บทที่ 1670 – 3 ปีผ่านไป นิกายจันทรานิรันกาลก่าลังประสบปัญหา
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับพริบตาในตอนนี้ได้ผ่านมากว่า 3 ปีแล้ว
เวลา3 ปีนั้นไม่ได้ถือว่าสั้นหรือยาวจนเกินไป ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ชิงสุ่ยได้กลับไปที่บ้านหลายครั้งอย่างน้อยที่สุดก็ 2 ครั้งต่อปี ในเวลา 3 ปีนี้ชิงสุ่ยได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ของเขาในเมืองหลินห่าย
ในตอนนี้เขาเป็นกังวลเรื่องของพระราชวังอาทิตย์อัสดงและพระราชวังจอมอสูรมากที่สุดในตอนนี้พระราชวังจอมอสูรได้ย้ายมาตั้งไม่ไกลจากแดนทะเลน้ำเเข็ง พื้นที่แห่งนี้ปกคลุมไปด้วยหิมะและถานท่าย หลิงเยียนก็ชื่นชอบมันมาก ดังนั้นนี่จึงเป็นตำแหน่งที่นางได้ตัดสินใจเลือก
ผู้คนประมาณครึ่งหนึ่งของพระราชวังจอมอสูรได้ย้ายมาที่นี่ฮัวรูเหม่ยและซานยูก็ย้ายมาที่นี่ด้วยเช่นกัน
ซานยูฮัวรูเหม่ยและจินชื่อต่างก็เป็นผู้ที่ทรงพลัง โดยเฉพาะฮัว รูเหม่ยที่อยู่ในจุดสูงสุดของระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ แม้ว่าจะมีช่วยเหลือของชิงสุ่ยแต่ก็ยากยิ่งนักที่นางจะได้เข้าสู่ระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ มันยังคงต้องใช้เวลา
ในช่วงที่ผ่านมานี้ชิงสุ่ยได้พาถานท่ายหลิงเยียน ฉินชิงและอีเย่ เจี้ยนเก้อมาพบเจอกัน แม้ว่าพวกนางจะแยกกันอยู่บนบกและในน้ำแต่ก็สามารถดูแลอีกฝ่ายได้
ในช่วงเวลา3 ปีนี้พลังของชิงสุ่ยไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝนพลังของตัวเองให้ชำนาญและเสริมความแข็งแรงให้แก่ร่างกาย เหล่าหญิงสาวก็ด้วยเช่นกัน แม้ว่าพวกนางจะทรงพลังอย่างยิ่งแต่หญิงสาวทั้ง 3 คนรวมถึงถานท่าย หลิงเยียนที่อยู่ในระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังคงต้องใช้เวลาอีกมากในการฝึกฝนพลังของตนเองให้ชำนาญ
ฉินชิงยังคงอยู่ในจุดสูงสุดของระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจเช่นเดียวกันกับเหลียนหลิงเฟิงและหยิน ต่ง ตอนนี้พลังของพวกเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆสิ่งที่ต้องการมีเพียงเวลาเท่านั้น
…
หลังจากผ่านไป3 ปีก็ยังคงมีเพียงวิหคเพลิงนรกานต์และอสูรแมงมุมมังกรเก้าเศียรที่เป็นสัตว์อสูรระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ของชิงสุ่ย สัตว์อสูรตัวอื่นๆนั้นยังไม่อาจยกระดับขึ้นได้และพลังของสัตว์อสูรระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองตัวนี้ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนะ
