บทที่ 1671 – การมาถึงของผู้คนของนิกายกระบอสูรอมตะ
ในก่อนหน้าหยินเทียนและภรรยาของเขาก็พยายามอย่างหนักเพื่อโน้มน้าวชิงเฟิงและหมิงอวี้ให้ออกไปข้างนอก อย่างไรก็ตามสำหรับพวกเขาที่จะกลับมาในช่วงเวลานี้ ทำให้สิ่งที่หยินเทียบลงมือทำไปถือว่าสูญเปล่าอย่างมาก
ในการกลับมาครั้งนี้ของพวกเขาอาจเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของพวกเขาพวกเขาเข้าใจดีถึงสิ่งที่หยินเทียนต้องการ อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่อาจปล่อยให้หยินเทียนและตระกูลหยินเป็นอะไรไปได้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่มีกล้าอยู่ในโลกใบนี้
เมื่อหยินเทียนและเฟิงซี่เห็นพวกเขากลับมาทั้งคู่ต่างก็มีความสุข และมีความเศร้าไปพร้อมๆกัน อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรเลยในตอนนี้ เป็นเวลากล่าวร้อยปีที่พวกเขาได้ยืนอยู่และร่วมต่อสู้เคียงข้ากัน มันทำให้พวกเขาสามารถเขาใจกันเพียงแค่มองเข้าไปในดวงตา
ในตอนนิ้ชงุ่สยได้นำเอาเข็มทองออกมาเพื่อช่วยรักษาวังอาการให้ชายชราหวังและหยินเทียนก่อนที่จะมองยาเม็ดของเขาให้ทั้งสองอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้ชิงสุ่ยได้ทำทุกๆอย่างๆรวดเร็วเมื่อเห็นอาการของทั้งสอง
สถานการณ์ปัจจุบันถือว่าเลวร้ายอย่างมากสำหรับนิกายจันทรานิรันกาลแม้กระทั้งหยินเทียน และ ชายชราหวังก็ไม่สามารถจัดการกับพวกเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้พวกเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยังมีขุมกำลังที่ทรงอำนาจแอบซ่อนไว้อีกหรือไม่ ถึงอย่างไรก็ตามเพียงแค่ พวกคนเหล่านิกายจันทรานิรันกาลก็ไม่สามารถรับมือได้แล้ว
แม้จะเป็นเช่นนั้นชิงสุ่ยเองก็ยังคงมีความรู้สึกได้ว่ามันเป็นเรื่องยากอย่างมากในเวลานี้ แม้ตอนนี้ หลิงเหยีน เฟิงซี่ หยินชา ชิงเฟิง หมิงอวี้ ที่อยู่ในขั้นสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์หมดแล้ว ร่วมมือกันก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้มาก
หลังจากชิงสุ่ยเสร็จสิ้นกับการรักษาพวกเขามันก็ผ่านไปครึ่งวันแล้ว แม้ว่าอาการบาดเจ็บของหยินเทียนและชายชราหวังจะอยู่ในขั้นปลอดภัยแล้ว แต่พวกเขายังคงต้องการเวลาเพื่อพักฟื้น
ในตอนนี้เฟิงซี่ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกแม้ว่าเธอจะรู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะยังไม่ดีขึ้น แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าชิงสุ่ยยังคงสงบนิ่งอยู่มันก็ทำให้เธออุ่นใจได้ระดับหนึ่ง ราวกับว่าเขาจะสามารถช่วยเหลือและคลี่คลายปัญหาในตอนนี้ของพวกเขาไปได้
นี่เป็นความรู้สึกที่แปลกอย่างมากและแม้แต่เธอเองก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมเธอถึงรู้สึกแบบนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขารู้แน่นอนก็คือในตอนนี้ชิงสุ่ยนั้นแข็งแกร่งกว่าพวกเขามากนัก แม้แต่หลิงเยียนก็มีพลังมากกว่าพวกเขาเล็กน้อย
