บทที่ 488: เรื่องอื้อฉาวของตระกูลซุน

Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน

“เดทรึ เจ้ากำลังจะบอกข้าว่าเจ้ากำลังจะไปเดทกับซูหยางอย่างเป็นเรื่องราวหลังจากที่ยอมรับข้อเสนอการแต่งงานของตระกูลมู่งั้นรึ” ซุนเหรินกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว

 

“ใช่แล้ว” ซุนจิงจิงพยักหน้าด้วยสีหน้าเป็นปกติ

 

“จริงแล้วเจ้ากำลังพยายามที่จะทำอะไรถึงทำเรื่องที่ทำให้ผู้คนต้องตะลึงแบบนี้ จิงจิง” ซุนเฉียนพลันกล่าวขึ้น “ถ้าผู้คนเห็นเจ้าออกไปเดทกับชายคนอื่นที่ไม่ใช่มู่ชุนทั้งที่หมั้นหมายกับตระกูลมู่แล้ว เจ้าก็จักถูกทุกคนประนามและทั้งตระกูลซุนก็จักโดนไปด้วยเช่นกัน”

 

“นั่นเป็นในกรณีที่ชายคนนั้นเป็นเพียงแค่คนธรรมดาทั่วไป” ซุนจิงจิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เธอกล่าวต่อว่า “ท่านอาจจะมิเข้าใจในเมื่อท่านมิใช่ผู้ฝึกยุทธ แต่ท่านกำลังดูถูกคุณค่าการมีอยู่ของซูหยางไปแล้ว”

 

“อย่างไรก็ตาม พวกท่านจักเข้าใจในมิช้าก็เร็ว และนั่นก็จักเป็นการดีที่จะได้รับประสบการณ์ด้วยตัวท่านเองแทนที่จะให้ข้าอธิบาย”

 

พ่อแม่ของเธอสบสายตากันด้วยความงุนงง เป็นธรรมดาที่พวกเขาไม่อาจจะเข้าใจว่ามีอะไรอยู่ในใจของซุนจิงจิงแม้แต่น้อย

 

“ม-มิว่าอย่างไร อาหารเช้าก็จักเสร็จในมิกี่นาทีข้างหน้า” ซุนเหรินกล่าวหลังจากนั้น “จิงจิงไปเตรียมจานชามชุดเงิน”

 

ซุนจิงจิงพยักหน้าและไปจัดเตรียมโต๊ะสำหรับอาหารเช้าอย่างมีความสุข

 

ที่โต๊ะ ซุนจิงจิงมีท่าทางประหลาดใจเมื่อเห็นเนื้อวิญญาณบนโต๊ะ

 

“เมื่อไหร่ที่พวกท่านทั้งสองเริ่มกินอาหารหรูเช่นนี้เป็นอาหารเช้า แม้ว่าพวกเราอาจจะร่ำรวย นี่ก็ค่อนข้างจะเกินไปอยู่บ้างสำหรับอาหารเช้า”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า… เจ้าคิดว่าเรากินเนื้อวิญญาณทุกวันเป็นอาหารเช้ารึ นี่เป็นเพียงโอกาสพิเศษเพราะว่าซูหยาง ข้ากังวลว่าเขาจะมิพึงพอใจกับอาหารธรรมดาสำหรับคนทั่วไป” ซุนเฉียนหัวเราะ

 

อย่างไรก็ตาม ซูหยางเพียงส่ายหน้าและกล่าวว่า “อันที่จริงข้าชอบกินอาหารธรรมดามากกว่าเนื้อวิญญาณในโอกาสพิเศษมากกว่า ในเมื่อข้ายากที่จะได้เอร็ดอร่อยกับอาหารของคนธรรมดา”

 

“ดูเหมือนว่าพวกเราได้ทำอะไรที่มิจำเป็นไป อย่ากังวล ข้าจักเปลี่ยนมันกลับไปเป็นปกติสำหรับมื้อเย็น” ซุนเหรินกล่าว

 

“ขอบคุณ” ซูหยางยิ้มให้กับเธอ จนทำให้หัวใจของเธอสั่นสะท้าน

 

เมื่อซุนจิงจิงสังเกตเห็นแม่ของตนเองมีท่าทางอยู่ไม่เป็นสุข เธอก็กระซิบกับซูหยางว่า “เฮ้ อย่าไปยั่วยวนแม้ข้าโดยบังเอิญในตอนนี้ ซูหยาง ข้ามิคิดว่าข้าจะยอมรับเห็นท่านอยู่กับแม่ข้าได้แม้แต่น้อย”

 

ซูหยางเผยรอยยิ้มขื่นขมขณะที่ยักไหล่ “ช่วยไม่ได้”

 

หลังจากนั้น หลังจากที่พวกเขากินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ซุนจิงจิงและซูหยางก็เตรียมตัวออกไปด้านนอก

 

“พวกเราจักกลับมาก่อนอาหารเย็น” ซุนจิงจิงกล่าว

 

“อย่าสร้างปัญหามากเกินไปให้ตระกูลของเจ้าเมื่อเจ้าออกไปด้านนอก ถ้าหากว่าเป็นไปได้” ซุนเหรินกล่าวกับพวกเขา

 

“อย่างไรก็ตาม ท่านแม่ ถ้าตระกูลมู่มาเพื่อถามคำถาม ก็ให้เพียงแค่พูดว่ามันเป็นความเข้าใจผิด และให้เหตุผลแก้ต่างอะไรสักอย่างไปก็พอ” ซุนจิงจิงกล่าวกับเธอ

 

“ห-หือ เจ้าหมายความว่าอย่างไรเช่นนั้น” ซุนเหรินเลิกคิ้ว

 

“ท่านจักเข้าใจเมื่อเวลานั้นมาถึง” เธอตอบ

 