บางครั้งเวลา3 ปีก็ถือว่าสั้นเกินไป การที่พลังของผู้ฝึกยุทธหรือสัตว์อสูรจะคงที่เป็นเวลากว่า 3 ปี 30 ปี หรือ 300 ปีนั้นเป็นเรื่องที่ปกติ
วันนี้เป็นวันที่ชิงสุ่ยเตรียมตัวที่จะออกเดินทางถานท่าย หลิงเยียนก็จะเดินทางไปพร้อมกับเขา ฉินชิงนั้นเลือกที่จะอยู่ที่พระราชวังจอมอสูรและดูแลพระราชวังจอมอสูรไปพร้อมกับฮัว รูเหม่ย
นี่เป็นเพราะพวกเขาเพิ่งได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากนิกายจันทรานิรันกาลนิกายจันทรานิรันกาลได้กำจัดนิกายดาบมารนิรันดร์กาลไปแล้วแต่พวกเขาไม่คาดคิดว่ายังคงมีขุมพลังอื่นๆที่ซ่อนตัวอยู่อีก นิกายจันทรานิรันกาลไม่อาจป้องกันการโจมตีที่เข้ามาได้ หยินเทียนและเฟิง ซี่ต่างก็นึกถึงความสามารถที่ไม่ธรรมดาของชิงสุ่ยและเชื่อว่าชายผู้นี้นั้นทรงพลังกว่าพวกเขา นี่งเป็นเหตุผลที่พวกเขาเลือกที่จะขอความช่วยเหลือจากชิงสุ่ย
หยินเทียนและภรรยาของเขานั้นยังคงสบายดีเดิมทีนั้นพวกเขาได้รับถานท่าย หลิงเยียนไว้เป็นลูกสาวของตนเองเพื่อเป็นการขอบคุณชิงสุ่ย
เพราะเหตุนี้ชิงสุ่ยจึงดูแลนิกายจันทรานิรันกาลอย่างใกล้ชิดถานท่าย หลิงเยียนก็ตัดสินใจตรงไปที่นั่นทันทีโดยไม่รีรออะไร
ชิงสุ่ยมีความรู้สึกว่าในตอนนี้เขากำลังจะได้พบเจอกับศัตรูที่ทรงพลังยิ่งขึ้นไปอีกและยากยิ่งนักที่เขาจะเอาชนะได้แม้กระนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร เพราะการต่อสู้เป็นการยกระดับความแข็งแกร่งที่รวดเร็วที่สุด
ฉินชิงยังคุ้นเคยกับอีเย่เจี้ยนเก้อและหญิงสาวคนอื่น เหลียนหลิงเฟิงและอีเย่ เจี้ยนเก้อต่างก็เป็นยอดฝีมือในระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ ยิ่งไปกว่านั้นฉินชิงยังทรงพลังอย่างยิ่ง หากพวกเขาพบเจอกับศัตรูที่ทรงพลังก็ยังมีอีเย่ เจี้ยนเก้อและคนอื่นๆที่คอยช่วยเหลือ
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ชิงสุ่ยและถานท่ายหลิงเยียนเดินทางโดยปราศจากความกังวลใดๆ มังกรฟ้าของฉินชิงนั้นเหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์และมันพร้อมที่จะยกระดับไปได้ตลอดเวลา ชิงสุ่ยรู้สึกว่ามังกรฟ้าตัวนี้คงจะยกระดับขึ้นไปได้รวดเร็วกว่าฉินชิงอย่างแน่นอน
ทักษะย่างก้าว9เทวา!