ในตอนนี้หลิงเหยียนและ เฟงิซี่ได้กลับไปที่ห้องเพื่อพูดคุยกัน ในขณะที่ชายชราหวังและหยินเทียนยังคงพักผ่อนอยู่ในห้อง มีเพียงชิงสุ่ย หยินชา ชิงเฟิง และ หมิงอวี้เท่านั้นที่ยังคงอยู่ในห้องโถง ในเวลานี้พวกเขขาได้สูญเสียผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งไปสามคนในการต่อสู้ครั้งนี้ มันทำให้ความแข็งแกร่งของตระกูลหยินลดลงไปอย่างมาก
ในเวลานี้พวกเขาได้ปิดบังความสู้สึกเอาไว้พวกเขาได้ฝากความหวังทั้งหมดไปที่ชิงสุ่ย ถึงอย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาที่ได้รับความช่วยเหลือของชิงสุ่ยมาโดยตลอด หากในครั้งชิงสุ่ยเลือกที่จะปฏิเสธพวกเขาก็ไม่สามารถกล่าวว่าอะไรได้ ที่สำคัญพวกเขาเองก็ไม่อยากลากชิงสุ่ยมาเดือดร้อนอีกด้วย
“ชิงสุ่ยในตอนนี้ มีเจ้าเพียงคนเดียวเท่านี้ที่จะสามารถช่วยเหลือนิกายจันทรานิรันกาลเอาไว้ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามนางก็กลัวว่าจะนำเรื่องเดือดร้อนมาหาเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน ถึงแม้ข้าจะไม่อยากให้เจ้าเข้ามาร่วมด้วยในครั้งนี้ แต่ต้องขอโทษด้วยจริงๆดูเหมือนข้าจะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว” หยินชายิ้มอย่างขมขื่น
“ข้าเข้าใจในความลำบากใจของพี่หยินชาดี แต่อย่าได้คิดมาเลยพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันมีรึที่ข้าจะไม่ช่วยพวกท่าน ” ชิงสุ่ยยิ้มและพูดว่า
“นั้นเจ้าช่วยตอบตามความจริงได้มั้ย พวกเรามีโอกาสที่จะชนะหรือไม่?” หยินชากล่าวถามด้วยความกังวล
ชิงสุ่ยยิ้มออกมา”พี่หยินชาสบายใจได้เลย หากข้าไม่มั่นใจข้าคงไม่พาหลิงเหยียนมาด้วยหรอก” ชิงสุ่ยกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
ในตอนนี้หยินชาได้แต่ยิ้มออกมาด้วยความสุข
”ในตอนนี้นิกายจันทราริรันกาลเป็นดังจานที่ว่างเปล่าแล้วสิ่งที่คงเหลือเอาไว้ก็เพียงแค่ลวดรายของมันเท่านั้น” หยินชาพูดออกมาก่อนที่เขาจะทำหน้าเศร้า
“พี่หยินชา นี่มันก็เป็นความพ่ายแพ้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ท่านต้องเชื่อมั่นในตัวเอง และในความสามารถของท่านด้วยวิธีนี้ท่านจะทำให้นิกายจันทรานิรันกาลกลับมาแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง” ชิงสุ่ยจับไปที่ไหล่ของเขา
ชิงเฟิงและ หมิงอวี้ กลับมาช้ากว่าชิงสุ่ยหนึ่งวันดังนั้น พวกเขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
“อย่างไรก็ตามในตอนนี้ข้าได้เรียนรู้ที่จะยอมรับสิ่งต่างๆ แม้ว่าเราจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความตายไปได้ และไม่มีทางต่อกรกับความเจ็บปวดเมื่อสูญเสียคนสำคัญไป” หยินชายิ้มออกมา
ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าหยินชารู้สึกอย่างไรแต่ที่เขารู้ๆเรื่องในครั้งนี้จะทำให้เขาเติบโตขึ้นกว่าเก่า เมื่อใดก็ตามที่เขาก้าวข้ามมันไปได้เขาจะกลับมาเข็งแกร่งว่าที่เคยเป็นมาก่อน
วันต่อไปได้ผ่านไปอย่างสงบอีกฝ่ายไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรในวันนี้ เนื่องจากพวกเขาไม่เคลื่อนไหวใดๆ ชิงสุ่ยจึงเลือกที่จะไม่ทำอะไรเช่นกัน ในตอนนี้ทั้งชายชราและหยินเทียนต้องการเวลาในการฟื้นฟูร่างกายของพวกเขา ดังนั้นเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดที่ชิงสุ่ยจะนิ่งสงบเอาไว้
