เมื่อพูดมาแบบนี้ ยู่ยี่ก็ไม่รู้จะปฏิเสธมันยังไง จึงตอบตกลง เขารับคำอย่างพึงพอใจ ก้มหน้าลง แล้วกินสาลี่ตุ๋นน้ำตาลกรวด
ในระหว่างนี้ ยู่ยี่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขากินของเขาอย่างเงียบๆ แทบไม่มีเสียงดังอะไรให้ได้ยินเลย ตอนนี้เธอรู้สึกว่า การได้อยู่กับผู้ชายแบบนี้มันสร้างความกดดันให้เธออย่างมาก……
หลังจากนั้น เธอก็ยืนรออยู่ที่หน้าวิลล่า เขาไปที่โรงจอดรถ เลี้ยวหัวรถ รถเบนท์ลี่ย์มูซานสีเงินก็หยุดลงข้างๆเธอ
ร่างสูงของฉันทัชเอนตัวไปทางขวาเล็กน้อยและเปิดประตูให้เธอ……
“ขอบคุณค่ะ”ยู่ยี่กล่าวขอบคุณ จากนั้นก็นั่งในที่นั่งข้างคนขับ ก้มหน้าลง แล้วคาดเข็มขัดนิรภัย
หลังจากที่เธอคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแล้ว ฉันทัชก็ถึงได้ขับรถออก เขาขับไปด้วยความเร็วที่ไม่มากและไม่ช้าเกินไปนัก
ยู่ยี่นั่งอย่างสบาย อย่างน้อยก็ไม่มีความรู้สึกว่าอยากจะอ้วก เมื่อขับผ่านลูกระนาดบนถนน เธอเอนตัวลงเล็กน้อย มือกุมไปที่หน้าท้อง
สายตาของเขาสังเกตเห็นการกระทำเล็กๆนี้ของเธอ เมื่อเห็นลูกระนาดบนถนนด้านหน้า เขาก็ชะลอตัวลง และขับผ่านมันไปอย่างนุ่มนวล
ไม่คิดว่ารายละเอียดเล็กๆน้อยๆแบบนี้เขาก็จะสังเกตเห็น ยู่ยี่อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อย
เขาพูดน้อยมาก หรือแทบจะไม่พูดอะไรเลย นั่งอยู่บนรถไม่ได้เปิดเพลง ดังนั้นก็จึงเงียบสงบอย่างมาก
นั่งอยู่ตรงนี้ ยู่ยี่ขยับร่างกายไปมา ความเงียบแบบนี้มันทำให้รู้สึกเกร็งอย่างมาก
อยากจะพูดอะไรเพื่อทำลายบรรยากาศ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร พูดเรื่องตลก ก็ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่จะมาหัวเราะให้กับเรื่องตลกอะไรได้!
เหตุผลหลักก็คงเป็นเพราะออร่าของเขามันเจิดจรัสเกินไป ในบรรยากาศที่เงียบสงบแบบนี้ ก็ยิ่งกดดันจนทำให้อยู่ไม่สุข
เธอ รู้สึกคิดผิดที่ติดรถเขามาด้วย!
มองออกไปนอกหน้าต่าง ยู่ยี่มองหาป้ายรถเมล์ เธออยากจะขอลงในที่ที่เดินทางสะดวก
ในขณะที่กำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่ โทรศัพท์ในกระเป๋าก็สั่นขึ้นมา เธอเปิดกระเป๋าออก แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมา เป็นสายจากพ่อ
ไม่พ้นคงโทรมาเพราะเรื่องบ้าน เธอไม่คิดจะรับสาย จึงกดสายทิ้ง
เธอในตอนนี้ยังอยู่ในช่วงสงครามเย็นกับหัสดินอยู่ ก็จึงไม่มีทางเอ่ยปากพูดกับเขาเป็นแน่ หรือต่อให้จะไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ เธอก็ไม่มีทางเอ่ยปากพูดกับเขาเด็ดขาด
ทุกคนต่างมีขอบเขตของตัวเอง ดังนั้นก็จึงอย่าละโมบโลภมาก!