หลังจากนั้นชิงสุ่ยก็เงียบวิหคเพลิงนรกานต์ออกมามันได้รับการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ไป แต่เมื่ออยู่ในร่างของสัตว์อสูรนั้นความเร็วของมันถือว่าอยู่ในจุดสูงสุด หากไม่ได้อยู่ในร่างของสัตว์อสูรนั้นความเร็วของมันจะลดลงไปมาก
แม้ว่าสัตว์อสูรได้เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ไปความคิดของพวกมันก็ยังคงแตกต่างจากของมนุษย์ แม้จะเป็นเช่นนั้นกระบวนการคิดของพวกมันก็คล้ายคลึงกับมนุษย์อย่างยิ่ง นี่คือการดำรงอยู่ของสัตว์อสูรเผ่าพันธุ์ต่างๆ เมื่อพวกมันได้รับการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์จึงอยู่ในร่างของมนุษย์สติปัญญาของพวกมันก็จะเพิ่มมากขึ้น
พวกมันยังทรงพลังยิ่งกว่ามนุษย์มันก็เหมือนกับพวกสัตว์ป่าดุร้ายในชีวิตก่อนหน้านี้ของชิงสุ่ยที่ได้รับสติปัญญาของมนุษย์ไป
แต่พวกมันสืบทอดได้เพียงร่างของแต่ละศูนย์เท่านั้นและการต่อสู้ส่วนใหญ่ก็ต้องอยู่ในร่างสัตว์อสูรเท่านั้น
สัตว์อสูรที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์นั้นไม่ได้น่าประหลาดใจที่พวกมันสามารถอยู่ในร่างของมนุษย์ได้แต่เพราะการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ทำให้สติปัญญาของพวกมันเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แต่พวกมันก็ยังคงต้องอยู่ในร่างของสัตว์อสูรเพื่อที่จะสามารถปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาได้
วิหคเพลิงนรกานต์สยายปีกของมันปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าชิงสุ่ยและถานท่าย หลิงเยียนนั้นดูเล็กลงไปเลยเมื่อเทียบกับมัน
ความเร็วของวิหคเพลิงนรกานต์นั้นยากที่จะหาผู้ใดเทียบได้มันรวดเร็วจนเหลือเพียงภาพติดตาบนอากาศเท่านั้น
ชิงสุ่ยรู้สึกว่าด้วยความเร็วเช่นนี้เขาสามารถเดินทางไปที่ใดก็ได้ใน9 มหาทวีปนี้ เขานึกถึงเคล็ดวิชาของเต่าเฒ่าแต่นั่นก็สามารถใช้ได้เพียงในน้ำเท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมก่อนหน้านี้ถานท่าย หลิงเยียนจึงสามารถเดินทางไปได้หลายมหาทวีป
เมืองหลินห่ายนั้นไม่ถือว่าอยู่ใกล้กับเขตการต่อสู้แต่ด้วยความเร็วในตอนนี้ของวิหคเพลิงนรกานต์เขาใช้เวลาเพียง 3 วัน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขาต้องใช้เวลามากกว่า 1 เดือน
”ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรนิกายจันทรานิรันกาลย่อมไม่แพ้ง่ายๆอย่างแน่นอน” ชิงสุ่ยรับรู้ได้ว่าถานท่าย หลิงเยียนนั้นเป็นกังวลอย่างยิ่ง เฟิงซี่ไม่ใช่คนเดียวที่เพิ่งจะตระหนักถึงเรื่องนี้ได้ในตอนนี้ แม้แต่หยินชางเองก็ด้วย
ชิงสุ่ยมองดูสถานการณ์ในตอนนี้ของนิกายจันทรานิรันกาลและรู้สึกสลดใจเล็กน้อยแม้ว่าพวกเขาจะเป็นตระกูลอมตะแต่ก็ไม่ได้มีผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์มากนัก ก่อนหน้านี้ตระกูลหงนั้นมีประมาณ 10 คน แต่ในตอนนี้ตระกูลหงไม่ได้อยู่ที่นี่แต่ชิงเฟิงและหมิงอวี้ได้กลับมาแล้ว
