ตอนที่ 43-2 การตัดสินใจ

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

“นี่ท่าน…เมื่อครู่ท่านพูดว่าอย่างไร…”

 

 

“เรารักท่าน”

 

 

กโยซึลกระซิบตอบเน้นย้ำอีกครั้ง ไร้ซึ่งความลังเล ทั้งชุดผ้าแพรสง่างามของกโยซึล ทั้งเสื้อตัวในสีขาวของรูแฮเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาของกโยซึล เหมือนดังเช่นวันที่นางมาถึงมกกุก ดังเช่นชุดที่กโยซึลใส่เมื่อตอนที่นางนั่งอยู่ภายในเกี้ยว น้ำตามากมายหลั่งไหลออกมาโดยไม่อาจคาดเคาได้ว่ามันถูกเก็บซ่อนไว้ที่ใดภายในร่างกายเล็กๆ นี้ น้ำตาที่ไหลผ่านแก้มไหลลงไปยังปลายคางของกโยซึล แล้วร่วงหล่นลงบนชายแขนเสื้อของรูแฮ

 

 

“ขออภัย เรา เราช่างโง่เขลานัก เราช่างทำตัวเหมือนเด็กนัก ทำตัวเด็กเกินไปที่เอาแต่หลบเลี่ยงท่าน แต่ แต่ว่า…เมื่อคิดว่าเราอาจจะเสียท่านไป เราไม่อาจตั้งสติได้ เราไม่อาจคิดถึงเรื่องใดได้เลย มีเพียงแค่ท่าน ใจดวงนี้เอาแต่เป็นห่วงท่านที่ต้องอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากเช่นนี้…หัวใจดวงนี้”

 

 

 กโยซึลยกมือขึ้นกุมที่หน้าอกของตน

 

 

“มันร่ำร้องว่าอย่าเมินเฉยหัวใจดวงนี้อีกเลย หากยังคงเมินเฉยต่อไปจะต้องเจ็บปวดเจียนตายเป็นแน่ เราไม่อาจทนนิ่งเฉยโดยที่ไม่ทำอันใดได้”

 

 

กโยซึลยังคงมองไปที่รูแฮด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา ใบหน้าที่หม่นหมองของรูแฮกลับมาอ่อนโยนและมีรอยยิ้มดังเดิม

 

 

ไม่ใช่ความฝัน ทั้งมือนุ่มนี้ ทั้งน้ำตาอุ่นนี้ ทั้งหมดนี้คือนางแน่แท้ รูแฮเพิ่งจะตระหนักได้ว่านี่คือเรื่องจริง กโยซึลมาที่นี่ นางมาหาตน รูแฮเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้ากโยซึลพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่ไหลอยู่ด้วยนิ้วหัวแม่มือ ไม่ว่าจะยื่นมือออกไปมากเพียงใดก็ทำได้เพียงลูบแผ่นหลังนางเท่านั้น หากเป็นดั่งใจคิดรูแฮอยากจะดึงนางเข้ามากอด แล้วตะโกนให้คนทั้งโลกรู้ว่าในที่สุดนางก็มาหาเขาแล้ว

 

 

ถึงแม้ว่าจะเป็นการสารภาพรักในตอนที่ทั้งคู่ยืนอยู่ระหว่างกรงขังไม้หนาของคุกแห่งกรมราชองครักษ์ ทว่าเรื่องสถานที่นั้นหาได้สำคัญต่อพวกเขาไม่ สิ่งที่สำคัญคือในตอนนี้ทั้งคู่ได้พบหน้ากันอีกครั้ง ได้เปิดเผยความในใจที่พยายามเมินเฉยมานาน และได้พูดคุยแลกเปลี่ยนบทสนทนากัน ในช่วงเวลานี้

 

 

กโยซึลมีเพียงแค่รูแฮ และรูแฮเองก็มีเพียงแค่กโยซึล

 

 

“ไม่เป็นไรขอรับ กับการรอคอยเพียงเท่านี้มิได้หนักหนาอันใดเลยขอรับ เพราะท้ายที่สุดแล้วท่านก็มาหาข้ามิใช่หรือ”

 

 

“เรา เรากลัว เราเป็นชายาเอกของฝ่าพระบาทฮวางแทจา ชายที่เราควรคะนึงหาคือฝ่าพระบาท แต่ไม่รู้ทำไมเรากลับเอาแต่คิดถึงท่าน”

 

 

พอได้เริ่มแล้วกโยซึลก็พรั่งพรูคำพูดออกมาไม่หยุด หลังจากที่พูดจบประโยคอย่างยากลำบาก กโยซึลก็พิงหัวที่กรงไม้ สิ่งที่ขวางกั้นทั้งคู่อยู่ตอนนี้ช่างทำให้นางขัดใจยิ่งนัก ในตอนนี้กโยซึลอยากจะเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของรูแฮเหลือเกิน

 

 

“เรากลัวว่าความในใจของเราจะถูกล่วงรู้ กลัวความโกรธเกรี้ยวของฝ่าพระบาท กลัวว่าหากเผชิญหน้ากับท่านแล้วเราจะรับมือกับหัวใจตัวเองไม่ไหว กลัวว่าท่านจะเจ็บปวดเพราะเรา”

 

 

“หากข้าต้องเจ็บปวดเพราะท่าน ข้าก็จะรับความเจ็บปวดนั้นด้วยความยินดี เพราะสาเหตุคือท่าน เพราะความรู้สึกของท่านที่มีให้ข้า เพราะใจของเราทั้งสองตรงกัน”