ในวันที่สี่อีกฝ่ายดูเหมือนจะหมดความอดทนพวกเขาได้เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ในเวลานี้สัตว์อสูรขนาดใหญ่ได้บินล้อมนิกายจันทรานิรันกาลเอาไว้
”หยินเทียนถึงเวลาตายของเจ้าแล้วออกมาได้แล้วไปลูกเต่า”
เสียงที่ดังสนั่นดังขึ้นมากมันทำให้ทุกๆคนลุกขึ้นในเวลานี้ แม้แต่ชายชราหวังและหยินที่เทียนที่พักผ่อนอยู่ก็ได้ลุกขึ้นในเวลานี้
หลังจากที่ใช้สัมผัสวิญญาณออกมาในตอนนี้เขาตระหนักได้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นมีพลังอย่างน้อยอยู่ที่ 1,000 เต๋า และมีบางคนที่มีพลังถึง 1500และ1800เต๋าเลยทีเดียว
สิ่งนี้ทำให้ชิงสุ่ยแปลกใจเล็หน้อยเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่กลุ่มคนที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายกระบี่อสูรอมตะอย่างแน่นอนแต่ถึงอย่างไรไรพวกเขาก็แข็งแกร่งอย่างมาก สิ่งที่ชิงสุ่ยเป็นกังวลคืออำนาจที่แอบซ่อนตัวอยู่ข้างหลังพวกเขาได้ตอนนี้
ชายชราที่ตะโกนออกมาดูเหมือนจะไม่แก่มากนักเขายังคงมีเส้นผมสีดำ แต่ถึงอย่างไรก็ตามคิ้วของเขาได้เปลี่ยนเป็นสีขาวหมดแล้ว ด้วยรูปลักษณ์ในตอนนี้ มันทำให้เขาดูทรงอำนาจอย่างแท้จริง
หยินเทียนตอนนี้แทบจะเหมือนคนธรรมดาทั่วไปแล้วด้วยอาการบาดเจ็บดังนั้นเมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ จึงไม่มีวิธีใดที่เขาจะตอบโต้ไปได้เลย ดังนั้นจะเป็นการดีถ้าเขาเลือกไม่กล่าวอะไร
ในตอนนี้ชายชราหวังมองไปที่พวกเขาและกล่าวออกมาว่า”ข้าดีใจที่ได้เกิดมาเป็นพี่น้องกับเจ้าเจ้าคิดว่าหากเราตายไปเราจะได้ไปเกิดและเป็นพี่น้องกันอีกครั้งในโลกหน้าหรือไม่? ”
ในเวลานี้มีชายสามคนที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาเป็นผู้บ่มเพาะที่ทรงพลังอย่างมากนอกเหนือจากพวกเขายังมีผู้บ่มเพาะอีก10กว่าคนข้างหลังพวกเขา และทั้งหมดก็อยู่ในระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด มันทำให้เขาสามารถเข้าใจได้ว่าทำไมชายชราหวังถึงได้กล่าวเช่นนี้ออกมา มันมีความต่างอย่างมากในขุมพลังของทั้งสองฝ่าย
”ท่านลุงหวังอย่างได้กล่าวอะไรเช่นนั้นออกมาเลยในช่วงเวลานี้พวกเราควรหาวิธีรับมือกับพวกเขาเสียมากกว่า” หยินชากล่าวขึ้นมาในเวลานี้
ตอนนี้ชิงสุ่ยหยินชา ชิงเฟิง และ หมิงอวี้ ได้ลอยตัวขึ้นไปบนฟ้า ในขณะที่หลิงเหยียน และ เฟิงซี่ อยู่บนพื้นดิน นี่คือรูปแบบที่ชิงสุ่บบอกเอาไว้
ในเวลานี้ชายชราคนนั้นก็ได้กล่าวออกมาอีกครั้ง“เป็นไงหยินเทียนตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง ตอนนี้นิกายที่เจ้ารักนักรักหน้าจะล่มสลายลงในน้ำมือของเจ้าๆรู้สึกอย่างไรบ้าง ข้าละสงสัยจริงๆ เจ้าจะไปตามกับบรรพบุรุษที่อยู่ในนรกของเจ้ายังไง ”
ในเวลานี้ชิงสุ่ยมองไปที่ชายชราคนนั้นเขารู้สึกโมโหอย่างมากในตอนนี้ ชายชราคนนี้เป็นคนที่เลวทรามอย่างแท้จริง
”หึหึมันยังเร็วเกินไปที่เจ้าจะสามหาว!” หยินเทียนกล่าวกลับไปด้วยเสียงที่เย็นชา
“หึหึ เจ้าคิดจริงๆรึว่า คนเหล่านี้จะช่วยเหลือเจ้าได้”ชายชรามองมางที่ชิงสุ่ยและคนอื่นๆ
”ข้าจะให้โอกาสเจ้ารีบไสหัวไปไม่เช่นนั้นเจ้าอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” ในขณะนี้ชิงสุ่ยยิ้มและพูดกับชายชรา