พวกเขากลับมายังนิกายจันทรานิรันกาลได้ทันเวลาที่สำคัญก่อนหน้านี้พวกเขาจากไปเพราะได้ทำผิดต่อตระกูลหยิน แต่พวกเขากลับมาที่นี่ในตอนที่นิกายจันทรานิรันกาลกำลังจะล่มสลาย ไม่ใช่ทุกคนที่กล้าจะทำเช่นนี้
”หากท่านแม่บุญธรรมและคนอื่นๆสามารถรับมือได้พวกเขาคงไม่ขอความช่วยเหลือเมื่อนางขอความช่วยเหลือมานั่นหมายความว่าสถานการณ์ต้องเลวร้ายอย่างแน่นอน” ถานท่าย หลิงเยียนส่ายศีรษะของนางและกล่าวขึ้น
ชิงสุ่ยจะไม่รู้ถึงเรื่องนี้กันอยู่?เขาเพียงปลอบใจถานท่าย หลิงเยียนเท่านั้น
ความเร็วของวิหคเพลิงนรกานต์เพิ่มขึ้นอีกครั้งมันสามารถเข้าใจบทสนทนาของพวกเขาได้และรับรู้ได้ถึงความกังวลใจ ดังนั้นมันจึงเพิ่มความเร็วของตนเองขึ้นทันที
ในเวลาเพียง2 วันชิงสุ่ยและถานท่าย หลิงเยียนก็ได้มาถึงนิกายจันทรานิรันกาล เมื่อพวกเขาได้เห็นสิ่งต่างๆก็ได้รับรู้ว่ามันเป็นเรื่องเร่งด่วนจริงๆ นี่เพราะว่าทั้งหยินเทียนและผู้อาวุโสหวังต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่รีบกำจัดพวกเขา
ความเร็วของวิหคเพลิงนรกานต์นั้นน่ากลัวอย่างยิ่งในตอนที่เดินทางมานิกายจันทรานิรันกาลในตอนนี้ชิงสุ่ยไม่แน่ใจว่าศัตรูนั้นไม่ได้เร่งรีบกำจัดนิกายจันทรานิรันกาลหรือมีพลังบางอย่างที่ปกป้องพวกเขาเอาไว้
เมื่อได้เห็นชิงสุ่ยและถานท่ายหลิงเยียน เฟิง ซี่ก็รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง แต่สีหน้าของนางนั้นยังคงดูกังวล นางยังไม่ได้รับรู้ถึงพลังของถานท่าย หลิงเยียนในตอนนี้
”เยียนน้อยชิงสุ่ยเหตุใดเจ้าจึงพาเยียนน้อยมาที่นี่?”
”ท่านแม่บุญธรรมท่านเป็นเช่นไรบ้าง?” เมื่อถานท่าย หลิงเยียนได้เห็นสถานการณ์ในตอนนี้นางก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย แม้ว่าหลายคนจะได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่นางก็ยังคงเชื่อในความสามารถในการรักษาของชิงสุ่ย
”ข้าสบายดีศัตรูต้องการให้พวกเราตายไปอย่างช้าๆ ไม่อย่างนั้นแล้วพวกเราคงตายไปนานแล้ว” เฟิง ซี่ส่ายศีรษะของนางและยิ้มอย่างขมขื่น
”ชิงสุ่ยลุงไม่มีทางออกอื่นเช่นกัน เจ้าคงไม่โกรธข้าที่ขอความช่วยเหลือไปใช่ไหม?” แม้ว่าหยินเทียนจะบาดเจ็บแต่เขาก็ยังคงเคลื่อนไหวได้เหมือนคนธรรมดา แต่เขาและผู้อาวุโสหวังนั้นอ่อนแอยิ่งกว่าคนธรรมดาเสียอีก ในตอนนี้ผู้ที่ยังคงต่อสู้ได้นั้นมีเพียงหยินชางและเฟิง ซี่
อาจกล่าวได้ว่าอีกฝ่ายต้องการให้พวกเขารู้สึกสิ้นหวังเพื่อให้พวกเขารู้สึกหมดหนทางอย่างช้าๆชิงสุ่ยยังคงไม่รู้ว่าศัตรูเป็นใครหรือมีความเกี่ยวข้องอะไรกับนิกายดาบมารนิรันดร์กาล
”ท่านป้าเฟิงศัตรูเป็นใครนั้นหรือ?” ชิงสุ่ยสอบถามอาการบาดเจ็บของหยินเทียนและผู้อาวุโสหวังพร้อมคำถามขึ้นมา
