอจะเข้าใจ เพียงแต่นางไม่รู้ว่าภรรยาของใต้เท้าอู๋ จะเป็นพระขนิษฐาของไทเฮา!
อีกทั้งเป็นน้องสาวของจี้เก๋อเหล่า น้าของจี้เหิงหรานกับจี้ฉินทั้งสองคน
เพียงแต่…
ในความทรงจำของซูหลี บุตรที่เกิดจากภรรยาเอกของสกุลจี้ดูเหมือนจะมีเพียงจี้เก๋อเหล่ากับไทเฮาทั้งสองคนเท่านั้น
ดังนั้น เหล่าไท่จวินที่ติดตามใต้เท้าอู๋กลับเข้ามาในเมืองหลวง ที่จริงแล้วคือน้องสาวต่างแม่ของจี้เก๋อเหล่ากับจี้ไทเฮาหรือ
“ท่านน้านั้นอายุยังน้อย ซ้ำยังเป็นคนฉลาดพูด ก่อนที่ข้าจะออกมา นางเย้าแหย่ฮ่องเต้กับไทเฮาจนทั้งสองพระองค์ทรงเบิกบานพระทัยเกินจะเปรียบ ถือว่าช่างมีความสามารถจริงๆ!” ฉินมู่ปิงแสร้งทอดถอนหายใจออกมาอย่างได้ไม่ตั้งใจ
ซูหลียกมุมปากขึ้น มองเขาด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
ไม่รู้ว่าเขาพูดคำพูดเหล่านี้ต่อหน้าตน หมายความว่าเช่นไร เย้าแหย่จนฉินเย่หานเบิกบานใจเกินจะเปรียบ?
นับประสาอะไรกับนางที่อยู่ข้างกายฉินเย่หานมานานมากขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นใครกล้าใช้คำว่า ‘เบิกบานใจเกินจะเปรียบ’ มาบรรยายอากัปกิริยาของฉินเย่หานสักที ฉินเย่หานที่มีใบหน้าเย็นชาเช่นนั้น จะสามารถจินตนาการภาพเขาเบิกบานใจเกินจะเปรียบได้หรือ?
เกรงว่าหากวันไหนเขายิ้มออกมาจริงๆ เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง แค่นั้นก็คงจะทำให้คนโดยรอบตกใจเป็นอันดับแรกกระมัง!
“ใต้เท้าซูยังไม่สามารถกระมัง จี้เหล่าไท่จวินกับเสด็จย่าอายุต่างกันมาก นางถึงอายุไม่มากนัก อีกทั้งท่านน้าเกิดช้า บัดนี้ยังอยู่ในช่วงงามสะพรั่ง ซึ่งถือว่าเป็นช่วงวัยที่ดีที่สุดของสตรี!”
ซูหลีที่ใกล้จะอายุยี่สิบปีเลิกคิ้ว บัดนี้ซูหลีเข้าใจแล้วว่า วันนี้ฉินมู่ปิงไม่ได้ร้องขอของกิน นี่เขาเจตนามาพูดจาเสียดสีนางต่างหาก!
ทว่าซูหลีกลับไม่รู้สึกว่าตัวเองอายุมากสักนิด และถึงแม้อู๋โยวหรานจะมีรูปโฉมงามชดช้อยชวนให้คนหลงรัก ทว่าซูหลีก็ไม่ถึงกับจะริษยาคนที่เพิ่งจะรู้จัก
นางไม่มีเวลาว่างขนาดนั้น
เพียงแต่เห็นท่าทางของฉินมู่ปิงแล้ว นางอยากจะพูดจาประชดประชันเขาสักสองสามประโยค
ตอนที่ 1154 พวกเราเป็นพี่ชายน้องชาย
“ดูเหมือนซื่อจื่อจะพูดว่า แม่นางอู๋ทั้งอายุน้อยทั้งงามสะคราญ ริมฝีปากจิ้มลิ้มฉลาดพูดมาโดยตลอด และมีท่าทางชวนให้คนหลงรักเป็นที่สุดใช่หรือไม่”
ซูหลีมองฉินมู่ปิง แล้วเอ่ยออกมาเสียงเบา
ใบหน้าด้านข้างดุจหยกของนางที่อยู่ภายใต้แสงไฟที่ทอแสงระยิบระยับ ตกอยู่ในสายตาของฉินมู่ปิง ทำให้ใบหน้านั้นดูเหมือนหยกมันแพะคุณภาพดีที่สุดก็มิปาน ทำให้คนมองรู้สึกคันๆที่หัวใจ
ลำคอของฉินมู่ปิงเกร็งไปหมด ดวงตาลุ่มลึกของเขามองไปที่ซูหลี แท้จริงแล้วไม่ใช่แบบที่เขาพูดไป แท้อู๋โยวหรานคนนั้นจะมีรูปโฉมสะคราญล่มเมือง ไฉนจะเปรียบกับปีศาจสาวตรงหน้านี้ได้?
มิผิด แม้สตรีเหล่านั้นจะงดงามถึงเพียงใด มีเสน่ห์ชวนให้หลงใหลถึงเพียงใด ความงามเหล่านั้นก็ยังอยู่ในระดับคนสามัญเท่านั้น ทว่าคนตรงหน้าเหมือนกับก้าวกระโดดออกมาจากความงามระดับนั้น จนกลายเป็นปีศาจที่มีเสน่ห์เย้ายวน!