 

 

เมื่อได้ฟังรูแฮพูดว่ายอมเจ็บปวดเพราะตน เม็ดพลอยใสก็ไหลออกมาจากดวงตาของกโยซึลอีกครั้ง

 

 

“หากเรายังไม่หยุดหัวใจดวงนี้ ท่านจะต้องเจ็บปวดอย่างแน่นอน ฝ่าพระบาทเป็นคนน่ากลัว ท่านจะต้องเดือดร้อนเป็นแน่ ช่างมันเถอะ ตอนนี้เราได้เปิดเผยความในใจของเราแล้ว และได้รับรู้ถึงหัวใจของท่านแล้ว ต่อแต่นี้ไปเราจะไม่เหน็บหนาว แม้หากจะต้องอยู่เพียงลำพังอีกแล้ว”

 

 

“แต่ท่านก็จะไม่รู้สึกอบอุ่น! โปรดอย่าได้หลีกหนีอีกเลย ไม่เป็นไรเลย ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าข้ายินดี”

 

 

รูแฮจับไหล่ของกโยซึลพร้อมกับรีบพูดออกมาเพราะกลัวว่านางจะเปลี่ยนใจอีก ดวงตาของกโยซึลที่หันมามองรูแฮเต็มไปด้วยน้ำตา น้ำตานี้จะหยุดไหลวันใด เหตุใดร่างกายเล็กนี้ถึงได้มีน้ำตามากมายนัก กโยซึลไม่อาจหยุดร้องไห้ได้เลย น้ำตาของกโยซึลทำให้รูแฮเจ็บปวดที่หัวใจ การเห็นนางร้องไห้นั้นช่างสร้างความเจ็บปวดให้กับเขามากนัก

 

 

“เป็นเราที่ยอมรับไม่ได้ ท่านคิดว่าเราจะใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจหากเห็นว่าท่านเจ็บปวดอย่างนั้นหรือ”

 

 

“พระชายา ไม่สิ…อูรึม”

 

 

“การที่เจ้าเมินเฉยต่อความรู้สึกของข้ามันทรมานกว่าโทษทัณฑ์ใด เหตุใดถึงยังไม่รู้ตัวอีก เจ้าเพียงพอใจแล้วจริงหรือ เจ้าแค่ต้องการแน่ใจว่าข้าคิดอย่างไรเพียงเท่านั้นหรือ”

 

 

“…”

 

 

“แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น ข้ายอมไม่ได้ แน่นอนอยู่แล้วว่ามันจะต้องเจ็บปวดกว่าที่แล้วมา แต่เจ้า เจ้าเพียงพอใจเท่านี้จริงหรือ”

 

 

คำถามของรูแฮเสียดแทงลงไปที่ใจของกโยซึล สายตาที่มองมาอย่างจริงจังของรูแฮนั้นทำให้ดวงตาของกโยซึลสั่นไหว และรูแฮก็มองดวงตาที่สั่นไหวนั้นอย่างแน่วแน่

 

 

“แม้ว่าต่อจากนี้จะต้องเจ็บปวด จะต้องทุกข์ทรมาน แต่ขอเพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้นให้เราทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกัน ได้มีความสุขด้วยกัน ไม่ได้เลยหรือ”

 

 

ในตอนนี้ไม่ได้มีเพียงแค่กโยซึลเท่านั้นที่ร้องไห้ รูแฮเองก็ร้องไห้ออกมาทั้งที่ยังมีรอยยิ้มอ่อนโยนอยู่ที่ใบหน้า รูแฮที่ยิ้มทั้งที่น้ำตากำลังไหลอยู่นั้นช่างดูน่าเวทนานัก

 

 

“ไม่ว่าใครจะเปรียบเจ้าเป็นต้นไม้ แต่ข้าจะเรียกเจ้าว่าอูรึม”

 

 

อูรึม ตนลืมชื่อนี้ไปเสียสนิทหลังจากที่ได้รับชื่อใหม่อย่างกโยซึล รูแฮรู้ดีว่าที่มกกุกหากเรียกเพศตรงข้ามเพียงแค่ชื่อ ไม่เอ่ยนามสกุลด้วยนั้นหมายความว่าอย่างไร และกโยซึลเองก็รู้ดีเช่นกันเพราะนางได้ฟังที่บีพาอันบอกไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

 

 

มันคือการเรียกคนรู้ใจ รูแฮที่หยุดพูดไปครู่หนึ่งเริ่มพูดต่อ

 

 

“เจ้าเองก็เรียกข้าว่ายูอึลจินได้หรือไม่”

 

 

ในตอนแรกกโยซึลเข้าใจว่านามสกุลของรูแฮคือ ‘ยู’ และชื่อของเขาคือ ‘อึลจิน’ จึงเรียกเขาว่า ‘ยูอึลจิน’ เพียงเท่านั้น ทว่าตอนนี้นางรู้ความจริงแล้ว นามสกุลของเขาคือ ‘ดันมก’ และชื่อคือ ‘ยูอึลจิน’  อีกทั้งยังรู้แล้วว่าการเรียกเขาว่า ‘ยูอึลจิน’ นั้นมีความหมายว่าอย่างไร

 

 

ในระหว่างที่ทั้งคู่จ้องมองกันโดยไร้ซึ่งคำพูดใด ในที่สุดกโยซึลก็พยักหน้าตอบรับไ