ก่อนที่พวกเขาจะออกไปพ้นจากตระกูลซุน ซูหยางก็นำเอาหน้ากากสีดำที่ปกปิดใบหน้าส่วนบนออกมาสวม ทำให้กลิ่นอายของเขายิ่งดูลึกลับแต่ให้ความรู้สึกเป็นชนชั้นสูง

 

“ข้าดูเป็นอย่างไร” เขาถามซุนจิงจิง

 

“กระทั่งมีหน้ากากปกปิดครึ่งหน้า มันก็มิลดทอนเสน่ห์ของท่านลงแม้แต่น้อย ถ้าพูดอย่างสัตย์ซื่อ ท่านดูเหมือนจะสุขุมกว่าเดิมพร้อมกับมีกลิ่นอายลึกลับรอบกาย” ซุนจิงจิงมองดูเขาอย่างหมดใจ เห็นได้ชัดว่าหลงเสน่ห์กับรูปลักษณ์ใหม่ของเขา

 

“แต่ควรจะมิมีใครจดจำท่านได้ว่าเป็นซูหยางจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในตอนนี้ เพียงแค่เป็นนายน้อยจากไหนสักแห่ง”

 

“ดี เช่นนั้นเราไปสนุกกันเถอะ”

 

ครั้นเมื่อพวกเขาออกจากตระกูลซุนและเริ่มตระเวนไปรอบเมืองด้วยการคล้องแขนกัน การปรากฏตัวของพวกเขาก็พลันสร้างความสนใจให้กับทุกคนที่ได้เห็น

 

“ฮ-เฮ้ ดูสองคนนั่นสิ นั่นมิใช่ซุนจิงจิงจากตระกูลซุนหรอกรึ”

 

“เจ้าพูดถูก และเธอดูกระจ่างที่สุดในชุดนั้น”

 

“แต่ชายคนที่อยู่ข้างเธอนั้นเป็นใครกัน นั่นมิอาจจะเป็นมู่ชุนจากตระกูลมู่ได้แน่ ใช่ไหม”

 

“เจ้าถามอย่างนั้นเอาจริงรึ กระทั่งคนตาบอดก็ยังสามารถบอกได้ว่าเขามิใช่มู่ชุน โครงร่างของเขาสูงและโดดเด่น อีกทั้งยังมีความรู้สึกอ่อนโยนที่มาจากตัวเขาอีก ต่อให้มีหน้ากากนั่นปิดบังครึ่งหน้าเขาอยู่ ข้ายังสามารถพนันบ้านข้าทั้งหลังว่าเขาต้องมีหน้าตาหล่อมากๆอยู่ด้านหลังหน้ากากนั้นแน่นอน เขาดูตรงข้ามกับมู่ชุนนั้นอย่างสมบูรณ์”

 

“ตัดสินจากหน้าตาและกลิ่นอายอันสูงศักดิ์ ข้าพนันว่าเขาต้องเป็นคุณชายร่ำรวยจากตระกูลที่ทรงอำนาจมากๆที่ไหนสักแห่งแน่”

 

“แต่ซุนจิงจิงมาทำอะไรกับชายลึกลับนั่นท่ามกลางสาธารณะชน ทั้งยังมีท่าทางสนิทสนมเช่นนั้นกับอีกฝ่ายมิด้อยไปกว่านั้น มิใช่ว่าเธอหมั้นหมายกับมู่ชุนไปเรียบร้อยแล้วรึ”

 

“ข้ามิรู้ แต่วิธีที่เธอทำตัวในตอนนี้ ท่าทางทั้งมีความสุขสำราญใจ ถ้าตระกูลมู่มิได้ประกาศว่าเธอได้หมั้นหมายกับมู่ชุน ข้าก็คงเชื่อว่าพวกเขาทั้งคู่ได้แต่งงานกันไปเรียบร้อยแล้ว”

 

“เช่นนั้นเกิดบ้าอะไรขึ้นกันนี่ ข้าคิดสงสัยว่าตระกูลซุนจะโง่พอจนยอมให้ลูกสาวของตนเองมีท่าทางสนิทสนมกับชายคนอื่นในขณะที่หมั้นหมายกับตระกูลมู่ นั่นย่อมต้องเป็นเรื่องอื้อฉาวที่สามารถเสกหายนะให้กับพวกเขาทั้งตระกูลได้”

 

“นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องอื้อฉาว ครั้นเมื่อตระกูลมู่ได้ยินเรื่องนี้ ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร”

 

ขณะที่ซุนจิงจิงและซูหยางเดินเตร็ดเตร่เล่นไปทั่วเมืองโดยไม่ได้สนใจสายตาชนชาวโลกแม้แต่น้อยนั้น ข่าวอื้อฉาวของพวกเขาก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองเข้าถึงหูของตระกูลมู่ภายในชั่วโมงเดียว

 

“นี่มีความหมายบ้าอะไรกัน ทำไมคู่หมั้นของข้า หญิงของข้าคล้องแขนกับชายอื่น ทั้งยังในที่สาธารณะมิน้อยไปกว่านั้น” มู่ชุนตบโต๊ะตรงหน้าของเขาหักครึ่งด้วยความโกรธหลังจากที่ได้ยินเรื่องอื้อฉาวจากคนรับใช้

 

“ใครก็ได้ส่งคนส่งสารไปยังตระกูลซุนและขอคำตอบโดยด่วนเดี๋ยวนี้” มู่หลาน พ่อของเขา คำรามด้วยใบหน้าที่โกรธจนควันขึ้น รู้สึกเหมือนกับว่าทั้งใบหน้าของเขาเพิ่งถูกตบไปนับพันครั้งโดยเรื่องอื้อฉาวนี้