”พวกมันมาจากนิกายกระบี่อสูรอมตะ”เฟิง ซี่ถอนหายใจและกล่าว
เพียงแค่ชื่อของพวกเขาชิงสุ่ยก็นึกถึงนิกายดาบมารนิรันดร์กาลและนิกายกระบี่อสูรอมตะคงจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันนิกายกระบี่อสูรอมตะคงจะมาที่นี่เพื่อล้างแค้นให้กับนิกายดาบมารนิรันดร์กาล เหตุผลนี้ชิงสุ่ยเดาได้ตั้งแต่ได้ยินชื่อของนิกาย
ชิงสุ่ยไม่ได้ถามอะไรออกมาอีกในตอนนี้เฟิง ซี่ก็พูดออกมาว่า “นิกายดาบมารนิรันดร์กาลนั้นถือเป็นหนึ่งในสาขาของนิกายกระบี่อสูรอมตะ กล่าวได้ว่าสายเลือดในตัวของพวกเขานั้นเป็นสายเลือดเดียวกันกับนิกายกระบี่อสูรอมตะ”
”พวกเขาทรงพลังมากเพียงใด?ท่านป้าเฟิง ท่านทราบเรื่องนี้หรือไม่?” นี่เป็นเรื่องที่ชิงสุ่ยสงสัยมากที่สุด
”มีคนหนึ่งที่แข็งแกร่งมากกว่าข้าและท่านลุงของเจ้าเล็กน้อยแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ลงมือสังหารแต่ก็ทำให้ทั้งสองคนนั้นต้องบาดเจ็บสาหัส” เมื่อเฟิง ซี่กล่าวเช่นนี้นางก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
นี่เป็นเพราะยังมีคนอื่นที่ยังไม่ได้แสดงพลังออกมาแม้ว่าชิงสุ่ยจะทรงพลังอย่างยิ่งและมีความสามารถในการลดพลังของศัตรู แต่อีกฝ่ายนั้นทรงพลังยิ่งกว่านิกายจันทรานิรันกาลมาก
”ท่านป้าเฟิงท่านไม่ต้องกังวลไป หลิงเยียนและข้าอยู่ที่นี่แล้วในตอนนี้ มันย่อมไม่เป็นอะไร แม้ว่าท่านลุงกับท่านลุงหวังจะได้รับบาดเจ็บแต่ก็ยังสามารถรักษาได้ เพียงแต่หวังว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรในระยะเวลาสั้นๆนี้” ชิงสุ่ยกล่าวออกมาอย่างใจเย็น
ชิงสุ่ยยังคงไม่เข้าใจในระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ในบางเรื่องพลังเกินกว่า 100 เต๋านั้นจะอยู่ในขั้นที่ 1 ระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่แน่ใจว่าหากพลัง 3,000 เต๋านั้นจะถือเป็นขั้นที่ 1 ระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยหรือไม่
”ท่านแม่บุญธรรมอย่ากังวลไปเลย” ถานท่าย หลิงเยียนพูดออกมาเบาๆ
”หืม?เจ้ายกระดับขึ้นแล้วงั้นหรือ?” เฟิง ซี่มองไปยังถานท่าย หลิงเยียนด้วยความประหลาดใจ นางเพิ่งจะตระหนักได้ในตอนนี้
เฟิงซี่ไม่ใช่คนเดียวที่เพิ่งจะตระหนักถึงเรื่องนี้ได้ในตอนนี้ แม้แต่หยินชางเองก็ด้วย
ชิงสุ่ยมองดูสถานการณ์ในตอนนี้ของนิกายจันทรานิรันกาลและรู้สึกสลดใจเล็กน้อยแม้ว่าพวกเขาจะเป็นตระกูลอมตะแต่ก็ไม่ได้มีผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์มากนัก ก่อนหน้านี้ตระกูลหงนั้นมีประมาณ 10 คน แต่ในตอนนี้ตระกูลหงไม่ได้อยู่ที่นี่แต่ชิงเฟิงและหมิงอวี้ได้กลับมาแล้ว
พวกเขากลับมายังนิกายจันทรานิรันกาลได้ทันเวลาที่สำคัญก่อนหน้านี้พวกเขาจากไปเพราะได้ทำผิดต่อตระกูลหยิน แต่พวกเขากลับมาที่นี่ในตอนที่นิกายจันทรานิรันกาลกำลังจะล่มสลาย ไม่ใช่ทุกคนที่กล้าจะทำเช่นนี้