ก่อนหน้านั้นสินสอดทองหมั้นพวกเขาก็ไม่ได้ให้อะไรติดตัวไปด้วย ก่อนแต่งงานกันหัสดินเองก็เคยใช้หนี้แทนพวกเขามาก่อน เธอไม่มีทางจะเอ่ยปากพูดขออะไรอีกเป็นแน่
แต่อีกฝ่ายก็ราวกับจะสู้แข่งกับเธอให้ได้ เธอกดวางสาย ก็โทรมาใหม่ กดสายทิ้ง ก็ยังโทรมาอีก และกดสายทิ้งอีกครั้ง !
ดวงตาดำขลับของฉันทัชกวาดมองไปที่เธอ ดูการกระทำนั้นในสายตาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ยู่ยี่ก็ไม่มีความอดทนพอที่จะเล่นเกมแบบนี้กับพวกเขาต่อ กดปุ่มค้างเพื่อจะปิดเครื่องซะ แต่แล้วก็มีข้อความหนึ่งส่งเข้ามา มือของเธอกดเปิดข้อความนั้นอย่างไม่ตั้งใจ
【ยี่ ทำไมไม่รับสาย ? เฟริส์ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนนี้เพิ่งผ่าตัดเสร็จ เราอยู่กันที่โรงพยาบาลอุ่นดี
เฟริส์เป็นลูกชายของพ่อเธอกับแม่เลี้ยง ตอนนี้ก็อายุสิบปีได้
ยู่ยี่ไม่ชอบแม่เลี้ยง และไม่ชอบลูกติดของแม่เลี้ยงด้วย หลังจากที่แต่งงานใหม่ ความสัมพันธ์ของเธอกับพ่อก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เหินห่างและเฉยชาอย่างมาก
พวกเขาให้กำเนิดเฟริส์ในปีเดียวกับที่แต่งงาน พ่อกับแม่เลี้ยงเปิดร้านขายผลไม้ในถนนอีกสายหนึ่ง เธอก็จึงต้องอยู่บ้านค่อยเลี้ยงและดูแลเฟริส์
ดังนั้นก็จึงพูดได้ว่าเธอเลี้ยงเฟริส์มาตั้งแต่เด็ก และความสัมพันธ์ของเธอกับเฟริส์นั้นก็ถือว่าสนิทสนมกันมาก เฟริส์เชื่อฟังเธอ และติดเธอมากด้วย
เมื่อเห็นข้อความนี้แล้ว หัวใจของยู่ยี่ก็เต้นโครมครามไม่หยุด สายตาเหม่อมองออกไปยังนอกหน้าต่างอย่างเป็นกังวล และพูดขึ้นว่า“คุณฉันทัช รบกวนคุณช่วยจอดในที่ที่ใกล้กับโรงพยาบาลอุ่นดีให้หน่อยนะคะ”
“มีเรื่องด่วนเหรอครับ ?”เสียงที่ทุ้มต่ำของชายหนุ่มก็ดังขึ้น
“น้องชายฉันประสบอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล”ยู่ยี่รู้สึกร้อนรนและเป็นกังวลไม่น้อย
“งั้นผมไปส่ง คุณนั่งดีๆล่ะ……”เสียงที่ชวนหลงใหลหยุดลง มือที่เรียวยาวและสะอาดสะอ้านของฉันทัชก็หมุนพวงมาลัยรถไปทางซ้าย แล้วเร่งความเร็ว
รถขับด้วยความเร็วเล็กน้อย ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยง และเป็นชั่วโมงเร่งด่วนสำหรับคนที่เดินทางไปมา บนท้องถนนมีปริมาณรถหนาแน่น แต่เขาสามารถเคลื่อนรถไปได้อย่างอิสระในการจราจรที่คับคั่งแบบนี้ และควบคุมมันได้เป็นอย่างดี
เดิมทีจากการเดินทางมาที่โรงพยาบาลอุ่นดีนั้นต้องใช้เวลาราวๆยี่สิบห้านาที แต่แล้วก็ใช้ไปเพียงแค่สิบห้านาทีเท่านั้น
รถจอดลงตรงทางเข้าของโรงพยาบาล แต่ยู่ยี่ก็กลับมีอาการ ใบหน้าของเธอซีดเซียว ท้องไส้ปั่นป่วน ที่หนักกว่านั้นคือสองขามีอาการเหน็บชา ขยับเคลื่อนไหวไม่ได้
ท่าทีของเธอปรากฏขึ้นในสายตาของฉันทัช ดวงตาของเขาเบิกขึ้นเล็กน้อย“ขยับขาได้ไหมครับ?”