ท่วาเมื่อคิดได้เช่นนี้ ทันทีที่ฉินมู่ปิงฉุกคิดดูอีกที ก็คิดได้ว่าสตรีที่มีท่าทางประหนึ่งปีศาจสาวเช่นนี้ กลับแอบอิงอยู่ในอ้อมกอดของฉินเย่หานนานแล้ว ทั้งร่างก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นและดึงสติกลับมาในทันที
“ใช่ ความงามแบบนี้ของท่านน้า เป็นยอดนางงามที่หาได้ยากโดยแท้!” เขาอาศัยคำพูดของซูหลี ชื่นชมอู๋โยวหรานคนนั้นอีกประโยค
ทันทีที่ซูหลีได้ยิน ก็เบินบานใจในทันที
นั่นเป็นเรื่องสนุกสนานโดยแท้
ยามปกตินางนั้นเป็นคนที่เฉยเมย แม้แต่ในรอยยิ้มยังเผยความใจลอยออกมาบ้าง ทว่ารอยยิ้มในเวลานี้ ประหนึ่งบุปผางามพริ้งนับพันนับหมื่นดอกกำลังบานสะพรั่งตรงหน้าฉินมู่ปิงมิปาน
ภาพที่งดงามที่สุด กลับสู้รอยยิ้มหนึ่งของโฉมสะคราญมิได้
“ซื่อจื่ออา หากดีขนาดนั้น อีกทั้งท่านชื่นชอบขนาดนี้ เช่นนั้นก็สู้ไปร้องขอไทเฮา แต่งนางกลับจวน ไปเป็นซื่อจื่อเฟยของตนเอง เช่นนั้นจะดีถึงเพียงใดกัน!” หางตาและหางคิ้วของซูหลีล้วนยิ้มไปด้วย ทว่าคำพูดที่เอ่ยออกมานั้นกลับไม่งดงามเหมือนกับรอยยิ้มบนใบหน้าของนางเสียแล้ว
รอยยิ้มของฉินมู่ปิงพลันแข็งค้างไปในทันที
“อุ๊บ…” เซี่ยอวี่เสียนที่กำลังดื่มสุรา ตกใจกับคำพูดที่ซูหลีพูดออกมา จนเกือบจะปล่อยจอกสุราในมือทิ้งเสียแล้ว!
ซูหลีผู้นี้ช่างเป็นคนที่กล้าพูดยิ่งนัก!
นางไม่ได้ยินที่ฉินมู่ปิงเรียกอู๋โยวหรานออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำว่าท่านน้าหรอกหรือ!?
อย่าว่าแต่เรื่องอื่นเลย แม้แต่พี่น้องสายเลือดเดียวกันก็ยังไม่หยุดหย่อน อย่างไรเสียคนที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ก็สามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้ แต่ทว่าอู๋โยวหรานกับฉินมู่ปิงนี้ไม่เหมือนกัน ระหว่างพวกเขาสองคนยังมีความแตกต่างกันในเรื่องของความอาวุโสอีกด้วย
เมื่อลองคิดว่า หลานคนหนึ่งสู่ขอน้าของตนแต่งงาน…
นี่!?
นี่มิใช่เรื่องตลกขบขันเป็นอย่างมากหรอกหรือ!?
“แม้แม่นางอู๋จะเป็นน้าของซื่อจื่อ ทว่าจากที่ซูหลีดูแล้ว ซื่อจื่อยกยอปอปั้นแม่นางอู๋ขนาดนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจว่านางจะเป็นน้าของตนหรือไม่ แม้ตำแหน่งของนางจะพิเศษไปมากกว่านี้ ซื่อจื่อก็คงไม่ถือสาหรอกกระมัง”
“ถึงอย่างไรหากทั้งสองคนรักกัน ก็ไม่มีเรื่องอะไรมาขัดขวางไว้ได้นี่นา!” ซูหลีขยับจอกสุราในมือเอนเอียงที่ข้างริมฝีปากของตนเองไปมา ใบหน้ายิ้มประดับไว้ด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
คาดไม่ถึงว่านางจะใช้อากัปกิริยาเช่นนี้ พูดชักจูงฉินมู่ปิงอย่างเอาจริงเอาจัง
ฉินมู่ปิง…
สตรีผู้นี้ เขาจะพูดชมนางว่าดีสักประโยคไม่ได้จริง!
มีรูปโฉมงามสะคราญจนทำให้คนต้องหวั่นไหว ทว่าเมื่อฟังคำพูดที่นางเอ่ยออกมาแล้ว ล้วนเป็นคำพูดอะไรกัน!
“ซื่อจื่อ! อย่ากังวลใจเลย! หากท่านชื่นชอบจริงๆ พวกเราเป็นพี่ชายน้องชายกัน จะช่วยเหลือท่านเรื่องนี้ก็ไม่มีปัญหา เป็นอย่างไร? ซื่อจื่อเฟยผู้นี้ ซื่อจื่อคงจะพึงพอใจใช่หรือไม่”
นี่ยังไม่พอ ซูหลีพูดจบก็วางจอกในมือของตน ตบบ่าฉินมู่ปิงดั่งฉันมิตร
ใบหน้าของฉินมู่ปิงดำคล้ำทั้งหน้าแล้ว!
พวกเราเป็นพี่ชายน้องชายกัน?
นางเป็นสตรี จะเป็นพี่ชายน้องชายใครได้กัน!?
ใครอยากเป็นพี่ชายน้องชายนางกัน!?
ในที่สุดฉินมู่ปิงก็เข้าใจความรู้สึกของคนเหล่านั้นแล้ว
[1] เหล่าไท่จวิน เป็นชื่อตำแหน่งภรรยาของขุนนางในสมัยศักดินา