“ฉันขอลองดูก่อนค่ะ”ระหว่างที่พูด เธอก็พยายามขยับขา ขาที่เหน็บชาทำให้ใบหน้าของเธอขมวดมุ่น
เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ฉันทัชปลดสายนิรภัยออก ลงจากรถ จากนั้นก็เดินอ้อมไปยังที่นั่งฝั่งข้างคนขับ เปิดประตูรถ แขนที่กำยำและแข็งแรงโอบไปยังไหล่ของเธอ
ลมหายใจร้อนๆของผู้ชายที่ผสมกับกลิ่นหอมๆของบุหรี่ลอยล่องเข้ามา เธอสะดุ้งเล็กน้อย และในจังหวะที่กำลังตะลึงอยู่นี้ ก็ถูกเขาพาลงจากรถแล้ว
ลมหายใจของเขารุ่มร้อนเกินไป ระยะห่างของคนทั้งสองก็อยู่ใกล้กันมาก มือใหญ่ของเขาโอบไหล่ของเธอ แม้จะมีเสื้อผ้ากางกั้น แต่เธอก็รู้สึกถึงฝ่ามือที่มีพลังของเขาได้อย่างชัดเจน
เมื่อเขาอยู่ใกล้มากขนาดนี้ ความกดดันที่มีก็จึงไม่ต้องบรรยาย และทำเอาเธอแทบหายใจไม่ออก
การกระทำแบบนี้มันดูใกล้ชิดกันมากเกินไป ราวกับเขากำลังกอดเธออยู่ แต่เธอรู้ ว่ามันเป็นเพียงแค่ความหวังดีและการวางตัวที่ดีเท่านั้น ไม่มีเจตนาอื่นใด
“ชั้นไหนครับ?”นิ้วมือขวาอันเรียวยาวของเขาแตะไปที่ลิฟต์ และมือซ้ายก็ยังโอบไหล่เธออยู่
“ชั้นเจ็ดค่ะ” ยู่ยี่ตอบกลับอย่างเร็ว
ลิฟต์หยุดลงที่ชั้นเจ็ด เขาพาเธอเดินออกจากลิฟต์ แล้วเดินไปที่ห้องผู้ป่วยหมายเลข 303
โยธินกับเปมิกาและเจ้าเอยอยู่กันพร้อมหน้า เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เป็นโยธินที่หันมาก่อน “ยี่”
ทันใดนั้น เปมิกากับเจ้าเอยก็หันมาตาม และเห็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆยู่ยี่ด้วยเช่นกัน
เจ้าเอยถูกชายหนุ่มตรงหน้าดึงดูด ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมและหล่อเหลามาก เพียงพอที่จะสะกดทุกสายตา ทุกกระเบียดนิ้วของเขาเผยให้เห็นถึงความสง่าและน่าเกรงขาม
ความสง่างามของคนบางคนยากที่จะพรรณนา เมื่อคุณยืนอยู่ต่อหน้าเขา ก็จะรู้สึกว่าสูงเกินจะเอื้อมถึง และยิ่งรู้สึกสูงส่งยากที่จะจับต้องได้
ฉันทัชไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ท่าทีของเขาไม่พูดไม่จา ไม่ห่างเหินและไม่สนิทชิดเชื้อ สีหน้าเรียบเฉย แต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น และให้ความรู้สึกยากที่จะเข้าถึง
โยธินกับเปมิกาที่อยู่มาเกือบครึ่งค่อนชีวิต เจอผู้คนมามากมาย แต่ไม่มีใครที่ทำให้พวกเขารู้สึกกลัวและเป็นกังวล ไม่รู้จะรับมือยังไงแบบนี้
สุดท้ายแล้ว ก็เป็นยู่ยี่ที่เป็นคนทำลายความเงียบก่อน “พ่อ เฟริส์เป็นยังไงบ้าง?”
โยธินก็เพิ่งมาได้สติ พูดว่า“ผ่าตัดแล้ว หมอบอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว ลูกไม่ต้องเป็นกังวล”